บทที่ 88 เวยเวย ผู้ขายหน้า

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

หากพวกนางไม่พูดถึงเรื่องนี้ เวยเวยก็คงจะลืมความขมขื่นที่ตนเองเคยประสบในงานชมดอกไม้ไปแล้ว

ในจักรวรรดิจ้านหลง งานชมดอกไม้ประจำปีเป็นงานเทศกาลที่เด็กสาวต่างก็ตั้งตารอคอยมากที่สุด เพราะในวันนี้ คุณชายจากตระกูลขุนนางจะถือดอกอิงฮวาสีขาวเอาไว้ในมือ เพื่อมอบให้กับหญิงสาวที่ตนเองชื่นชอบ

ในตอนนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งจะอยู่ในวัยที่สามารถออกเรือนได้ (15 ปี) และนางก็ใฝ่ฝันในเรื่องที่เด็กสาวทุกคนต่างปรารถนา นางเฝ้ารอให้ว่าที่สามีของตนเองมามอบดอกอิงฮวาสีขาวให้กับนางด้วยความหวัง

ในวันนั้น นางถึงกับละทิ้งความหยิ่งผยองของตนเอง และเดินเข้าไปขอเงินจากฮูหยินซู เพื่อที่จะทำให้ตนเองดูงดงามขึ้นในวันงาน

นางยังคงจำคำพูดประชดประชันจากคนของฮูหยินซูได้อยู่เลย

พวกเขาบอกว่า ไม่ว่านางจะแต่งตัวดียิ่งกว่านี้ นางก็ยังเป็นเพียงแค่คนชั้นต่ำ และไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น

เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือแน่น และข่มกลั้นความเศร้าหมองไว้ในใจ แม้ว่านางจะไม่สามารถกลืนมันลงไปได้ แต่นางก็ต้องฝืนทำให้ได้ ไม่ว่าผู้คนในเมืองหลวงจะลือกันว่านางเป็นคนร้ายกาจเพียงใด แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าภายในคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ นางจะต้องระมัดระวังอารมณ์ของคนอื่นอยู่เสมอ

นางกลัวว่ามู่หรงฉางเฟิงจะลืมนำดอกอิงฮวาสีขาวมาให้ นางจึงตามหาเด็กรับใช้ของเขา และบอกให้เด็กรับใช้คนนั้นส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้

แต่ใครจะรู้ว่าแทนที่เด็กรับใช้คนนั้นจะส่งจดหมายให้ เขากลับนำจดหมายของนางออกมาอ่านเสียงดังจนทุกคนต่างก็ได้ฟังข้อความในนั้นอย่างชัดเจน

เหล่าคุณชายและคุณหนูทุกคนจากตระกูลสูงศักดิ์ที่มาร่วมงานชมดอกไม้ต่างก็รับรู้เนื้อหาในจดหมายนั่น

และนั่น ก็ทำให้ความคิดของเด็กสาวขี้อายคนหนึ่งก็ถูกเปิดเผยออกมา ภายใต้สายตาจากผู้คนนับพันที่จ้องมองไปทางนาง

เหล่าชายหนุ่มทั้งหลายเริ่มมองนางด้วยสายตาดูหมิ่น

ส่วนบรรดาคุณหนูที่กำลังถือพัดของตน ก็หัวเราะจนแทบจะกลิ้งไปกับพื้น

นางยังคงจำเสียงหัวเราะของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ดังขึ้นในตอนนั้นได้ ริมฝีปากสีแดงของนางโค้งขึ้น ก่อนจะพูดกับเวยเวยว่า “พี่ใหญ่ ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ไม่ควรโกรธเคืองคุณชายมู่หรงนะเจ้าคะ เขาคงไม่คิดว่ามันจะดึงดูดความสนใจของผู้คนมายมายเช่นนี้”

ตอนนั้น นางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง และยังไม่สามารถไตร่ตรองอะไรได้อย่างถี่ถ้วนนัก

เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนแอบทำลายชื่อเสียงของนางให้เสื่อมเสียมาตั้งแต่ตอนนั้น

ในเวลานั้น มู่หรงฉางเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสง่าผ่าเผย และยิ้มอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขากำลังมองนางด้วยความรู้สึกรังเกียจ

เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนนิ่ง และมองเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยความงุนงง

ทุกคนหัวเราะเยาะนาง ราวกับว่าพวกเขากำลังดูตัวตลกอยู่

แต่ในขณะนั้น ดูเหมือนสายตาของนางจะมีไว้เพื่อมองดูจดหมายื้แปะอยู่บนผนังฉบับนั้น และดอกอิงฮวาสีขาวที่ร่วงหล่นลงบนพื้น

วันนั้น นางเป็นเด็กสาวเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับดอกอิงฮวาสีขาว แม้แต่คุณหนูตระกูลเหมยที่อวบอ้วนยิ่งกว่านางถึงสามเท่า ก็ยังได้รับดอกไม้จากชายหนุ่มที่ดูเป็นสุภาพบุรุษ

แต่แล้ว ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหานาง

คุณชายคนนั้นพูดกับนางว่า “นี่ ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี แต่ข้าเห็นว่าเจ้าดูเป็นคนเสเพลยิ่งนัก เจ้าสนใจจะมาคบกับพี่ชายคนนี้ดูไหมเล่า หืม”

ตอนนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก นางโยนดอกอิงฮวาสีขาวใส่หน้าของเขา แล้ววิ่งหนีออกจากงานเลี้ยงอาหารค่ำไป

น้ำเสียงของคนๆ นั้นแผ่วเบา แต่ก็ยังพอให้ได้ยิน “ข้าสนใจเจ้าก็ถือเป็นความโชคดีของเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่พอใจ เจ้าก็เป็นแค่ของเล่น และขยะไร้ค่าที่เอาไว้หลับนอนด้วยเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังเป็นคนเรื่องมากอีกด้วย”

พวกเขาทุกคนบอกว่า ‘นางเป็นคนเสเพล ไร้ระเบียบวินัย และยังทำร้ายผู้อื่นในงานเทศกาลเช่นนี้ ทำให้เหล่าหญิงสาวต่างก็รู้สึกอับอาย’

แต่ไม่มีใครเคยถามนางเลยว่าทำไมนางถึงทำร้ายผู้อื่น

แม้แต่มู่หรงฉางเฟิงก็ละสายตาไปทันทีที่เห็นน้ำตาบนใบหน้าของนาง เหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจ และทำราวกับว่านางไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย…

สรุปว่า คนกลุ่มนี้เคยทำเรื่องเหล่านั้นกับนางมาก่อน

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยดึงตัวเองกลับมาจากความทรงจำ นางก็มองไปทางเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ด้วยสายตาที่แข็งกร้าวและเย็นชา

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้ นางรู้สึกหวาดกลัวรอยยิ้มของนังผู้หญิงไร้ค่าคนนี้ขึ้นมาเป็นครั้งคราว นางหลบสายตาของอีกฝ่าย พร้อมกับห่อไหล่ลง ราวกับว่าตนเองกำลังจะถูกโจมตี และต้องการร้องขอความช่วยเหลือ

คุณหนูเนี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้น โอบไหล่นางไว้อย่างเป็นธรรมชาติ “น้องเจียวเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว พวกเราอยู่นี่แล้ว คนๆ นี้ไม่มีทางทำร้ายเจ้าได้”

“ถูกต้อง” คนอื่นๆ ต่างก็เห็นด้วยและพูดขึ้นทีละคน “น้องเจียวเอ๋อร์ อีกไม่นานอดีตฮ่องเต้ก็จะเสด็จแล้ว เจ้าควรจดจ่อกับการร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้จะดีกว่า องค์ชายสามจะต้องนำดอกอิงฮวาสีขาวมามอบให้เจ้าอย่างแน่นอน ส่วนอีกคนนั้น พวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก หากนางไม่อยู่ในสายตา พวกเราก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกหงุดหงิดใจ”

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตอบ ‘อืม’ อย่างแผ่วเบา พร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ชายกระโปรงยาวของนางพลิ้วไหวเล็กน้อย ขณะที่นางเหลือบมองเวยเวยอย่างเย่อหยิ่ง จากนั้นนางก็หมุนตัวและเดินจากไปยังลานของหอชั้นเลิศ ราวกับดวงจันทร์ที่รายล้อมไปด้วยหมู่ดาว

ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นมันแต่งแต้มไปด้วยความชั่วร้าย จากนั้น นางก็หันศีรษะไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “เจ้าได้รับของแล้ว หากยังใช้งานได้ไม่พอดีกับมือของเจ้า ก็มาหาข้าเพื่อปรับแก้ได้ทุกเมื่อ ข้าเองก็ต้องขอตัวไปกินอาหารฟรีก่อน ไว้เจอกัน”

เมื่อค่ำลงแล้ว ลมเย็นๆ ก็พัดผ่านไป ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองด้านหลังของร่างเพรียวบางที่ดูเป็นอิสระนั้น สายตาของเขาล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย “กินอาหารฟรีหรือ”

หึ นางคิดว่างานเลี้ยงคัดเลือกพระชายาของเขาเป็นเพียงที่ๆ นางจะไปเพื่อกินอาหารฟรีเช่นนั้นหรือ

“นายท่านขอรับ อาวุธที่หญิงสาวคนนั้นมอบให้ท่านเมื่อครู่นี้…” ทันทีที่เวยเวยมอบอาวุธชิ้นนั้นให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย กิเลนอัคคีก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง ก่อนจะหายตัวจากป่าวิญญาณมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ทันที แต่มันก็ซ่อนตัวอยู่ในความมืด และไม่ได้พูดอะไร

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ว่ามันกำลังพยายามจะสื่ออะไร จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ความสามารถในการโจมตีของมันอยู่ในระดับสิบหรือสูงกว่า พลังในการดูดวิญญาณสูงเต็มร้อย ข้าเกรงว่าในโลกใบนี้จะหาคนที่สองที่ทำอาวุธเช่นนี้ได้ยากมากทีเดียว”

มุมปากของกิเลนอัคคีกระตุกสองครั้ง “…”

[ในเมื่อตอนนี้ท่านรู้ทุกอย่างแล้ว ทำไมเมื่อครู่นี้ ท่านถึงทำราวกับว่าไม่รู้อะไรเลยเล่า]

เมื่อเขาได้ยินว่าชายหนุ่มพูดขอบคุณผู้สนับสนุนหลักทางการเงินสำหรับของขวัญชิ้นนี้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ก็รู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งตัว เข้าใจหรือไม่

“อีกสักครู่ ข้าก็จะเลือกพระชายาแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องมาด้วยหรอก จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะมีใครพบเห็นเจ้าได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกคำสั่งอย่างสุขุม แล้วเดินไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะลดเสียงต่ำลงอีกครั้ง “เงาทมิฬ”

“ข้ารับใช้อยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” ในชั่วพริบตา เงาทมิฬก็มาคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “เกิดอะไรขึ้นในงานชมดอกไม้เมื่อปีที่แล้ว ”

“เอ่อ” เงาทมิฬผงะ ฝ่าบาทไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยไม่ใช่หรือ ทุกปีที่ผ่านมา เขาก็นอนหลับข้ามงานชมดอกไม้ตลอด ไม่ต้องพูดถึงการมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้ใครเลยด้วยซ้ำ เมื่อเขาเสด็จมาถึงงานเทศกาล เขาก็นั่งบนเก้าอี้นวมอย่างสุขุม และไม่สนใจแม้แต่จะลืมตาขึ้นมา ไม่เหมือนกับปุโรหิตที่ชอบไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนและร่วมสนุก

แต่เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามเรื่องนี้ เขาก็ต้องตอบและเล่าทุกอย่างที่ตนเองรับรู้และได้ยินมาไปตามหน้าที่

ในเรื่องนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมถูกกล่าวถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ยิ่งไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ฟังมากขึ้นเท่าไหร่ นัยน์ตาของเขาก็ยิ่งเยือกเย็นลงเท่านั้น

กิเลนอัคคีที่ยังอยู่ข้างๆ เขาถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว “ไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงคนนั้นปฏิเสธนายท่านในป่าวิญญาณ สรุปว่านางมีคนอื่นในใจอยู่แล้ว จากที่ฟังดู นางคงจะหลงใหลในตัวคนๆ นั้นจริงๆ โธ่ สวรรค์”

ฝีเท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดชะงัก และหันกลับไปมองอย่างมีเลศนัย

รอยยิ้มที่มุมปากของเขาช่างเย็นยะเยือก

ศีรษะของกิเลนอัคคีรู้สึกด้านชา จากนั้น มันก็มุดตัวลงไปตรงหว่างขา ก่อนจะหายตัวไปในหมอกหนาทึบทันที

กิเลนอัคคีมักจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า หากมันยังอยู่ต่อ นายท่านจะต้องจับเขาไปย่าง จนกลายเป็นกิเลนย่างไฟ ก่อนจะกินเขาอย่างแน่นอน…

ในช่วงเวลากลางคืน ต้นหลิวปลิวไสวอยู่ริมทะเลสาบของสำนักไท่ไป๋ กลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งมาจากเสื้อตัวนอกนั้น สามารถระบุได้เลยว่ามันคือกลิ่นกล้วยไม้

เหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของแต่ละตระกูลต่างก็แต่งตัวมาอย่างงดงามยิ่งกว่าปีที่แล้ว

เด็กสาวทั้งหลายนั่งจิบชาพลางชื่นชมดอกไม้ พวกนางคือคนที่เคยพูดจาเยาะเย้ยเวยเวย แต่ในตอนนี้ พวกนางกลับดูเรียบร้อยและสงบเสงี่ยมมากขึ้น ในมือของพวกนางถือพัดทรงกลมอยู่ พวกนางจะเหลือบไปมองกลุ่มคุณชายที่อยู่ในศาลาเป็นระยะด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ…