เฉินลั่วมองหวังซี แววตายากจะเข้าใจ ครู่ใหญ่ก็ยังไม่กล่าวอะไร

ที่ผ่านมาในราชสำนักมีการหลอกลวงเบื้องสูงไม่ปิดบังเบื้องล่างมาตลอด เนื่องจากเบื้องล่างคือคนทำงาน ไม่อาจปิดบังได้ เขาเองก็ไม่คิดจะปิดบังตระกูลหวังไปตลอดเช่นกัน แต่ถูกนางมองออกอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ทั้งยังคาดเดาออกว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับฮองเฮาอีก ทำให้เขาตกใจมากจริงๆ

หวังซีเฉลียวฉลาดกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก!

เขาครุ่นคิด กล่าวว่า เหตุใดเจ้าถึงคาดเดาว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานใครใหม่อีกแล้ว

หวังซีเห็นว่าเขาไม่คิดจะหลอกนางต่อไปแล้ว ก็ลอบโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

เนื่องจากเป็นพันธมิตรกันแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อใจกัน

แน่นอน ความไม่เชื่อใจประเภทนี้รวมถึงนิสัยและสติปัญญาของอีกฝ่ายด้วย

นางกับเฉินลั่วต่างฝ่ายต่างก็มิได้รู้จักกันมากขนาดนั้น นิสัยเป็นอย่างไรไม่อาจกล่าวได้ แต่ถ้าหากแม้แต่สติปัญญาก็ไม่อาจวางไว้ในตำแหน่งที่เท่ากันได้ มีแต่จะทำให้ตระกูลหวังกลายเป็นมิตรที่อีกฝ่ายนึกถึงเฉพาะยามที่ต้องการใช้งานเท่านั้น

มิตรเปลี่ยนกันได้บ่อยๆ กระทั่งเห็นว่าผู้ใดเข้าตาก็ใช้ผู้นั้น

ทว่าพันธมิตรที่ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจกันเป็นอะไรที่หาได้ยากมาตลอด

เพราะหายาก คนถึงเห็นค่า

ที่ผ่านมาคนสกุลหวังทำการค้ากับผู้อื่นล้วนต้องช่วงชิงการเป็นคนที่หาได้ยากจำพวกนั้นมาโดยตลอด

นับตั้งแต่ที่นางตัดสินใจว่าจะดึงเฉินลั่วมาอยู่ฝั่งเดียวกับครอบครัวพวกนางแล้ว ก็พยายามหาโอกาสทำให้เฉินลั่วเข้าใจคุณค่าของตระกูลหวังมาตลอด

ในที่สุดครั้งนี้ก็หาเจอ

นี่มิใช่เรื่องยาก! นางมีแผนการแสร้งแสดงท่าทางไม่ใส่ใจออกมา ตั้งใจทำให้เฉินลั่วเข้าใจผิดคิดว่านางค้นพบมันได้อย่างง่ายดาย กล่าวยิ้มๆ ว่า ฮ่องเต้มีอาการพระทัยสั่น เวลานี้เรื่องที่ทำให้เจ้ากับปั๋วหมิงเย่ว์สนใจได้หากมิใช่เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทก็เรื่องพระพลานามัยของฮ่องเต้ เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทกับพระพลานามัยของฮ่องเต้นั้น พูดเหมือนเป็นเรื่องสองเรื่อง แต่ความจริงกลับเป็นเรื่องเดียวกัน…

…พระพลานามัยของฮ่องเต้แข็งแรงดี เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน พระพลานามัยของฮ่องเต้ไม่ดี เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทก็ทำให้คนร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย…

…ผงธูปหอมนั่นต้องเป็นฮ่องเต้ที่ทรงใช้อยู่ แต่สำรับข้าวของเครื่องใช้ของจักรพรรดินั้นไม่มีชิ้นไหนไม่ผ่านสำนักกิจการภายใน ของที่ส่งมาถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ได้ ย่อมถูกคนตรวจสอบมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง…

…เจ้าไม่ตรวจสอบสำนักกิจการภายใน กลับหาหนทางอยู่ข้างนอก เห็นได้ชัดว่าที่มาของผงธูปหอมนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง…

…ถ้าหากมีเจ้าเพียงคนเดียวก็คงแล้วกันไป แต่กล่าวได้ว่าหลายปีมานี้ สำนักกิจการภายในควบคุมโดยจวนชิ่งอวิ๋นโหวมาโดยตลอด ของจากสำนักกิจการภายในอาจมีปัญหา ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน…

…แต่ปั๋วหมิงเย่ว์กลับเดินทางเส้นเดียวกับเจ้า…

…แสดงว่าธูปหอมนี้ต้องมิใช่ออกมาจากสำนักกิจการภายในอย่างแน่นอน แต่เป็นใครสักคนถวายให้ฮ่องเต้…

…หากเป็นคนทั่วไปถวายให้ ฮ่องเต้อยากใช้ของที่ใครถวายให้ ล้วนนำไปให้สำนักกิจการภายในทดลองใช้ดูก่อน เมื่อไม่มีอันตรายถึงได้ส่งมายังเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้…

…ต้องรู้ว่า หากของที่ฮ่องเต้ทรงใช้มีปัญหา คนที่ปรนนิบัติรับใช้หรือปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างวรกายฮ่องเต้ กระทั่งรวมถึงพระญาติเหล่านั้นด้วย เกรงว่าคงไม่มีใครกระโดดหนีออกไปได้แม้แต่คนเดียว…

…แต่แม้แต่ปั๋วหมิงเย่ว์ยังต้องตรวจสอบอย่างลับๆ…

…แสดงว่าผงธูปหอมนั่นต้องไม่เคยผ่านการตรวจสอบของสำนักกิจการภายในมาก่อน เป็นของที่จู่ๆ ก็มาปรากฏอยู่ข้างวรกายฮ่องเต้…

…เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะไม่ถนอมพระวรกาย การที่นำไปใช้เลยเช่นนี้ แสดงว่าคนที่ถวายให้จะต้องเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยเป็นอย่างมาก…

…หากสถานะของคนผู้นี้เป็นคนธรรมดา คนข้างวรกายฮ่องเต้ค้นพบแล้วไปสอบถามสักคำหรือไม่ก็ไปเตือนสำนักกิจการภายในสักคำก็ได้แล้ว…

…แต่ถ้าสถานะของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาสามัญเล่า?…

…แม้แต่คนที่ถวายการรับใช้อยู่ข้างวรกายฮ่องเต้บ่อยๆ อย่างเจ้ายังต้องตรวจสอบ คนที่ประสงค์อยากให้ฮ่องเต้รีบแต่งตั้งบุตรชายของตัวเองเป็นรัชทายาทมาโดยตลอดอย่างฮองเฮาก็ย่อมต้องตรวจสอบด้วยอยู่แล้ว!…

…ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานใครใหม่อีกแล้วใช่หรือไม่ และยังเป็นสตรีในวังหลังด้วย เจ้ารู้สึกแปลก ฮองเฮาเหนียงเหนียงรู้สึกไม่สบายพระทัย เจ้ากับปั๋วหมิงเย่ว์ถึงได้มีเป้าหมายเดียวกัน และบังเอิญสืบหาเรื่องเดียวกันโดยไม่ตั้งใจ!

เฉินลั่วมองริมฝีปากแดงที่เปิดๆ ปิดๆ ของนาง ในใจสลับซับซ้อน

ริมฝีปากเล็กนี้ดูอ่อนโยนประหนึ่งกลีบดอกไม้ เหตุใดยามพูดออกมากลับเจื้อยแจ้วไม่รู้จักหยุดหย่อน ถ้อยคำที่เปล่งออกมาแต่ละประโยคล้วนเป็นความจริง ทำให้คนอับอายจนยากจะทานทนประโยคแล้วประโยคเล่า

ขณะที่หวังซีกล่าวอยู่นั้น ในใจพลันคิดอะไรได้เล็กน้อย

คนในสังคมต่างพูดกันว่าฮ่องเต้โปรดปรานเฉินลั่ว หากทรงโปรดปรานเฉินลั่วอย่างคนเป็นลุงหลานกันจริงๆ เหตุใดเฉินลั่วต้องใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วย แม้แต่เรื่องที่จู่ๆ วังหลังมีสตรีผู้หนึ่งโผล่มา เขายังต้องหาหลักฐานอย่างระมัดระวัง ท่าทางอยากทำอย่างเรียบง่ายที่สุด ไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาด

ต้องรู้ว่าบุตรชายของป้าของนาง ยามอยู่ต่อหน้าบิดานางมิได้เป็นเช่นนี้

ญาติผู้พี่ชายของนางท่านนั้นสร้างปัญหาขึ้นมา วนเวียนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อของนางอยากให้พ่อนางช่วยจัดการให้

ต่อให้เป็นเช่นนี้ พ่อของนางถือแส้ฟาดสั่งสอนญาติผู้พี่ชายของนางท่านนั้นไปด้วย แต่ก็หาวิธีแก้ปัญหาให้เขาไปด้วย

หรือราชวงศ์จะเป็นอย่างที่ทุกคนกล่าวกัน มีแต่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เป็นกษัตริย์กับข้ารับใช้ก่อน แล้วถึงเป็นบิดากับบุตรทีหลัง?

เช่นนั้นความโปรดปรานที่มีต่อเฉินลั่วก็มีเงื่อนไข ช่างจอมปลอมเกินไปแล้ว

นางมองเฉินลั่วอีกครั้ง โดยเฉพาะยามที่ดวงหน้าของเฉินลั่วไม่แสดงความรู้สึก คิ้วตา ความหล่อเหลาและความเย็นชานั่นไม่มีส่วนไหนที่นางไม่ชอบ แต่ภายใต้ความหล่อเหลาและเย็นชานี้ จะมีความรู้สึกเช่นไรบ้างนั้น ใครก็มองไม่ออก นางรู้สึกปวดใจเล็กน้อยราวกับถูกเข็มทิ่มแทงเบาๆ ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกเห็นใจเขาไปด้วย

หวังซีคิด อย่างไรเสียก็กล่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดต่อไปอีกสักหน่อยหากไม่ทำให้เฉินลั่วโกรธจนทั้งสองครอบครัวแตกซ่านกระเซ็นกันไป ก็เป็นการได้เข้าใกล้เฉินลั่วมากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ทำให้เฉินลั่วเปิดใจกับนาง นับจากนี้ไปกลายเป็นคนที่เฉินลั่วไว้ใจได้ นางกัดฟัน กล่าวว่า เจ้ามีเรื่องอะไรต้องการขอร้องฮ่องเต้ใช่หรือไม่ มิสู้กล่าวออกมาทุกคนจะได้หารือกัน? สามหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว แม้นพวกเราไม่นับว่าเป็นสามหัว แต่มีคนให้พูดคุยด้วยสักคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าระหว่างพูดคุยอาจได้ตกผลึกทางความคิด ได้มุมมองใหม่และได้วิธีการใหม่ก็เป็นได้

นางไม่รู้ตัวเลยว่าตอนที่กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ตัวเองไม่ระวังมากเพียงใด

และการไม่ระวังนี้กลับทิ่มแทงเฉินลั่วจนเจ็บปวด

เขาต้องการคนมาเห็นใจหรือไร

ตัวนางเองก็เป็นแค่บุตรสาวของพ่อค้าผู้หนึ่งเท่านั้น เพียงประโยคเดียวของเขา ทำให้ตระกูลหวังเสียหายใหญ่หลวงได้ด้วยซ้ำ นางเอาอะไรมาเห็นใจสงสารตน?

ตนมีอะไรที่สมควรได้รับความเห็นใจจากนางด้วย!

สีหน้าของเฉินลั่วเคร่งขรึม

น่าเสียดาย แสงไฟทอนสีหน้าของเขาให้จางลง หวังซีจึงไม่รับรู้อะไร ยังเจื้อยแจ้วอยู่ตรงนั้นต่อ ราวกับว่าเช่นนี้แล้วจะช่วยปลอบประโลมเฉินลั่วได้ หาไม่จะกล่าวว่าไม่อาจหัวแข็ง ต้องระดมความคิดเพื่อประโยชน์ของกันและกันได้อย่างไร…

…เจ้าดูขุนนางใหญ่ที่เพลิดเพลินกับชื่อเสียงเกียรติยศเหล่านั้น อยู่ในอำนาจมานาน เมื่อถึงวัยแก่ชราไม่มีใครไม่กระทำผิดพลาดสักคน นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมฟังความเห็นของคนข้างกายอีกต่อไป…

…ท่านปู่ของข้าเคยกล่าวว่า เมื่อเขาแก่แล้ว จะไม่เป็นเช่นนี้เด็ดขาด หาไม่ต้องถูกคนรุ่นหลังรังเกียจ ยังอาจนำความล่มสลายมาให้วงศ์ตระกูลด้วย…

…ด้วยเหตุนี้เขายังสั่งทำอักษรภาพมาแขวนไว้ที่ห้องหนังสือภาพหนึ่ง ทบทวนวันละสามครั้ง…

เจ้าพูดมากเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กหรือ เฉินลั่วตัดบทคำพูดของหวังซีอย่างกะทันหัน สายตาที่มองนางเจือแววดูถูกไว้หลายส่วน เคยมีคนบอกเจ้าหรือไม่ว่าเจ้าพูดมาก

การอวดอ้างฝีปาก เป็นการไร้จรรยาอย่างหนึ่งของสตรี

หวังซีกรุ่นโกรธ ดวงตาจับจ้องเฉินลั่วราวกับระฆังทองแดง ความสงสาร ความเห็นใจอะไรนั้นล้วนไม่มีอีกแล้ว

สมควรแล้วที่คนผู้นี้แปลกประหลาด เหมือนผู้ถือสันโดษคนหนึ่ง เรื่องของตัวเองมีแต่ตัวเองเท่านั้นแก้ไขได้

ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรให้ต้องคุยกันแล้ว หวังซีทะยานตัวลุกขึ้นมา กล่าวว่า เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าจะกลับไปพักผ่อน เจ้าก็ค่อยๆ ดื่มอยู่ที่นี่ไปคนเดียวก็แล้วกัน!

นางสะบัดแขนเสื้อจากไป

เห็นผู้อื่นเป็นคนโง่งม สุดท้ายตัวเองก็กลายเป็นคนโง่งม

หวังซีคิดในใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่านางกับเฉินลั่วเป็นคนสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นทุกข์ยิ่งนัก

หากมิใช่เพราะนางอยากหยอกเย้าให้เขาสบายใจ ตนจะพยายามหลอกล่อเขาเหมือนตัวตลกไปทำไม

เขาไม่สำนึกบุญคุณก็แล้วไป ยังมาดูถูกนางอีก

นางยังไม่เคยถูกคนดูแคลนเช่นนี้มาก่อน!

หวังซีลืมไปว่า ที่นางบอกว่าไม่เคยถูกผู้อื่นดูแคลนมาก่อนนั้น หมายถึงถูกคนที่ได้รับการยอมรับและได้รับการเคารพจากนางดูแคลน แต่คนอย่างซือจู นางไม่เคยเก็บมาใส่ใจ คนเหล่านั้นจะว่านางอย่างไร นางล้วนไม่สน แน่นอนว่าก็เลยไม่รู้สึกเจ็บปวดใจและไม่เสียใจด้วย ฉะนั้นจะจดจำได้อย่างไร

นางรีบร้อนออกจากลานบ้านไป

เฉินลั่วมองบานประตูที่เปิดเอาไว้ทั้งสี่บาน มองลานบ้านอันเปล่าเปลี่ยวที่ไม่มีแม้แต่หญ้าต้นเดียว นั่งอย่างเงียบเชียบอยู่ข้างๆ แสงเทียน น้ำในกาน้ำทำจากเหล็กบนเตาดินเผาเดือดปุดส่งเสียงหวีดหวิวไม่หยุด ทว่าเขากลับเหมือนนักเดินทางผู้เหน็ดเหนื่อย ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะยกมันขึ้น ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นเงาสายหนึ่งอยู่ใต้แสงไฟสีเหลือง

***

หวังซีเป็นคนโกรธง่ายแล้วก็หายง่ายด้วยเช่นกัน

สิ่งสำคัญคือ ท่านย่าของนางเคยพูดกับนางว่า อย่าโกรธจนนอนไม่หลับเป็นอันขาด เพราะคนที่ได้รับผลเสียก็มีแต่ตัวเองทั้งนั้น คนที่ทำให้เจ้าโกรธผู้นั้นอาจนอนหลับสบายไปแล้ว เพื่อไม่ทำให้คนที่รักเจ้าเจ็บปวดและศัตรูเบิกบานแล้ว ก็ต้องกินดื่มอย่างดีนอนหลับสบายไม่โมโห

เช้าวันรุ่งขึ้นตอนที่หวังซีตื่นขึ้นมาก็เป็นฟ้าหลังฝนอันสดใสไปแล้ว

นางยืดตัวอย่างเกียจคร้านถามไป๋กั่วว่าเช้านี้มีอะไรกินบ้าง ยังกล่าวดูแคลนบ้านของเฉินลั่วด้วยว่า ข้าคิดว่าเขาต้องไม่ได้เชิญคนครัวมาแน่ แทนที่จะคาดหวังให้พวกเขาเตรียมอาหารเช้าให้พวกเรา มิสู้หาทางไปซื้อมาจากข้างนอกดีกว่า ยังกล่าวอีกว่า อย่าว่าไป บะหมี่ของจิงเฉิงไม่เลวเลยจริงๆ เป็นรองก็แค่ของส่านซีเท่านั้น พวกเรากินบะหมี่ตุ๋นก็ได้ ทางนี้มีคนเหอหนานและเหอเป่ยอยู่มาก ต้องมีคนทำบะหมี่ตุ๋นฝีมือดีอยู่เป็นแน่ และยังเป็นคนมากฝีมือจากชาวบ้านอีกด้วย ไปหาซื้อจากร้านเล็กๆ ก็ได้

ไป๋กั่วหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ กล่าวว่า วันนี้ทางเรือนครัวมาบอกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางว่ามื้อเช้าของวันนี้มีโจ๊กขาว ไข่ม้วน หมานโถวดอกไม้ ซาลาเปาไส้เนื้อ ซาลาเปาไส้ถั่ว ซาลาเปาไส้ผัก เครื่องเคียงอีกสารพัดชนิดกับผักดองเค็มและผักดองน้ำปรุงรสถั่วเหลืองที่ทำขึ้นเอง เมื่อครู่ข้าไปดูมาแล้ว พ่อครัวของพวกเขาเป็นคนเหอเป่ย ผักกาดขาวดองกับแตงกวาดองน้ำปรุงรสของพวกเขาทำเองรสชาติไม่เลวเลย ข้าจึงถือวิสาสะสั่งมื้อเช้ามาให้ท่านแล้ว พวกเรารีบกินจะได้รีบกลับเข้าเมืองเร็วสักหน่อย เมื่อกลับไปแล้วค่อยให้แม่ครัวทำมื้อเที่ยงดีๆ มาให้ท่านสักมื้อหนึ่ง

เนื่องจากพวกนางอยู่บ้านของเฉินลั่ว นางกลัวว่าจะถูกคนพบเห็น หากข่าวแพร่ออกไปไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของหวังซี

หวังซีเองก็อยากจากไปเร็วสักหน่อยเหมือนกัน เมื่อคืนเฉินลั่วทำเกินไปแล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยแม้แต่น้อย

นางพยักหน้า กล่าวว่า เช่นนั้นพวกเรารีบกันเถอะ

เรือนปีกจึงเหมือนกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาก็ไม่ปาน ทุกคนต่างยุ่งจนมือเท้าพันกัน

ทันใดนั้นสาวใช้เด็กเสี่ยวหนานก็วิ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน กระซิบกล่าวกับหวังซีที่เพิ่งสวมอาภรณ์เสร็จว่า คุณหนูใหญ่ ใต้เท้าเฉิน…ใต้เท้าเฉินมาขอพบเจ้าค่ะ

ไม่พบ! หวังซีตอบโดยไม่ต้องคิด ก้มหน้าลงมองพู่ดอกเหมยที่ไป๋จื่อผูกให้นางที่เอวคู่นั้น กล่าวอย่างเสียดายเล็กน้อยว่า เสียดายที่ไม่มีกระจก ข้าคิดว่าน่าจะสวยมาก

ไป๋ซู่เม้มปากอมยิ้ม

เสี่ยวหนานกล่าวตะกุกตะกัก ใต้…ใต้เท้าเฉินยืนอยู่ที่ลานบ้าน เขามาถึงครู่ใหญ่แล้ว เห็นเรือนของคุณหนูใหญ่จุดไฟแล้ว ถึงได้ให้บ่าวมารายงาน

หวังซีโกรธฮึดฮัด กล่าวว่า ไม่แปลกที่ท่านแม่ข้าบอกว่าสิ่งของที่ยืมมามิใช่ของตัวเองจึงไม่อาจใช้อย่างสะดวก ข้าอาศัยบ้านของเขานอนหนึ่งคืน แม้แต่สิทธิในการปฏิเสธก็ไม่มีแล้ว เป็นเหตุผลจากที่ใดกัน เจ้าไปบอกเขา…

คุณหนูหวัง เรื่องเมื่อคืนเป็นข้าที่ทำไม่ถูก เฉินลั่วไม่เพียงยืนรอนางอยู่ที่ลานบ้านเท่านั้น ยังแอบฟังที่นางพูดด้วย น้ำเสียงน่าฟังของบุรุษแหบแห้งเล็กน้อย ฟังดูทุ้มลึกและใจดี กล่าวขอโทษนางอย่างจริงใจผ่านบานประตู ขอคุณหนูหวังอย่าได้เก็บไปใส่ใจ วันนี้ข้าตั้งใจมาขอโทษคุณหนูหวังเป็นการเฉพาะ

……………………………………………………………………….

ตอนต่อไป