บทที่ 73 อาเฉิน ศัตรูหัวใจของคุณถือโอกาสเข้ามาแทรกแซง

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

“ฉลาดหลักแหลม” สือมูเฉินยีผมหน้าม้าของหลานเสี่ยวถางราวกับว่าเป็นศีรษะของเด็กน้อยยังไงยังงั้นแหละ: “เมื่อเพ่ยหลินเห็นแล้วต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์อย่างแน่นอน โอ้ ไม่ใช่สิ ต้องรู้สึกตกใจกลัวซะมากกว่า”

เมื่อหลานเสี่ยวถานได้ยินแบบนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่ยิ้มจนตาหยี: “พวกเราเป็นคนเลวเกินไปหรือเปล่านะ?”

“ขนาดเขาเห็นคุณกำลังจะตายอยู่ตรงหน้าเขา เขายังไม่ช่วยเหลือคุณเลย ถ้าหากผมไปช้ากว่านี้ ตอนนี้คุณอาจจะ……” ในขณะที่สือมูเฉินพูดอยู่นั้น พลางเอานิ้วแตะริมฝีปากของหลานเสี่ยวถาง: “เสี่ยวถาง คุณมีจิตใจที่ดีเกินไปแล้ว ถ้าไม่มีผมอยู่ข้างกายคุณ คุณจะโดนเอาเปรียบได้นะ

เพียงแต่ว่าตอนนี้ โครงการฝั่งตะวันตกไม่สามารถล่าช้าได้อีกต่อไปแล้ว เพราะรัฐบาลที่นั่นได้นัดวันประชุมกับผู้รับผิดชอบ Times Group ในเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้น เย็นวันนั้นสือมูเฉินเลยจำเป็นต้องวานฟู่สีเกอมาดูแลเธอ ตัวเองถึงจะออกเดินทางไปสนามบินได้

แม้ว่าหลานเสี่ยวถางและฟู่สีเกอเคยพบเจอกันเพียงแค่สองถึงสามครั้งเท่านั้น แต่โชคดีที่ฟู่สีเกอเป็นคนชอบพูดตลก และไม่มีความรู้สึกห่างเหิน ดังนั้นเธอจึงเป็นตัวของตัวเองได้อย่างไม่รู้สึกอึดอัด

และแน่นอนว่าเมื่อฟู่สีเกอมา เขาไม่จำเป็นต้องป้อนน้ำป้อนอาหารให้กับหลานเสี่ยวถาง แต่กลับหาพยาบาลพิเศษที่รับผิดชอบชีวิตประจำวันของหลานเสี่ยวถาง หน้าที่ของเขาเพียงแค่เฝ้าดูแลและสอดส่อง กันไว้เผื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้อีก

เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ เมื่อเขาไปเข้าห้องน้ำ ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านหนึ่งมาจริงๆด้วย

ในวันรุ่งขึ้นหันจื่ออี้ได้ข่าวว่าหลานเสี่ยวถางลาป่วย หลังจากที่ได้ทราบข่าว เขาจึงพยายามติดต่อเธอทันที

อย่างไรก็ตาม เมื่อโทรศัพท์หาแล้วติดต่อไม่ได้ เขาพบว่าถูกหลานเสี่ยวถางบล็อกเบอร์……

ดังนั้น หันจื่ออี้จึงขอให้เลขานุการของเขาโทรหาหลานเสี่ยวถาง โดยแสร้งทำเป็นถามไถ่แสดงความห่วงใยที่บริษัทมีต่อพนักงาน และหลังจากรู้หมายเลขห้องผู้ป่วยที่เธอพักแล้ว เขาก็ขับรถไปโรงพยาบาลทันที

หันจื่ออี้เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย เมื่อพยาบาลเห็นว่าเขากำลังถือช่อดอกไม้อยู่หนึ่งช่อ จึงถามเขาว่า: “คุณผู้ชายคะ คุณมาเยี่ยมคนไข้หรือเปล่าคะ?”

หันจื่ออี้พยักหน้า: “เธออยู่ข้างในหรือเปล่าครับ เธอหลับอยู่หรือเปล่า”

คุณหมอพยักหน้า: “เธออยู่ข้างในค่ะ ยังไม่หลับค่ะ”

หลานเสี่ยวถางได้ยินการสนทนา เธอลืมตาขึ้น และเห็นหันจื่ออี้เดินเข้ามาพร้อมกับดอกคาร์เนชั่นหนึ่งช่อ และเมื่อเขาเห็นเธอนอนพักฟื้นอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาเธอ: “เสี่ยวถาง คุณบาดเจ็บได้อย่างไร ? ร้ายแรงไหม? ”

หลานเสี่ยวถางส่ายหัว: “ฉันถูกรถชน โชคดีที่มันไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ค่ะ”

เธอเหลือบมองไปที่หันจื่ออี้ และพูดอย่าไม่สบอารมณ์: “บริษัทบอกว่าเป็นการเยี่ยมเยียนเพื่อปลอบขวัญหรือให้กำลังใจพนักงาน แต่ให้รองประธานบริษัทมาด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากเลยนะคะ……”

“เสี่ยวถาง ผมไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเพื่อปลอบขวัญหรือให้กำลังใจคุณในนามพนักงานบริษัทหรอกนะ ผมมาที่นี่เพื่อเยี่ยมคุณ” หันจื่ออี้นั่งลงข้างๆเตียง และเห็นผลไม้และมีมีดอยู่ข้างๆ เขา ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นพร้อมพูดว่า :“ผมจะเอาผลไม้ไปล้างให้คุณนะ”

หลานเสี่ยวถางรีบตอบกลับเขาอย่างรวดเร็วว่า: “ฉันไม่หิวค่ะ”

“ไม่เป็นไร ผมจะใส่ไว้ในกล่องถนอมอาหาร และเมื่อคุณต้องการจะทานคุณก็ค่อยทานก็ได้” ในขณะที่หันจื่ออี้กำลังพูดอยู่นั้น เขาก็เดินไปทางห้องน้ำทันที

หลังจากนั้น ทันทีที่เขาเดินไปถึงที่ประตู ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก และฟู่สีเกอก็เดินออกมา

ทั้งสองสบตากันพร้อมตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ

จากนั้นหันจื่ออี้พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทายให้กับฟู่สีเกอ แล้วเขาก็เดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ

ฟู่สีเกอหันกลับไปเหลือบมองเขา จากนั้นดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความขี้เล่น

จากนั้นไม่นาน หันจื่ออี้ก็ล้างผลไม้กลับออกมา เขาไม่ได้สนใจฟู่สีเกอที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้อง แต่เขาเดินตรงไปและนั่งลงที่ข้างเตียงของหลานเสี่ยวถาง แล้วปอกแอปเปิ้ลให้กับเธอ

หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องมันอึดอัดแปลกๆ อีกทั้งสือมูเฉินก็เพิ่งออกไปได้ไม่นาน แล้วหันจื่ออี้ก็เข้ามาทันที และมันทำให้เธอไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว!

หลังจากที่หันจื่ออี้ปอกผลไม้เสร็จแล้ว เขาก็ค่อยๆ ขุดเมล็ดออกอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วหั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นๆ แล้วใส่ในกล่องถนอมอาหารไว้ให้กับหลานเสี่ยวถาง

เมื่อหลานเสี่ยวถางเห็นว่าเขาทำเสร็จแล้ว เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า :“อันที่จริงแล้วฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก คุณไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมฉันโดยเฉพาะหรอกนะคะ”

หันจื่ออี้ทำท่าทางตัวแข็งทื่อเล็กน้อยแล้วยิ้มให้เธอ: “เสี่ยวถาง เราเป็นเพื่อนเก่ากันมาหลายปีแล้ว คุณได้รับบาดเจ็บการที่ผมมาเยี่ยมคุณมันก็สมควรแล้วนะ แม้แต่ในฐานะเพื่อนก็เป็นให้ไม่ได้เลยเหรอ?”

หลานเสี่ยวถางเหมือนต้องการอธิบายอะไรต่อ แต่หันจื่ออี้ก็หยิบไม้จิ้มฟันจิ้มแอปเปิ้ลยื่นให้กับเธอ: “ทานผลไม้สิ มันจะช่วยเพิ่มวิตามินซีด้วยนะ คุณต้องการทานอะไรเพิ่มอีกไหมครับ ผมจะไปซื้อให้คุณเอง?”

“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ฉันยังไม่ต้องการอะไรค่ะ ” หลานเสี่ยวถางรับไม้จิ้มฟันจากมือเขา แล้วทานแอปเปิ้ลอย่างเงียบๆ

ฟู่สีเกอซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาดูเหมือนว่าเขากำลังพลิกดูนิตยสารอยู่นั้น เขาได้ถือโอกาสที่ทั้งสองคนไม่ทันสังเกต แอบถ่ายรูปหันจื่ออี้ยื่นแอปเปิ้ลให้กับหลานเสี่ยวถาง

เขาดูรูปนั้นด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเปิด WeChat และส่งไปให้สือมูเฉิน

แคปชั่นของเขานั้นง่ายมาก มีเพียงแค่ไม่กี่คำ เขาพิมพ์คำว่า : “อาเฉิน” แล้วตามด้วยอิโมจิรูปจอบ

สือมูเฉินเพิ่งลงจากเครื่อง ทันทีที่เขาเปิดโทรศัพท์ เขาก็ได้รับรูปถ่ายจากฟู่สีเกอส่งมาให้เขา

บนหน้าจอ รูปภาพของหันจื่ออี้นั่งอยู่ข้างเตียงของหลานเสี่ยวถางดูเหมือนอบอุ่นมาก

เขาขมวดคิ้วแน่น แล้วเดินออกจากเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารคนอื่นๆ อย่างเงียบๆ

หลังจากที่เดินออกมาทางประตูทางออก เขาก็รีบพิมพ์ประโยคในโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว

ในห้องคนไข้ โทรศัพท์มือถือของฟู่สีเกอก็สั่นอยู่ครู่หนึ่ง และเขาเปิดเครื่องดูอย่างตื่นเต้น เขาก็เห็นประโยคที่สือมูเฉินตอบกลับมา “เมื่อข้าศึกรวมศูนย์กำลังพลไว้ ควรจะใช้กลอุบายดึงแยกข้าศึกออกไป ”

เขากระพริบตาสักครู่ แล้วมองไปที่หันจื่ออี้อีกครั้ง และทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้พร้อมยักไหล่ เขาหมดหนทาง สุดท้ายแล้วเขาจำเป็นต้องส่งข้อความหาหยานชิงเจ๋ออีกครั้ง

สิบห้านาทีต่อมา โทรศัพท์มือถือของหันจื่ออี้ก็ดังขึ้น

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและเห็นว่าเป็นเบอร์ของพ่อบุญธรรมชาวต่างชาติ เขาจึงกดรับสาย

เมื่อหลานเสี่ยวถาง ได้ยินสิ่งที่เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเป๊ะมาก เมื่อเขาวางสาย สีหน้าของเขาดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก และดูเหมือนเขารู้สึกจิตใจหดหู่ยิ่งขึ้น

“เสี่ยวถาง สำนักงานใหญ่ซอฟต์แวร์มีเรื่องที่ต้องจัดการ ผมต้องบินไปให้เร็วที่สุด” หันจื่ออี้ถอนหายใจออกมาด้วยความเครียด:“ ผมไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนคุณได้แล้ว ถ้าหากคุณต้องการอะไร คุณสามารถโทรหาผมได้ตลอดเวลา”

ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น สายตาของเขาก็จ้องมองไปที่โทรศัพท์มือถือของหลานเสี่ยวถาง: “คุณช่วยปลดบล็อกเบอร์ผมได้ไหม ? เสี่ยวถาง คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะ ถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่รบกวนคุณหรอกนะ”

ในเมื่อเขาพูดขนาดนี้แล้ว ในที่สุดหลานเสี่ยวถางก็พยักหน้าตอบรับ :“ค่ะ”

หันจื่ออี้หยิบกุญแจรถของตัวเอง ดูเหมือนจะกำลังจะจากไป ในที่สุดเขาหันหลังแล้วตัดสินใจถามว่า :“คุณสืออยู่ที่ไหนครับ ?ทำไมถึงไม่เห็นเขาเลยล่ะครับ?”

หลานเสี่ยวถางตอบกลับว่า :“เขากำลังเดินทางไปทำธุรกิจอยู่ค่ะ ดังนั้นเขาจึงขอให้สีเกอมาดูแลฉันแทนค่ะ”

หันจื่ออี้เหลือบไปที่ฟู่สีเกออีกครั้งหนึ่ง จากนั้นพูดกับหลานเสี่ยวถางว่า :“ดูแลตัวเองดีดีนะ ” หลังจากนั้นเขาก็จากไป

หลังจากที่หันจื่ออี้จากไป ฟู่สีเกอก็ปล่อยเสียงหัวเราะที่อัดอั้นมาเป็นเวลานานออกมา

หลานเสี่ยวถางไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงหัวเราะแบบนั้น ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า: “สีเกอ คุณกำลังหัวเราะอะไรอยู่คะ?”

ฟู่สีเกอยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้เธอดู: “คุณดูด้วยตัวเองเถอะ วิธีนี้มีสามีของคุณคนเดียวเท่านั้นที่คิดได้! เขาทำแบบนี้ในครั้งนี้ ระยะนี้หันจื่ออี้คงไม่ปรากฏให้คุณเห็นอีกนานเลยล่ะ รอเมื่อเขากลับมา คาดว่าคุณก็คงออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะ!”

หลานเสี่ยวถางดูเนื้อหาด้านบนจอโทรศัพท์พร้อมกับกระพริบตา: “นี่เขาขอให้เพื่อนของคุณแจ้งบริษัทซอฟต์แวร์ ว่าบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยต้องการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือ ดังนั้นสำนักงานใหญ่จึงขอให้หันจื่ออี้กลับไปทันที เขาน่าจะต้องเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ใช่ไหม?”

เธอถามด้วยความสงสัยว่า: “มูเฉินและคุณ Jarvis สนิทกันมากใช่ไหม?ก่อนหน้านี้ช่วงที่พวกเรากำลังดูข่าวอยู่นั้น

เมื่อรายงานข่าวเกี่ยวกับคุณ Jarvis เขาเคยบอกว่าถ้ามีโอกาสจะแนะนำคุณ Jarvis ให้ฉันได้รู้จักอีกด้วย……”

“พวกเขาเหรอ?” ฟู่สีเกอไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ดังนั้นเขาจึงพูดไปเรื่อยเปื่อยว่า:“ความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าจะไม่เลวมั้ง!”

เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินเช่นนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย: “นี่มูเฉินรู้จักคุณ Jarvisจริงๆเหรอ! สีเกอ มูเฉินยังมีบริษัทในต่างประเทศด้วยใช่ไหม?ธุรกิจชองเขากำลังไปได้สวยเลยใช่ไหมคะ?”

ฟู่สีเกอลูบหัวของตัวเอง: “อืม ดีมากเลย เขายังไม่บอกคุณเหรอ? โอ้ ใช่สิ ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอก เมื่อถึงเวลานั้นคุณก็จะรู้เอง!”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “อืม ฉันเข้าใจแล้ว แต่พวกคุณแกล้งบริษัทซอฟต์แวร์แบบนี้มันจะดีเหรอคะ?”

“ไม่นะ” ฟู่สีเกอกล่าวว่า “บริษัทเทคโนโลยีรายย่อยน่าจะวางแผนที่จะร่วมมือกับบริษัทซอฟต์แวร์มาก่อนหน้านี้แล้วล่ะ และอีกทั้งการร่วมมือในครั้งนี้เกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ และบริษัทซอฟต์แวร์มีความได้เปรียบมากกว่าในด้านซอฟต์แวร์มาก ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นได้กำไรมหาศาลอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าแค่วางแผนการล่วงหน้าให้เร็วขึ้นหน่อยแค่นั้นเอง ”

“เป็นเพราะมูเฉินต้องการกำจัดหันจื่ออี้ให้ออกห่างจากเธอ และไม่อยากให้อยู่ในโรงพยาบาล?” หลานเสี่ยวถางตกตะลึงในการกระทำของเขา และไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเลย .

“มิฉะนั้น คุณคิดว่าไงล่ะ ?” ฟู่สีเกอกลับไปนั่งที่โซฟา และนั่งไขว่ห้าง: “สำหรับอาเฉินแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของส่วนตัวหรือคนของเขา เขาจะทำสุดความสามารถเพื่อปกป้องของๆตัวเอง”

ทันใดนั้น หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าเธออยู่ภายใต้แรงกดดันมากขึ้น และเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนนารีเป็นเหตุยังไงยังงั้นแหละ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สภาพของเธอในตอนนี้ จะกลายเป็นนารีเป็นเหตุได้จริงหรือ? เธอมีสิทธิ์เป็นนารีเป็นเหตุได้จริงเหรอ?

เนื่องจากห้องคนไข้พิเศษนั้นมีสองห้องและห้องนั่งเล่นหนึ่งห้อง ดังนั้นในคืนนี้ ฟู่สีเกอได้นอนพักอยู่อีกห้องหนึ่ง

หลานเสี่ยวถางรู้ว่าฟู่สีเกอเป็นคนขี้เล่น และการที่สือมูเฉินวานให้เขาอยู่เป็นเพื่อนเธอนั้น คาดว่าเขาคงจะอึดอัดน่าดู ดังนั้น เธอจึงวางแผนที่จะขอให้เฉียวโยวโยวมาอยู่เป็นเพื่อนเธอแทนเขาหลังจากเลิกงานในวันพรุ่งนี้

เป็นเพราะกลางวันนอนมากเกินไป หลานเสี่ยวถางหลับตาลง แต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับสักที

ในขณะนี้ ห้องนั่งเล่นด้านนอกเสียงพูดสนทนากันก็ดังแว่วเข้ามาเล็กน้อย

เนื่องจากเสียงนั้นแผ่วเบามาก หลานเสี่ยวถางจึงได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่นัก สรุปคร่าวๆได้ว่าเหมือนมีคนกำลังถามคำถามอะไรอยู่ อีกคนก็ตอบรับแค่ว่า อืม เท่านั้น

จากนั้นแล้วมีเงาร่างหนึ่งก็มาอยู่ในห้องของเธอ

เขาเดินด้วยเสียงฝีเท้าเบามาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยังนอนไม่หลับ เกรงว่าเธอจะไม่รู้เลยว่ามีใครเดินเข้ามา

ดวงตาของหลานเสี่ยวถางว่างเปล่า เธอมองดูชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้อย่างประหม่า

เขาค่อยๆเดินช้าๆ มายืนข้างเตียงของเธอ หัวใจของหลานเสี่ยวถางเต้นไม่เป็นจังหวะ เพียงแต่ว่า ก่อนที่เธอจะร้องตะโกนออกมานั้น เธอก็ขยับร่างกายของเธอเล็กน้อย ทันใดนั้น ก็มีแสงจางๆส่องที่ใบหน้าของเขา

ทันใดนั้น หลานเสี่ยวถางมองเห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นเป็นสือเพ่ยหลิน!

สือเพ่ยหลินยืนอยู่ข้างเตียง และมองไปที่หลานเสี่ยวถางอย่างเงียบ ๆ อยู่สักครู่ เขาไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่ว่า ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะจากไปเช่นกัน

หัวใจของหลานเสี่ยวถางเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะ และเธอกำลังคิดว่าสือเพ่ยหลินมาที่นี่เพราะกังวลว่าเธอจะไปที่ศาลเพื่อฟ้องเขาในข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาท ดังนั้นเขาจึงต้องการมาเพื่อฆ่าเธอปิดปาก?

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต้องการฆ่าปิดปาก เขาก็ไม่ควรที่จะไปพูดคุยกับพยาบาล ดูเหมือนว่าทั้งสองสนทนากันเหมือนคนคุ้นเคยกันมาก

หรือว่า——

หลานเสี่ยวถางตกใจจนตัวสั่นทั่วร่างกาย เธอคาดเดาในใจไปต่างๆนาๆ

หรือว่าคืนนี้สือเพ่ยหลินไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกเหรอ?

เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยมาที่นี่อย่างนั้นเหรอ ดังนั้น พยาบาลจึงทักทายกับเขาเมื่อสักครู่นี้ และปล่อยให้เขามาเหมือนอย่างคนคุ้นเคย? !