บทที่ 101 แพ้ไปสองล้าน

คิงดราก้อน

เซียวหยางพาจูเจียนเฉียวไปยังห้องออกกำลังกาย เวลานี้ห้องกำลังกายไม่มีใคร มีเพียงพวกเขาสองคน

“ทำท่าควบม้าให้ฉันดูหน่อยสิ”

จูเจียนเฉียงได้ยินก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที “อาจารย์ครับ ผมทำเป็นตั้งนานแล้ว ยังต้องทำอีกเหรอ?”

เซียวหยางเดินเข้าไปสองก้าว แล้วชี้ไปที่พื้น “นายลองทำดู ฉันมีจุดประสงค์ของฉันแหละน่า”

จูเจียนเฉียงหัวเราะแหะแหะ ท่าควบม้าใครจะทำไม่เป็นกันล่ะ เด็กสามขวบยังรู้เลย ออกแรงทั้งหมดที่มี ย่อขาลงครึ่งหนึ่ง สองมือจับเอว อยู่นิ่งไม่ขยับตัว

ปรับสมดุลร่างกาย ทำท่าจริงจัง

“อาจารย์ เป็นไง ได้มาตรฐานใช่ไหมล่ะ ฮ่าฮ่า”

เซียวหยางไม่พูดอะไร ได้แต่นั่งไขว่ห้างแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย

ผ่านไปไม่กี่นาที จูเจียนเฉียงเริ่มปวดเมื่อยหัวเข่า สักพักขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นไหว จากนั้นก็รู้สึกร้อนไปทั้งตัว หน้าผากเริ่มมีเหงื่อไหลออกมา

สุดท้ายร่วงหล่นลงพื้นดังตุบ แล้วเอ่ยพูดด้วยเสียงหืดหอบว่า “ไอหยา อาจารย์ ผมเป็นไงบ้างครับ พูดอะไรหน่อยสิ”

เซียวหยางส่ายหน้า แล้วเอ่ยพูด “เป็นยังไงน่ะเหรอ? นายยังห่างชั้นอีกเยอะ!”

“ควบม้าแบบนาย มีแต่จะทำให้เอวเสื่อม ควบม้า ควบม้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการย่อ เข้าใจไหม?”

จูเจียนเฉียงรู้เรื่องนี้ซะที่ไหนกันล่ะ แต่เขารู้ว่า อาจารย์ต้องการถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ให้เขาแล้ว ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา

“ลูกศิษย์ไม่เข้าใจนี่นา รบกวนอาจารย์ชี้แนะด้วยครับ”

“นายเคยขี่ม้าไหม?”

“ขี่ม้าให้วิ่งอย่างรวดเร็วได้อิสระ ร่างกายต้องขึ้น ๆ ลง ๆ ไปพร้อมกับม้า ท่าควบม้า ก็คือเรียนรู้จากท่าขี่ม้าเอามาเป็นพื้นฐานของศิลปะการต่อสู้”

“ดังนั้นตอนที่ควบม้า ต้องทำท่าย่อให้เหมือนกับกำลังควบม้า!”

“อาจารย์ ศิษย์หัวทึบ ไม่เข้าใจจริง ๆ ครับ” จูเจียนเฉียงเกาหัวไปมา

เซียวหยางตบบ่าเขาหนึ่งครั้ง แล้วเอ่ยพูด “ตั้งใจเรียน ดูนะว่าฉันควบม้ายังไง!”

ขณะพูด เซียวหยางก็ทำท่าควบม้า เมื่อเห็นร่างกายของเซียวหยางย่อขึ้นลงเล็กน้อย เหมือนอยู่บนสันเขื่อน ปลิวไสวไปตามสายลม

เหมือนจอกแหน เหมือนหญ้าดอกอ้อ และยิ่งเหมือนการสั่นไหวเวลาขี่ม้า

“มานี่ นายย่อลงสิ!” เซียวหยางออกคำสั่ง จูเจียนเฉียงรีบควบม้าเลียนแบบเซียวหยางทันที

“พละกำลังต้องเอาลงไปที่ฝ่าเท้าก่อน นิ้วเท้าต้องจิกกับพื้นเหมือนตีนไก่ ทำแบบนี้ จะส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่น่องขา ยืดเข่าขึ้นมา ต้นขาเกร็งไว้ หุบท้องกลับเข้าไป นี่ถึงเรียกว่าเป็นการออกแรง!”

“มีขึ้นมีลง ตอนที่ลงต้องเอานิ้วเท้าทั้งห้าแยกจากกัน เหมือนเท้าแมว ผ่อนคลายหัวเข่า แอ่นเอว ท้องป่อง!”

“ขึ้นและลง จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงตลอด สิ่งที่นายต้องทำคือต้องควบคุมจุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย มีเพียงวิธีนี้ ที่รักษาจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายได้เป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย”

จูเจียนเฉียงดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว จึงเริ่มทำตามที่เซียวหยางบอก

ตอนเริ่มแรกจูเจียนเฉียงออกแรงขึ้นลงพร้อมกันไม่ได้ เซียวหยางยืนอยู่ข้างเขา เห็นเขาออกแรงผิดวิธี ก็ใช้เท้าเตะไปหนึ่งที

จุดที่จูเจียนเฉียงถูกเตะเป็นตะคริวขึ้นมา ทำให้ทำท่าทางได้ถูกต้องทันที

“ลองจินตนาการว่ากำลังล่องลอยอยู่บนผิวทะเลสาบที่มีสายลมอ่อน ๆ พัดโชย ขึ้นลงไม่ต้องออกแรงเยอะ ด้านบนและล่างรักษาระยะห่างประมาณหนึ่งเซนติเมตร

ทำแบบนี้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จูเจียนเฉียงก็รู้สึกไม่สบายท้องขึ้นมา เหมือนกำลังเมาเรือไม่มีผิด

“รู้สึกมึนหัวนิดหน่อยใช่ไหม รู้สึกพะอืดพะอมอยากอ้วกใช่ไหม?”

“อาจารย์ครับ นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ ผมไม่ได้กำลังจะขาดสติจนถูกครอบงำใช่ไหม”

“เพ้อเจ้อ นายยังเดินข้ามธรณีประตูศิลปะการต่อสู้อยู่เลย จะขาดสติจนถูกครอบงำได้ยังไง ลุกขึ้นก่อนเถอะ นายถึงขีดจำกัดแล้ว”

จูเจียนเฉียงค่อย ๆ หายใจลึก ๆ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างสมดุล ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่าคล่องตัวมากขึ้น

แขนและขาทั้งสองข้างดูเหมือนเมื่อผ่านกระบวนท่านี้ก็รู้สึกมีพละกำลังมากขึ้น

“นี่แค่เพิ่งเริ่มต้น ยังมีท่าแกว่งแขนสะบัดพลัง และกระดูกสันหลังมังกร เมื่อไหร่ที่นายสามารถอยู่ในจุดที่ว่างเปล่าได้ ท่าควบม้าถึงจะถึงว่าทำสำเร็จ”

“เมื่อถึงเวลานั้น ฉันถึงจะเริ่มถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ให้กับนายจริง ๆ”

จูเจียนเฉียงพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “อาจารย์ครับ แล้วอะไรคือแกว่งแขนสะบัดพลัง แล้วก็ยังมีอะไรเหมือนมังกรนะครับ แล้วความว่างเปล่าที่พูดถึงมันคืออะไรกัน?”

“คำพวกนี้เป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้ในศิลปะการต่อสู้ ถึงเวลานั้นฉันจะอธิบายให้นายฟังเอง วันนี้ฝึกแค่นี้ก็พอ ถ้าฝึกมากกว่านี้ร่างกายของนายจะรับไม่ไหว”

“อีกอย่าง วันนี้ตอนเที่ยงนายไม่สามารถทานข้าวได้ ทานมังสวิรัติทั้งวัน เพื่อล้างลำไส้ เอาขยะขับออกไปให้หมด”

“ครับผม อาจารย์ ผมเชื่อฟังคุณครับ”

“ไอหยาอาจารย์ ท้องไส้ผมปั่นป่วนขึ้นมาแล้ว ผมต้องไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ!” จู่ ๆ จูเจียนเฉียงก็เอามือกุมก้นเอาไว้ แล้ววิ่งไปทางห้องน้ำทันที

เซียวหยางส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา ฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ไว้รอให้ขับเอาสิ่งตกค้างในร่างกายออกมาจนสะอาดแล้วค่อยว่ากัน

ท่าควบม้าก็แค่พื้นฐานเท่านั้น ต่อไปยังมีหนักหนากว่านี้อีก เจ้าหมอนี่จะยืนหยัดได้ถึงขั้นไหนก็อยู่ที่โชคชะตาของเขาแล้วล่ะ

ตอนพักเที่ยง เซียวหยางคิดว่าหลายวันนี้ไม่ได้ไปที่เสิ่นอ้าวจุนเลย จึงคิดจะไปทานมื้อเที่ยงที่นั่น

เดินผ่านถนนหลัก ผ่านถนนตามตรอกซอกซอย จนมาถึงร้านไซซีบาร์บีคิวที่อยู่ด้านหลังเขตปฏิรูปใหม่

เพียงแต่ว่าเมื่อเพิ่งมาถึงหน้าประตูร้านบาร์บีคิว ก็พบว่ามีผู้คนห้อมล้อมอยู่มากมาย เป็นกลุ่มคนที่มุงดูอะไรสักอย่าง

ไม่ค้าขายแล้วหรือไง ถึงได้วุ่นวายอย่างนี้?

เซียวหยางขมวดคิ้ว คิดว่ามีพวกนักเลงมาหาเรื่อง เลยเบียดเสียดผู้คนเข้าไปด้านใน

เมื่อโผล่เข้าไปก็พบว่าไม่ใช่อย่างที่คิดไว้

แต่เห็นเป็นชายแก่หัวขาว ผิวเหลืองเข้ม อายุราวห้าสิบปี กำลังฉุดกระชากเสื้อผ้าของเสิ่นอ้าวจุนอยู่

“ลูกรัก ให้พ่อยืมเงินสักหน่อยนะ ไม่ต้องเยอะก็ได้ หนึ่งแสนก็พอ”

เสิ่นอ้าวจุนมีสีหน้าเอือมระอา “พ่อ ปล่อยฉัน ฉันไม่มีเงินแล้ว คนมุงดูกันเยอะแยะ พ่อไม่อายแต่ฉันอายคนอื่นนะ”

“อายคน? มีอะไรให้อาย พ่อมาหาลูกสาวเพื่อขอเงิน เป็นเรื่องธรรมดานี่นา ฉันดูสิว่าใครกล้าหัวเราะฉัน?” เสิ่นเอ้อเหอตะโกนโหวกโหวกออกมา

ทุกคนต่างพากันส่ายหน้า แล้วกระซิบกระซาบกันไปมา

“เฮ้อ น่าเสียดายสาวสวยคนนี้จริง ๆ ช่างดวงซวยเหลือเกิน”

“ก็ใช่น่ะสิ สามีตาย แล้วยังมีพ่อเป็นผีพนันอีก ไหนจะลูกสาวที่กำลังเรียนอยู่อีก จิ๊จิ๊ ลำบากจริง ๆ เลย”

คนเหล่านี้เป็นคนที่อยู่ละแวกนี้ทั้งนั้น ทุกคนต่างรู้เรื่องราวที่เสิ่นอ้าวจุนได้ประสบพบเจอมาบ้าง

ปกติมักจะคอยสอดส่องดูแลร้านบาร์บีคิวร้านนี้ ไม่เพียงเพราะเสิ่นอ้าวจุนรูปร่างหน้าตาสวยงามเท่านั้น แต่เพราะเห็นใจด้วย

“ลูกรัก ถ้าแกไม่ให้เงินฉัน เท่ากับแกอกตัญญู แกเชื่อไหมว่าฉันจะไปฟ้องแกที่ศาล?” เสิ่นเอ้อเหอใช้คำพูดที่ดูดี เสิ่นอ้าวจุนก็ไม่ให้เงิน เลยเริ่มโวยวายขึ้นมา

เสิ่นอ้าวจุนได้ยินประโยคนี้ ก็ยิ่งโมโหไปกันใหญ่

“พ่อ ฉันขอร้องล่ะนะ อย่าทำให้ฉันลำบากใจอีกเลย ลูกสาวพ่อยังลำบากไม่มากพออีกเหรอ?”

“แม่จากไปไว ไม่ง่ายเลยกว่าพ่อจะเลี้ยงฉันมาจนโต ฉันรู้สึกขอบคุณพ่อ แต่หลายปีมานี้นอกจากเล่นพนันแล้วพ่อยังทำอะไรอีกบ้าง? บ้านนี้ถูกพ่อทำจนไม่เหลืออะไรแล้ว!”

แววตาของเสิ่นเอ้อเหอดูละอายใจขึ้นมา แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไป นัยน์ตาดูบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง

“ลูกรัก พ่อรู้ว่าลูกลำบาก และเพราะแบบนี้ พ่อถึงได้คิดอยากหาเงินให้แกกับลูกสาวมีชีวิตที่ดีไงล่ะ”

“แกให้พ่อหนึ่งแสนก็พอ พ่อจะไปเอาเงินที่แพ้กลับคืนมา”

“ไว้ให้พ่อเอาเงินที่แพ้ไปกลับคืนมาได้ พ่อสาบานว่าจะไม่เล่นพนันอีก”

เสิ่นอ้าวจุนขมวดคิ้วเรียวสวย เธอรู้ว่าเสิ่นเอ้อเหอเป็นเสพติดการพนัน แต่ก็ไม่เคยเสียสติเหมือนอย่างวันนี้มาก่อน เหมือนหมาบ้าที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

“พ่อ บอกความจริงฉันมา ว่าตกลงแพ้ไปทั้งหมดเท่าไหร่?”

เสิ่นเอ้อเหอเป่าปาก แล้วจู่ ๆ ก็นั่งยองลงบนพื้น ตบขาตัวเองแล้วตะโกนออกมาเสียงดัง :

“แพ้แล้ว แพ้หมดแล้ว ทั้งบ้านรวมไปถึงเงินฝากของฉัน ทั้งหมดสองล้าน ไม่เหลือแล้ว!”