บทที่ 101 ฉันรักคุณจริงๆ นะ

ลูกซื้อพ่อให้แม่

บทที่ 101 ฉันรักคุณจริงๆ นะ

“นี่นาย…” ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังพ่นคำด่าออกไป สายตาที่ดุดันของหานซือฉีก็เหลือบไปมองเธอจนเธอต้องหยุดและกลืนคำพูดเหล่านั้นไป

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นทุกข์ระทมในทันที ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าอย่างรวดเร็วนั้นมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังโกรธก็ยังต้องรู้สึกกังวลขึ้นมาแทน

“เป็นอะไรไป…” เธอเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

หานซือฉีเมินคำถามของเธอและคุยโทรศัพท์ต่อ “เข้าใจแล้ว”

หลังจากที่วางสายไปแล้ว เขาก็หันไปหยิบเสื้อคลุมแล้วรีบเดินออกไปด้วยความเร่งรีบ

“หานซือฉี! หยุดก่อน!”

มองอีกฝ่ายที่เดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง ความโกรธที่สั่งสมมาพักใหญ่ๆ มันก็ลงไปกองกันที่เท้า เธอยกขาขึ้นถีบประตูที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยไปเต็มแรงจนกำแพงตึกนั้นแทบจะสั่นไปพร้อมๆ กันทุกห้อง

ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับมาเดินวนไปวนมารอบห้องโดยหวังว่าอารมณ์จะเย็นลงได้ แต่ไม่ว่าจะวนเป็นร้อยรอบพันรอบ อารมณ์ของเธอมันก็ยังไม่เย็นลงเสียที

มีอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทหรือยังไงน่ะ? ไม่สิ…รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับหานซือเซียนมากกว่า… บางทีสวี่เหยียนอาจจะรู้เรื่องนี้ก็ได้!

“อาเหยียน เย็นนี้มากินข้าวเย็นห้องฉันไหม?”

สวี่เหยียนที่รับโทรศัพท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “เจิ้งเจิ้ง ฉันกำลังอยู่กับอี้เฉิง และพวกเราเพิ่งจะสั่งอาหารกันไป เพราะงั้นเธอนั่นแหละมา เอาฝูซิงมาด้วย”

“แล้วพวกเธออยู่ที่ไหนกันน่ะ?” เมื่อรู้แล้วว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ฝูเจิ้งเจิ้งก็เก็บของแล้วรีบตามไปที่นั่นทันที

เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งไปถึงห้องอาหารส่วนตัวตามที่สวี่เหยียนบอก อาหารที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟพอดี

“ฉันนี่โชคดีจริงๆ !” เธอนั่งลงโดยไม่มีพิธีรีตองอะไรด้วยรอยยิ้ม

เสี่ยวอี้เฉิงไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่เมื่อเขาไม่เห็นฝูซิง เขาก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “ทำไมฝูซิงถึงไม่มาด้วยล่ะ?”

ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบหาข้ออ้างและคุยเรื่อยเปื่อยกับทั้งสองพักหนึ่ง ก่อนจะเป็นฝ่ายดึงเข้าเรื่องเกี่ยวกับบริษัทเว่ยหานแทน

“อาเหยียน มีอะไรเกิดขึ้นที่บริษัทหรือเปล่า? ฉันรู้สึกไม่ดีเลย”

“มีสิจ๊ะ แถมใหญ่มากด้วย!” สวี่เหยียนวางตะเกียบลงก่อนจะเริ่มพูดด้วยความกังวล “พวกคนที่จองห้องในเมืองฮั่นต้าน่ะเริ่มมาขอเงินคืนแล้ว เพราะพวกเขาไปรู้มาว่าสถานีรถไฟใต้ดินจะไม่เปิดใกล้ๆ เมืองฮั่นต้าตามที่ได้โฆษณาไว้แล้วน่ะสิ”

“สถานีรถไฟใต้ดินนี่มันจะย้ายกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งงุนงง “ขนาดตัวเมืองฮั่นต้าเองยังโปรโมทเรื่องอยู่ใกล้กับรถไฟใต้ดินเลยแท้ๆ แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่ๆ!”

หานซือเซียนไม่ใช่คนใจร้อน! เขาไม่ทำอะไรโดยที่ไม่มั่นใจแน่ๆ !

“ฉันว่าบริษัทเราก็รู้เรื่องนี้กันมานานแล้วนะ แต่ทางเทศบาลน่ะไม่ยอมออกมาชี้แจงเรื่องนี้ให้ชัดเจนซักทีเนี่ยแหละ อย่างที่รู้กันว่าแต่ก่อนโครงการนี้ไหลลื่นจะตายไป แต่พอเรื่องนี้เกิด คนในบริษัทต่างก็คาดเดากันว่าเป็นผลมาจากที่งานแต่งงานระหว่างเฉียวเค่อเหรินและคุณหานเปลี่ยนแปลงไป”

“เปลี่ยนแปลง? ยังไงน่ะ?” เธออึ้งไปเลยที่ได้ยินเช่นนั้น ขนาดเธออยู่กับเขาแทบจะทุกวันยังไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย

“อืมมมม เรื่องนี้ฉันก็ไม่ได้รู้เยอะนักหรอก ยังไงซะการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าเมือง B ก็อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของเทศมนตรีเฉียวแหละ เค้าว่ากันว่าที่บริษัทเว่ยหานพังยับไม่เป็นท่าแบบนี้ก็เป็นฝีมือของเทศมนตรีเฉียวนั่นแหละ คนคนนั้นทำลายความพยายามของท่านประธานหานจนเละไม่เป็นชิ้นดีเลย!” สวี่เหยียนถอนหายใจ

เทศมนตรีเฉียว มีอิทธิพลมากขนาดนั้นเลยเหรอ?

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหานซือเซียนถึงพยายามจับให้หานซือฉีอยู่กับเฉียวเค่อเหรินบ่อยๆ !

สายที่โทรเข้ามาก่อนหน้านี้ของหานซือฉี จะใช่หานซือเซียนหรือเปล่านะ?

รู้แบบนี้แล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกกังวล เขาจะถูกพี่ชายบังคับให้ไปเอาอกเอาใจเฉียวเค่อเหรินอีกหรือเปล่า?

ขณะที่หลุดไปในภวังค์นั้น เธอก็เผลอทุบตะเกียบไปกับโต๊ะรุนแรงจนทั้งสวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงพากันตกใจ

เห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูจะไม่มีความสุข สวี่เหยียนก็รีบถามขึ้นมา “เป็นอะไรไปหรือเปล่า เจิ้งเจิ้ง?”

“อ๊ะ ม-ไม่มีอะไรหรอก แหะๆ พอดีฉันกังวลเกี่ยวกับบริษัทขึ้นมานิดหน่อยน่ะ” เมื่อตระหนักได้ว่าตนเผลอทำอะไรไม่ดีออกไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบไล่ความคิดแปลกๆ ออกไปให้หมด “ยังไงซะฉันก็เคยเป็นพนักงานในบริษัทนี่เนอะ”

“เจิ้งเจิ้ง…” สวี่เหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาช้าๆ “ในบริษัทตอนนี้น่ะ กำลังมีเรื่องซุบซิบกันว่า ที่งานแต่งของคุณหานเลื่อนออกไป มันเกี่ยวข้องกับเธอนะ พวกเขาเดากันไว้ว่าคนที่ไปช่วยแก้ข่าวเสียๆ หายๆ ในอินเตอร์เน็ตให้เธอก็คือคุณหานเนี่ยแหละ นอกจากนี้พวกเขายังจำได้อีกด้วยว่าผู้หญิงที่ถูกเบลอหน้านั่นคือเฉียวเค่อเหริน เจิ้งเจิ้ง เธอกับคุณหาน…มีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่?”

ฝูเจิ้งเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ในที่สุด เธอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดไป ตั้งแต่เรื่องที่หานซือฉีเป็นพ่อแท้ๆ ของฝูซิงรวมไปถึงเรื่องที่เธอเคยเจอหานซือฉีเมื่อ 6 ปีที่แล้วแต่เขาจำเธอไม่ได้ด้วย

ได้ยินแบบนั้นสวี่เหยียนก็ช็อกไปพักใหญ่ๆ ก่อนจะพูดสรุป “ถ้างั้นผู้หญิงคนอื่นนั่นดูเหมือนจะไม่ใช่เธอละ แต่มันคือเฉียวเค่อเหรินต่างหาก!”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าฝูเจิ้งเจิ้ง แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นพอตัว “ไม่มีใครเป็นคนอื่นหรอกนะ ตั้งแต่ที่ฉันรู้ว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว ฉันก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งอะไรในชีวิตเขาหรอก”

สิ่งเดียวที่เธอต้องการในตอนนี้ก็คือสร้อยคอของเธอ เมื่อได้มันมา เธอจะได้นำมันไปให้หยางเต๋า จากนั้นเธอและลูกก็จะสามารถออกจากเมือง B นี้ได้เสียที

สวี่เหยียนจับมือฝูเจิ้งเจิ้งไว้และคอยปลอบใจเธออยู่นานจนเธอนั้นเป็นฝ่ายหายตกใจกับเรื่องที่ได้ฟังนี่ในที่สุด “ฉันไม่คิดว่าคุณหานจะเป็นคนยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ หรอกนะ ในเมื่อเขารับซิงซิงเป็นลูกของเขาแล้ว ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องไม่ปล่อยให้เธอต้องทุกข์ยากแน่ๆ !”

เขาจะทำแบบนั้นเหรอ? คิดแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังได้แต่ส่ายหน้า

เสี่ยวอี้เฉิงที่เงียบมานาน ในที่สุดก็พูดขึ้นบ้าง “ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้จะง่ายแบบนี้หรอกนะ เคยได้ยินมาว่าเทศมนตรีเฉียวเจ้าเล่ห์เอาการเลย บางทีแผนนี้อาจจะเป็นฝีมือของเขาจริงๆ ก็ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อใช้ความได้เปรียบเหนือกว่าหานซือเซียนในการบีบบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ตนต้องการ และด้วยแผนการของเขา มันก็เปรียบได้กับหายนะครั้งใหญ่ของบริษัทเว่ยหานด้วย ลองคิดดูสิ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานีรถไฟใต้ดินที่ประกาศสร้างนั่น จะมีใครไปซื้อบ้านอยู่ในเมืองฮั่นต้าบ้าง? บางทีมันอาจจะกลายเป็นเมืองร้างเลยก็ได้นะ”

ฟังเสี่ยวอี้เฉิงพูดดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็เงียบไปอีกรอบ

ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกคนอื่นเอาเปรียบแน่ๆ แต่ทำไมถึงยังยอมตกลงอะไรแปลกๆ อีกนะ?

เธอได้แต่ถอนหายใจให้กับหานซือเซียนและรู้สึกเสียใจกับหานซือฉี

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขามักจะ…

เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูหมดสนุกอีกแล้ว สวี่เหยียนก็เริ่มหมดอารมณ์ในการกินอาหารตรงหน้าและหันมาเกลี้ยกล่อมฝูเจิ้งเจิ้งใหม่

ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามปั้นยิ้มและส่ายหน้าเพื่อบอกพวกเขาว่าเธอไม่เป็นไร หลังจากที่ทานอะไรลงไปบ้างนิดๆ หน่อยๆ จึงค่อยพูดขึ้นมาว่าตนอิ่มแล้ว

สวี่เหยียนอยากจะให้เธอทานมากกว่านี้ แต่เสี่ยวอี้เฉิงก็ส่ายหน้าเบาๆ มันเลยทำให้เธอไม่กล้าพูดและยอมปล่อยให้ฝูเจิ้งเจิ้งปลีกตัวไปก่อน

ด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีเท่าที่ควร ฝูเจิ้งเจิ้งเดินลงไปยังโถงด้านล่างของร้านอาหาร เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาหานซือฉี แต่แม้จะกำลังกดเบอร์ของเขาแล้ว เธอก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

หลังจากถอนหายใจไล่ความคิดฟุ้งซ่านไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เก็บโทรศัพท์ลงไปดังเดิมและเตรียมที่จะออกจากที่นี่ และในตอนนั้นเอง ร่างที่ดูคล้ายกับหานซือฉีก็เดินเข้ามาในระยะสายตา

เห็นเช่นนั้นเธอก็ดีใจเป็นอย่างมาก ครั้นเมื่อจะวิ่งเข้าไปเรียก เธอก็ต้องรีบหยุด เพราะคนที่มาคู่กับหานซือฉีซึ่งเขาโอบไหล่ไว้นั่นก็คือ เฉียวเค่อเหริน!

เฉียวเค่อเหรินเองก็โอบเอวของเขาไว้แน่นด้วย ทั้งสองคุยกันด้วยรอยยิ้มหวานหยดขณะเดินมาด้วยกัน ดูยังไงก็เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย

งานแต่งงานไม่ราบรื่นงั้นเหรอ? เห็นภาพแบบนี้แล้วจะมีใครเชื่ออีกน่ะว่างานแต่งงานไม่ราบรื่น?

ฝูเจิ้งเจิ้งไม่พูดไม่จาอะไร เธอหันไปมองตามหลังทั้งสองด้วยความริษยา และไม่รอให้ร่างเหล่านั้นพ้นตาไป เธอก้าวเท้าหนักๆ ลงไปบนพื้นราวกับจะกระทืบขณะที่เจ้าของฝีเท้าอย่างฝูเจิ้งเจิ้งก็มุ่งหน้ากลับบ้านไปด้วยความไม่พอใจ

————————————————————–

“ซือฉี ฉานร้ากคุณนะค๊าา~ คุณเปนของช๊านแร้ว~ เอิ้ก!” เฉียวเค่อเหรินถูกจับนั่งลงไปบนที่นั่งข้างๆ คนขับโดยหานซือฉี ขณะเดียวกันเธอก็จับมือของเขาเอาไว้ด้วย

“เค่อเหริน เธอเมามากแล้วนะ” หานซือฉีค่อยๆ แกะมือเธอออกก่อนจะคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอด้วย

“ฉันเมาตลอดน่านแหละ เวลาด้ายเจอคุณ~ ต่อให้ม่ายด้ายดื่มหล้าวก้อตาม~” เธอหลงใหลในหานซือฉีเป็นอย่างมาก สองแขนยกขึ้นโอบคอของเขาและค่อยๆ ยื่นริมฝีปากเข้าไปใกล้ๆ

หานซือฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจจูบเธอด้วยริมฝีปากอันอบอุ่นไปทีหนึ่ง

“ซือฉี…ซือฉีคะ….” เธอร้องเรียกชื่อเขาอย่างคลุมเครือเช่นเดียวกับสติ แต่แขนที่กอดก็ยังคงกอดแน่นอยู่

ชายหนุ่มหันมองรอบๆ ก่อนจะแกะมือเธอออกอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เค่อเหริน เปลี่ยนที่กันเถอะ ที่นี่คนเยอะ”

“ด-ได้เลยค่ะ…” แม้จะยังเมา แต่คำพูดของหานซือฉีก็ทำให้เฉียวเค่อเหรินเขินอายและตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก

เขากลับขึ้นรถหลังตกลงกันได้และขับออกไปหาโรงแรมม่านรูดแถวๆ นั้นอย่างรวดเร็ว

ในตอนนั้นขาทั้งสองข้างของเฉียวเค่อเหรินมันอ่อนแรงไปหมดแล้ว หานซือฉีจึงค่อยๆ พยุงเธอให้เข้าไปในห้องที่จองไว้ก่อนจะวางเธอลง

“ซือฉี…” เฉียวเค่อเหรินที่ดูจะรอเวลานี้มานานแล้วรีบหันกลับไปและกอดเขาไว้ทันที

มือหนึ่งของหานซือฉีคอยประคองร่างที่โผเข้ากอดเขาเอาไว้ ในขณะที่อีกมือหนึ่งก็ควานหาของในกระเป๋าของตน ครู่หนึ่งเขาก็ค่อยๆ หาที่นั่งให้เฉียวเค่อเหรินและดันเธอลงไปด้วยความเบามือ “เค่อเหริน ฉันลืมหยิบคีย์การ์ดมา ขอไปเอาแปปนึงนะ”

เฉียวเค่อเหรินผู้ที่ต้องรอไปอีกก็รู้สึกเสียใจที่จะโดนขัดนั้นตัดสินใจไม่ยอม ด้วยความร้อนรุ่มภายในร่างกายราวกับโดนไฟแผดเผา เธอกอดหานซือฉีไว้แน่นและปฏิเสธไม่ให้เขาไป

“ไม่ต้องกลัวที่รัก รอที่นี่ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา” เขาสลัดตัวเธอออกได้ในที่สุดและรีบเดินมายังประตูลิฟต์ทันที

“ซือฉี กลับมาก่อนสิ…” เธอยื่นแขนออกไปจนสุด แต่ก็ไม่สามารถคว้าตัวหานซือฉีไว้ได้ ขาที่อ่อนแรงอยู่แล้วนั้นก็ค่อยๆ ถอยจนเธอต้องใช้ประตูเป็นตัวช่วยประคองไม่ให้ล้มลงไป

“รีบๆ กลับมานะคะ… รีบกลับมานะ ซือฉี…” ร่างของเฉียวเค่อเหรินค่อยๆ นั่งลงไปกับพื้นอย่างอ่อนล้า ดวงตาของเธอเองก็เริ่มพร่ามัวขึ้นมาทุกที ในขณะเดียวกันริมฝีปากก็เอาแต่เรียกหาหานซือฉีอยู่ตลอดเวลา

“เค่อเหริน?” เสียงชายทุ้มต่ำดังขึ้นมา

เธอเงยหน้าขึ้นมา และพบใบหน้าของหานซือฉีกำลังส่ายอยู่ตรงหน้าเธอ ความสุขของหญิงสาวกลับมาอีกครั้ง เธอลุกพรวดและพุ่งเข้ากอดร่างตรงหน้าทันที

ความรู้สึกยามเมื่อโดนหานซือฉีโอบกอดนั้นมันทำให้ทั่วทุกอณูบนร่างกายของเธอมันตื่นตัวแบบสุดๆ แขนสองข้างขยับขึ้นโอบรัดคอของอีกฝ่ายไว้พร้อมยิ้มหวานให้แก่เขา “ซือฉี ฉันรักคุณจริงๆ นะคะ…”

ในขณะเดียวกับที่พูด เธอก็ค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาจนริมฝีปากแทบจะสัมผัสกันด้วย ทว่าหานซือฉีกลับไม่ตอบสนองอะไร มันเลยยิ่งทำให้เฉียวเค่อเหรินกระวนกระวาย “ซือฉี…ถ้าจะไม่บอกรักฉัน ก็อย่าทิ้งฉันก็พอ ได้ไหมคะ?”

หานซือฉียังคงไม่ตอบเธอดังเดิม เขาเพียงแค่ช่วยพาเธอเข้าห้องไปเท่านั้น

“ซือฉี…”

หญิงสาวเอ่ยเรียกชื่อของชายผู้เป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทันใดนั้นเมื่อเธอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินออกจากห้องไป เธอก็รีบลุกขึ้นมาอีกครั้งและกอดเขาไว้จากด้านหลังทันที

———————————-

เจี่ยเย่ฮัวหยวน

มันเกือบจะมืดแล้ว แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงดังเดิม เธอจ้องมองไปยังเพดานโดยที่สมองก็เอาแต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี

หลี่หงที่ทำนู่นทำนี่อยู่ในห้องนั้น เมื่อเห็นว่าหานซือฉีเข้าห้องมา เธอก็รีบโค้งให้และถาม “คุณหาน สวัสดีตอนเย็นค่ะ วันนี้จะทานข้าวเย็นที่นี่ไหมคะ?”

เขาพยักหน้าเบาๆ “รบกวนด้วยนะ”

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะออกไปซื้ออาหารมาเพิ่มให้ รอก่อนนะคะ” หลี่หงพูดและรีบเดินออกจากห้องไปพร้อมตะกร้าในมือทันที

หานซือฉีมางั้นเหรอ? นี่เขายังกล้ามาที่นี่อีกเหรอ?

ในทันทีที่ฝูเจิ้งเจิ้งลุกขึ้นมานั่ง หานซือฉีก็เดินเข้าไปในห้องของเธอแล้ว

เมื่อเธอเห็นเขา ความคิดในหัวมันก็ไม่สามารถควบคุมได้อีก ภาพของเขาที่อยู่กับเฉียวเค่อเหรินอย่างรักใคร่กลมเกลียวนั้นมันคอยตอกย้ำเธอให้รู้สึกแย่มากขึ้นเรื่อยๆ “ทำไมถึงยังกลับมาที่นี่อีกล่ะ?”

“นี่มันบ้านของพวกเรา ทำไมฉันจะไม่กลับมาล่ะ?” แทนที่เขาจะเข้ามาหาเรื่องเธอตามปกติ วันนี้เขากลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“หานซือฉี! ออกไปไกลๆ ฉันเลย! ถ้าอยากจะนอนก็ไปนอนเตียงของตัวเองโน่น!” ฝูเจิ้งเจิ้งเหลือบมองก่อนจะพูดเสริม “…อย่าเอากลิ่นของผู้หญิงคนอื่นมาแปดเปื้อนเตียงฉัน…”

“เธอหึง?” ชายหนุ่มขยิบตาให้โดยไม่รู้สึกโกรธอะไรเธอ

“เอาอะไรมาพูดน่ะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับพูดไม่ออก เธอรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “หานซือฉี นายนี่มันไม่มีความรับผิดชอบเลยจริงๆ เมืองฮั่นต้ามีปัญหาอยู่ไม่ใช่หรือไง? นายยังมีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับฉันอีกงั้นเหรอ!”

เขาค่อยๆ วางหัวลงไปบนมือที่ช้อนหัวของตนไว้ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสบายๆ “แล้วถ้าอย่างงั้นฉันควรจะทำยังไงดี?”

“ไป ดู แล คุณ เฉียว ซะ สิ! เธอจะได้ช่วยนายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไง!” แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยอมรับว่าเธอนั้นไม่ได้อยากให้เขาทำแบบนั้นซักเท่าไหร่

ในตอนที่หานซือฉีกำลังจะพูดอะไรซักอย่าง โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น มันเป็นสายจากหลินหยงเฉิง

“คุณหานครับ ผม…” ที่ปลายสายนั้น นอกจากเสียงของหลินหยงเฉิงที่กำลังลังเลแล้ว ก็มีเสียงของผู้หญิงหลุดเล็ดรอดออกมาด้วย

หานซือฉีลุกขึ้นมานั่งตัวตรงก่อยจะถามด้วยเสียงนิ่งสงบ “เกิดอะไรขึ้น? มันไม่เป็นไปตามแผนเหรอ?”

———————————————————————————————————-

คุยกับผู้แปล

เอ๊ะ? แผนนี่มัน หรือว่า….