ตอนที่ 85 ถูกจี้

แม่ปากร้ายยุค​ 80

และน่ากลัว

ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึงต้น 1980 เป็นช่วงที่กฎหมายอ่อนแอมาก บ้านเมืองวุ่นวายไม่มีความปลอดภัย จนกระทั่งได้มีการปราบปรามอาชญากรรมอย่างรุนแรงและปรับเปลี่ยนกฎหมายเป็นเวลาสามปี ปลายทศวรรษ 1980 ทุกอย่างถึงได้เริ่มสงบเรียบร้อยมากขึ้น

แต่เพื่อหาเลี้ยงชีพ หญิงสาวไม่ได้มีทางเลือกมากนักนอกจากต่อสู้กับความกลัวแล้วออกไปจ่ายตลาด

เพื่อให้รู้สึกปลอดภัย หลินม่ายเตรียมซื้อกริชไว้เล่มหนึ่งจากตลาดมืดติดไว้เผื่อใช้ป้องกันตัว

ซึ่งอันที่จริงกริชนั่นทำหน้าที่เพียงช่วยสร้างความอุ่นใจเท่านั้น ถ้าหากเธอต้องเผชิญหน้ากับคนร้ายเข้าจริง ๆ อาวุธเล็กน้อยนั่นก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้มาก

ทุกอย่างเงียบงันทั้งระหว่างทางขาไปและขากลับจากตลาด บรรยากาศรอบกายเงียบสนิท อยู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนที่อยู่ด้านหลัง

หลินม่ายพยายามระวังที่สุด และเตรียมตัวที่จะหันหลังกลับ แต่ก็ไม่ทันการณ์เพราะถูกโลหะเย็นเฉียบจ่ออยู่ที่คอเข้าให้แล้ว

เสียงกระซิบของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา “ถ้าไม่อยากตาย อย่าขัดขืน ทำตามที่ฉันสั่ง”

“อย่าทำอะไรฉันเลย จะเอาอะไรก็บอกมา”

หญิงสาวแสร้งทำเป็นกลัว และในขณะที่เธอกำลังจะเอื้อมมือไปล้วงหยิบกริชในกระเป๋าถือ เสียงของผู้ชายคนนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างเย็นเยียบ “นี่เธอคิดจะเล่นตุกติกอะไรกับฉันงั้นเหรอ”

หลินม่ายเปลี่ยนความคิดที่จะต่อสู้อีกฝ่ายด้วยอาวุธที่เธอมีในทันที

ผู้ชายคนนี้ฉลาดเกินไป คงเป็นการดีกว่าถ้าจะค่อย ๆ รับมืออย่างใจเย็น

“พาฉันไปที่บ้านเธอ” ชายคนนั้นออกคำสั่ง

หญิงสาวเงียบไปซักพักแล้วเริ่มถามออกไป “แน่ใจเหรอว่าจะไปบ้านของฉัน”

ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นไปบ้านฉันแทน”

หลินม่ายยอมเสี่ยงไปที่บ้านของเขาดีกว่าจะพาโจรคนนี้กลับไปที่บ้านของเธอ

เธออาจจะต้องเสี่ยงมากกว่าเดิมถ้ายอมไปกับเขา แต่ถ้าหากพาเขาไปที่บ้านทั้งโจวฉายอวิ๋นและโต้วโต้วจะพลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย

คนร้ายประเภทที่หยิบมีดขึ้นมาจ่อคอใครก็ได้แบบนี้อาจจะฆ่าคนเพื่อปิดปากเรื่องที่อยู่ของมันได้อย่างไม่ยากเลย

แม้ว่าชายคนนี้จะกำลังใช้มีดจี้คอเธออยู่ แต่เขากลับทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงที่ตัวเธอซึ่งนั้นทำให้เธอเดินไปข้างหน้าได้ยากลำบาก

ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวก็เข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงมาที่เธอแบบนั้น

มีกลิ่นเลือดจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ แสดงว่าชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บอยู่

หลินม่ายพยายามหาโอกาสที่จะหลบหนีด้วยการกระแทกข้อศอกเข้าที่ท้องของเขา

แต่ราวกับว่าคนร้ายสามารถอ่านใจเธอได้ เขาผลักเธออย่างแรงพร้อมขึ้นเสียงใส่ “อย่ารนหาที่ตายดีกว่าน่า!”

หลินม่ายไม่กล้าตุกติกอีกเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง

หลังจากเดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เขาก็พาเธอมาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง

ชายคนนั้นหยิบพวงกุญแจออกมาจากตัวแล้วอาศัยแสงจันทร์ช่วงเช้ามืดในการเลือกหาดอกที่ถูกต้อง

เสียบลูกกุญแจเข้าไปในแม่กุญแจ จัดการเปิดประตูออกแล้วผลักหลินม่ายเข้าไปด้วยมือเพียงข้างเดียว

หลินม่ายกระเด็นไปทรุดตัวลงที่หน้าโต๊ะเครื่องเซ่นในห้องนั่งเล่น และได้สบตากับภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่โต๊ะนั่น

แม้เธอจะไม่ใช่เด็กสาวขี้กลัวไร้เดียงสา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความรู้สึกขนลุกเกิดขึ้นมาวูบหนึ่ง

โจรนั่นยิ้มอย่างไร้สำนึกอยู่ที่ด้านหลังของเธอ “ทำความเคารพแม่ฉันทันทีที่เข้ามาแบบนี้ อยากจะลองเป็นลูกสะใภ้ท่านดูไหมล่ะ”

หลินม่ายไม่ได้โต้ตอบ ไม่ใช่แค่เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้ายด้วยความโกรธแต่ยังเป็นเพราะกลิ่นเหม็นอับบางอย่างที่คลุ้งอยู่ในอากาศด้วย

เจ้าของบ้านปิดประตูแล้วพยักพเยิดไปทางซ้ายของเขา “ไปที่ห้องนั้นแล้วเอากล่องพยาบาลมาทำแผล”

หญิงสาววางเนื้อในมือลงแล้วมองหาเชือกสำหรับเปิดไฟท่ามกลางแสงสลัวของดวงจันทร์ที่สาดเข้ามาจากทางหน้าต่าง

ทันทีที่เธอดึงเชือกเพื่อเปิดไฟ ก็ถูกแรงกระชากจากเจ้าโจรนั่นอย่างแรง

หลินม่ายส่งสายตาแห่งความสงสัยไปให้เขา

เขาจ้องเธอกลับด้วยดวงตาวาวโรจน์กลับมาภายใต้แสงจันทร์ “เธออยากให้ชาวบ้านเห็นกันหมดหรือไง”

หลินม่ายแสดงอาการตื่นตระหนกออกไปในตอนนั้น “ก็แล้วฉันจะหากล่องยาแบบมืด ๆ ได้ยังไง”

“นั่นมันก็เป็นเรื่องของเธอ ห้ามเปิดไฟ!” สิ้นคำสั่งนั้นเจ้าของบ้านก็ทรุดตัวลงที่โซฟาอย่างอ่อนแรง

หญิงสาวจึงหยิบเทียนจากแท่นบูชาออกมาแทน ไม่เปิดไฟตามคำสั่งแต่จุดเทียนสองเล่มให้กับเขา

ในตอนนั้นเองที่เธอได้โอกาสเห็นหน้าโจรอย่างชัดเจน เครื่องหน้าของเขาราวกับรูปสลัก แม้ว่าใบหน้าและริมฝีปากนั้นอาจซีดเผือดเพราะเสียเลือดไปบ้างแต่ก็ยังมองออกว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก

ชายบนโซฟาหรี่ตามองหญิงสาวแล้วแค่นหัวเราะออกมา “เธอคือยัยพริกขี้หนูนี่เอง ไม่น่าทำไมถึงได้วางแผนตุกติกตลอดทาง แถมเกือบจะฆ่าฉันแล้ว”

หลินม่ายเริ่มรู้สึกคุ้นตากับผู้ชายคนนี้ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังจำไม่ได้ว่าเคยเจอเขาที่ไหน

เธอรีบเถียงกลับเพื่อแก้ต่างคำพูดนั้นของเขา “คุณต่างหากที่จะฆ่าฉัน แล้วฉันก็ไม่ใช่พริกขี้หนูด้วย”

ชายคนนั้นหัวเราะขึ้นอีกครั้งก่อนจะเอ่ยออกมา “ก็ดูจากที่เธอหาเรื่องพนักงานตอนซื้อแจ็กเก็ตที่ห้างเจียงเฉิงจะไม่ให้เรียกยัยพริกขี้หนูได้ยังไง”

ประโยคนั้นทำให้เธอนึกออกในที่สุด ว่าเคยเจอเขาที่ห้างเจียงเฉิงมาก่อน

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางคุกคามเท่าในตอนแรก เธอจึงเริ่มผ่อนคลายลงแล้วสาวเท้าเข้าไปในห้องพร้อมกับเทียนหนึ่งเล่ม

ผู้ชายคนนั้นดูอย่างกับพวกอันธพาล

หลินม่ายคิดว่าห้องของอันธพาลน่าจะต้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความบ้าคลั่งโหดร้าย แต่ไม่คาดว่าห้องนั้นจะเป็นเพียงห้องธรรมดาที่ไม่ได้ต่างจากห้องของเด็กผู้ชายทั่วไปมากเท่าไร และยังมีการตกแต่ง ข้าวของต่าง ๆ ที่แฝงความเป็นเด็กหนุ่มอ่อนวัยเอาไว้

ภายในห้องมีเครื่องดนตรีหลายชนิด ฮาโมนิก้า กีตาร์ และซอเอ้อร์หู

ตามฝาผนังยังเต็มไปด้วยโปสเตอร์ภาพของดาราฮ่องกงและไต้หวันแปะอยู่ ทำให้รู้สึกว่าเจ้าของห้องนี้เป็นคนที่สนุกสนานกับการใช้ชีวิตแค่ไหน ซึ่งนั่นดูจะขัดกับผู้ชายที่นอนเจ็บอยู่บนโซฟาข้างนอกนั่นไปโข

หลินม่ายที่ตกอยู่ในความสับสนถูกเรียกให้กลับมาด้วยเสียงตะโกนอย่างเหลืออดจากห้องนั่งเล่น “มัวทำอะไรอยู่เล่า บอกให้เอากล่องยามา!”

หลินม่ายที่เมื่อครู่รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาเล็กน้อยที่ชายหน้าตาหล่อเหลาคนนี้อาจจะเลือกเดินทางผิด แต่พอได้ยินน้ำเสียงที่บังคับให้เธอไปเป็นคนรับใช้ให้แบบนั้นก็รีบหยุดความสงสารนั้นไปทันที

คนอันธพาลแบบนี้มันก็สมควรโดนแทงแล้ว

หลินม่ายหากล่องยาจนเจอก็รีบเอาออกมา เธอพบว่าท่อนบนของอีกฝ่ายเปลือยเปล่า เขาถอดเสื้อออกเพื่อรอให้เธอไปทำแผลให้

ร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลทั้งใหญ่และเล็กมากมายที่ทำเอาเธอรู้สึกชาวาบ

มีแผลสดที่ดูน่ากลัวยาวจากไหล่ถึงเอว ลึกไปถึงกระดูก เลือดยังคงไหลซึมออกมาตามจังหวะการหายใจของคนเจ็บ

แผลนั่นทำเอาเธอก้าวขาแทบไม่ออกไปชั่วขณะ

ชายบนโซฟาหลับตารอเธอซักพัก เมื่อไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของหลินม่ายเขาจึงลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วมองตรงมาที่เธอ

ก่อนจะเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทำไม หลงเสน่ห์จนพูดไม่ออกเลยหรือไง บ้าผู้ชายเหมือนกันนี่”

หลินม่ายรีบโพล่งออกไปด้วยความโมโห “คุณเห็นตรงไหนที่ฉันแสดงออกว่าสนใจคุณงั้นเหรอ จะหลงตัวเองก็ให้มีขอบเขตซะบ้างเถอะ”

แม้เขาจะหน้าตาหล่อเหลา แต่จะไปสู้ฟางจั๋วหรานได้อย่างไร

ถ้าจะต้องเลือกซักคน สำหรับเธอแล้วอย่างไรก็ต้องเป็นฟางจั๋วหราน ใครจะไปเลือกโจรที่เดินออกมาจี้คนอื่นในยามวิกาลแบบหมอนี่

ชายหนุ่มยิ้มร้ายและเอ่ยต่อ “ฉันว่าใช่ก็ใช่สิ”

อยู่ดี ๆ เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมา ชายหนุ่มค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่ง หยิบกล่องพยาบาลจากหลินม่ายมาเปิดออก ใช้แอลกอฮอล์และสำลีก้านมาทำความสะอาดบาดแผลที่อยู่บนลำตัวด้านหน้า

รอยแผลด้านหน้าไม่ได้เล็กน้อยเลย มีรอยมีดหลายจุดที่ยังคงมีเลือดไหลออกมา

กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งไปทั่วห้อง

พอนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อบาดแผลสดสัมผัสกับแอลกอฮอล์ หลินม่ายก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เจ็บหรือเปล่า”

“เจ็บสิ” ถึงแม้ว่าเขาจะตอบแบบนั้นแต่สีหน้ากลับไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา

เขาสบตาเธอแล้วพูดขึ้นมาอย่างทีเล่นทีจริง “แต่ถ้าอยากให้หายเจ็บก็คงได้ต้องพึ่งจูบของเธอ”

หญิงสาวได้ฟังก็กลอกตาแล้วปิดปากเงียบทันที เธอไม่อยากจะเสียเวลามาสนใจถามอะไรเขาอีกแม้เพียงครึ่งคำ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เฮือก ใจหายเลยม่ายจื่อเอ๊ย ดีที่ไอ้โจรนี่มันไม่ได้ทำอะไรเธอ เป็นคนอื่นเธอไม่รอดแน่

นั่นแน่ มีใจให้พี่หมอแล้วล่ะสิ

ไหหม่า(海馬)