ตอนที่ 109 เริ่มต้นการสอบ

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 109 เริ่มต้นการสอบ

แปดโมงเช้าของวันที่สิบสี่เมษายน ไป๋เยี่ยมาถึงสถานที่ลงทะเบียนก่อนเวลา

แต่ถึงอย่างนั้นแถวก็ยาวแล้ว แถมรอบๆ ยังมีอาสาสมัครคอยแนะนำและดูแลความสงบเรียบร้อยอีก

เมื่อไป๋เยี่ยเดินเข้ามาก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม

“มาสอบรอบสองใช่ไหมครับ”

ไป๋เยี่ยพยักหน้าพร้อมกับหยิบเอกสารออกมา “ใช่ครับ”

“จะสมัครสาขาอะไรครับ วิชาชีพหรือวิชาการ”

“วิชาชีพ การแพทย์แผนจีนสาขาโรคสมองครับ” ไป๋เยี่ยตอบไปตามความจริง

“โอเค งั้นตามผมมาเข้าแถว ตรงนั้นคือแถวนักวิชาการ ด้านซ้ายคือแถวสาขาการแพทย์แผนจีนและศัลยศาสตร์ ถัดไปคือสาขาบูรณาการ แผนกอายุรศาสตร์แพทย์แผนจีนก็อยู่ในนั้นแหละ” ชายหนุ่มให้คำแนะนำเป็นอย่างดี

ตอนนี้ด้านหน้าไป๋เยี่ยมีคนต่อคิวราวๆ สี่สิบคนแล้ว ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะกระตือรือร้นมาก และเพราะว่าวันนี้จะมีการตรวจร่างกาย ทางมหาวิทยาลัยจึงออกประกาศว่าห้ามรับประทานอาหารเช้าหรือเครื่องดื่มใดๆ ก่อนมาตรวจร่างกาย

โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่คอยยืนยันตัวตนและดำเนินการขั้นตอนต่างๆ อย่างรวดเร็ว

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงคิวของไป๋เยี่ย

“ขอสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หนังสือรับรองสภาพการเป็นนักศึกษา…อย่างละสองชุด”

“นี่คือแบบฟอร์มลงทะเบียนของคุณ ลงชื่อและตรวจสอบชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาด้วยนะ”

“ส่วนนี่คือแบบฟอร์มตรวจร่างกายและใบรับรองผู้สมัครของคุณ เก็บไว้ให้ดี”

“บูธตรวจร่างกายจะตั้งอยู่ตรงอาคารด้านตะวันออก ค่าตรวจร่างกายสามร้อยหยวน ตรวจร่างกายเสร็จตอนเช้าก็ไม่มีธุระอะไรแล้ว พรุ่งนี้ก็มาเข้าสอบให้ตรงเวลานะ”

“บนบอร์ดมีรายละเอียดอื่นๆ รวมถึงขั้นตอนการสอบด้วย ถ่ายรูปเก็บไว้นะ”

เป็นการตรวจร่างกายทั่วๆ ไปที่มีค่าใช้จ่ายสามร้อยหยวน

ไป๋เยี่ยเดินถือแบบฟอร์มตรวจร่างกายทั้งสองฉบับไว้แน่น

มีรถตรวจร่างกายจอดอยู่ที่ทางเข้าอาคารด้านตะวันออกสองคัน น่าจะเป็นรถตรวจร่างกายชั่วคราว

ไป๋เยี่ยเข้าคิวและทำตามขั้นตอนต่างๆ โดยเริ่มจากขั้นแรก ชั่งส่วนสูง น้ำหนัก และวัดความดันโลหิต…

หลังจากนั้นก็กรอกแบบฟอร์มและลงชื่อ

ไป๋เยี่ยรับแบบฟอร์มแล้วเดินไปจุดตรวจร่างกายทั่วไปๆ ได้แก่ เอกซเรย์ทรวงอก ตรวจเลือด ตรวจตับ ตรวจหาโรคติดต่อ และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

ขั้นตอนการตรวจนั้นดำเนินไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงตอนต่อคิวเท่านั้นที่ช้า

ไป๋เยี่ยตรวจร่างกายเสร็จตอนประมาณสิบเอ็ดโมงเกือบเที่ยง เขาส่งแบบฟอร์มการตรวจร่างกายและออกมาทันที

พรุ่งนี้เขาจะต้องสอบข้อเขียนแต่เช้า ไหนๆ บ่ายนี้ก็ว่างแล้ว ไป๋เยี่ยจึงตั้งใจจะไปกินอาหารที่ร้านใกล้ๆ มหาวิทยาลัย

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อ น่าจะหาเวลาเดินเล่นทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบๆ เสียหน่อย

ไป๋เยี่ยไม่ได้ไปเดินเล่น แต่กลับตรงไปที่ร้านถ่ายเอกสารแทน

ทำไมถึงต้องไปที่ร้านถ่ายเอกสารงั้นเหรอ

เพราะว่าร้านถ่ายเอกสารของมหาวิทยาลัยเปรียบเสมือนสถานที่วิเศษของมหาวิทยาลัยนั่นเอง

ที่นี่มีข้อสอบจริงเกือบทุกฉบับรวมถึงประเด็นสำคัญที่อาจารย์ชอบเน้นย้ำจากหลายๆ ปี

ช่วงสอบของทุกปี ร้านถ่ายเอกสารจะกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตของเหล่านักศึกษา เพราะข้อสอบสำคัญๆ มักจะหลุดมาจากที่นี่…

ไป๋เยี่ยรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี มันเป็นความลับในการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ ของเขาเลย

ทันทีที่มาถึง ไป๋เยี่ยก็เอ่ยถามขึ้น “คุณป้า มีข้อสอบเก่าหรือแบบฝึกหัดสอบเข้าป.โทของปีก่อนๆ ไหมครับ”

คุณป้าที่ร้านถ่ายเอกสารตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้ “นี่หนูอยู่มอเราเหรอ ทำไมเตรียมตัวช้าจังล่ะ”

ไป๋เยี่ยยิ้มตอบโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม

ไม่นานนัก คุณป้าก็ค้นไฟล์จากในคอมพิวเตอร์มาให้ ซึ่งไฟล์เหล่านั้นล้วนเป็นเอกสารและข้อสอบสอบเข้าปริญญาโท

“หนูอยากได้อะไร มาลองค้นดูนะ เดี๋ยวป้าพิมพ์ให้”

ไป๋เยี่ยค้นคลังไฟล์ไปเรื่อยๆ อันไหนที่เขาเคยทำแล้วก็ข้ามไปเลย ผ่านไปราวๆ สิบนาที ในที่สุดเขาก็คัดแบบฝึกหัดและข้อสอบจริงของปีก่อนๆ ที่ต้องการออกมาเสร็จเรียบร้อย

หลังจากพิมพ์เสร็จเขาก็กลับมาที่โรงแรม

เขาไม่ได้นำหนังสือมาด้วย และเขาเองก็คงจะไม่มีเวลาอ่าน ช่วงไป๋เยี่ยไม่ได้จะออกไปไหนอยู่แล้วจึงลองทำแบบฝึกหัดและข้อสอบจริงไปสองรอบ

คร่าวๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว!

ตกเย็นเขาก็สั่งเดลิเวอรี่เข้ามาแทนที่จะออกไปหาอะไรกินข้างนอก

ไป๋เยี่ยเริ่มรู้สึกเบื่อจึงเปิดวีแชทขึ้นมา ช่วงนี้ไป๋เยี่ยดูจะเข้าวีแชทบ่อยขึ้นจากแต่ก่อนด้วยเหตุผลบางอย่าง เพราะเมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนติดวีแชทเลยสักนิด

ไป๋เยี่ยกดเปิดหน้าแชทแล้วดันเลื่อนไปเจอแชตของเมิ่งอวิ๋นซี ทำเอาไป๋เยี่ยนิ่งไปชั่วขณะ…เธอจะหลับสบายไหมนะ

ไป๋เยี่ยเริ่มคิดว่าตนเองน่าจะเป็นโรคจิตเพราะดูเหมือนว่าเขาจะกำลัง ‘คิดถึง’ คนที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน

คาดหวังเหรอ ตั้งตารอที่จะได้วิจัยเรื่องหนูทดลองด้วยกันน่ะเหรอ ไป๋เยี่ยจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะคุยเรื่องหนูทดลองกับเธอตั้งนานแล้ว!

ไป๋เยี่ยส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป…เขาเปิดโมเมนต์ขึ้นมาเพื่อดูว่ามีอะไรใหม่ๆ บ้างหรือไม่

แท้จริงแล้วโมเมนต์วีแชทก็คือแหล่งแสวงหาความรู้นั่นเอง หลังจากที่ไป๋เยี่ยไถโมเมนต์ไปเรื่อยๆ จนผ่านไปหนึ่งชั่วโมง จู่ๆ เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น

ไป๋เยี่ยกดออกจากโมเมนต์และลองเข้าไปดูในแชทแทน

ข้อความจากกลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้นั่นเอง

แม้ว่ากลุ่มนี้จะคุยกันตลอดเวลา แต่ก็ไม่น่าจะคุยกันเวลานี้หรือเปล่า นี่ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว พวกอาจารย์สูงวัยก็น่าจะกำลังเตรียมตัวเข้านอนกันแล้วนี่นา!

ทันทีที่ไป๋เยี่ยกดเปิดแชทกลุ่มและพบว่ามีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านเด้งขึ้นมาร้อยกว่าข้อความ

เขาจึงกดเข้าไปอ่านทันที

จางเสวียเวิ่น: [วันนี้โรงพยาบาลผู่เจ๋อติดต่อผมมาว่าผมพอจะรู้จักนักศึกษาป.เอกคนไหนไหม]

สวี่เจิ้งเหนียน: [ผมก็ได้ข่าวมาเหมือนกันครับ]

[ได้ข่าวว่าประธานหลิวจากสถาบันแพทย์แผนจีนถูกย้ายไปเป็นผอ.โรง’ บาลผู่เจ๋อนี่นา]

[ในที่สุดรัฐก็เห็นความสำคัญของผู่เจ๋อสักที!]

[ใช่แล้ว ผมจำได้ว่าตอนที่โรงพยาบาลผู่เจ๋อก่อตั้งขึ้นครั้งแรกก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก โรงพยาบาลผู่เจ๋อทุ่มเทกับการบูรณาการการแพทย์แผนจีนเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบันมาก ตอนนั้นผู่เจ๋อถึงกับการเป็นเสาหลักของวงการเลย ใครๆ ก็ได้รับเชิญไปที่นั่น!]

ไป๋เยี่ยนิ่งไป โรงพยาบาลผู่เจ๋องั้นเหรอ

โรงพยาบาลผู่เจ๋อก่อตั้งขึ้นในสมัยสาธารณรัฐจีน เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่นำหลักการแพทย์แผนจีนมาบูรณาการเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบันโดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลในยุคนั้น

โรงพยาลผู่เจ๋อได้ดึงผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงแพทย์พื้นบ้านที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นเข้ามาทำงานด้วย

โรงพยาบาลผ่านภัยสงครามมาได้โดยไม่เสื่อมโทรมแต่อย่างใด จึงกลายเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศในขณะนั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น ก็มีการพัฒนาการแพทย์สมัยใหม่มาโดยตลอด เหล่าบุคลากรอาวุโสในโรงพยาบาลผู่เจ๋อก็ใช้การแพทย์แบบเดิมๆ กับคนรุ่นใหม่ไม่ได้ ทำให้เกิดเป็นช่องว่างระหว่างรุ่น

ทุกวันนี้โรงพยาบาลผู่เจ๋อจึงได้แต่รักษาชื่อเสียงในฐานะโรงพยาบาลชั้นนำเอาไว้

ถ้าอิงตามที่อาจารย์จางและคนอื่นๆ พูด แปลว่าโรงพยาบาลผู่เจ๋อกำลังจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งอย่างนั้นหรือ

สวี่โฮ่วเต้า: [วันนี้ผมได้ไปเยี่ยมชมห้องแล็บของโรงพยาบาลผู่เจ๋อด้วย ทำเอาผมตกใจเลย ที่นั่นมีอุปกรณ์ใหม่ๆ เยอะมาก ห้องแล็บของที่นั่นก็มีมาตรฐานพอๆ กับห้องแล็บของสถาบันวิจัยอันดับต้นๆ ในประเทศเลย]

[ไม่ใช่แค่ศักยภาพทางการวิจัยที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ได้ข่าวว่าหลังจากที่ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเรียบร้อยแล้วจะมีการแต่งตั้งหัวหน้าแผนกแผนกละสองคนด้วย คนหนึ่งรับผิดชอบด้านงานวิจัย ส่วนอีกคนรับผิดชอบงานในวอร์ด แถมหัวหน้าแผนกแต่ละคนยังเป็นบุคลากรแนวหน้าจากในและนอกประเทศ แล้วยังเป็นอันดับต้นๆ ของมณฑลด้วย รัฐมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผู่เจ๋อสินะ!]

[ใช่ เพื่อลดช่องว่างระหว่างรุ่น ผอ.หลิวจึงตัดสินใจดำเนินแผนการฝึกอบรมบุคลากรทั้งสามระดับ โดยจะแบ่งออกเป็น บุคลากรระดับปริญญาโท บุคลากรระดับปริญญาเอก และบุคลากรระดับโพสต์ด็อก โดยจะอบรมนักศึกษาระดับปริญญาโทเป็นการส่วนตัวด้วย]

ไป๋เยี่ยที่ได้อ่านข่าวดังกล่าวถึงกับเบิกตากว้างทันที!