บทที่ 54 ทะเลาะกันแล้ว
หยวนชิงหลิงยังไม่ทันจะเข้าใจทั้งหมด แต่ว่าพอได้ยินเขาไล่นางแล้ว
นางจึงลุกขึ้นพลันย่อตัวคำนับแล้วออกไป พร้อมกับถือไข่มุกหนันออกไปด้วย แม่นมสี่เองก็ป้อนอาหารให้ฝูเป่าเสร็จพอดี จึงเรียกนางกำนัลเอาถ้วยไปเก็บ
“พระชายาจะกลับตำหนักข้างหรือเพคะ?ข้าน้อยจะไปเป็นเพื่อนเพคะ” แม่นมสี่พูดขึ้น
หยวนชิงหลิงเห็นสีหน้าจริงจังของแม่นมสี่ แม่นมคนนี้ คอยช่วยนางเอาไว้ตอนที่นางลำบาก นางรู้สึกขอบคุณมาก
ตอนทางที่เดินมา แม่นมสี่ก็เอาแต่ยิ้ม “ทำไมอยู่ดีๆ ฝ่าบาทถึงพระราชทานไข่มุกหนันให้ท่านตั้งสองเส้นล่ะเพคะ?แต่ล่ะปียากมากกว่าจะได้มาถึงสามเส้น ส่วนใหญ่จะมอบให้ไทเฮา ฮองเฮาและเหล่าสนม พระสนมเสียนเฟยก็อยากได้สักเส้น แต่ไม่เคยพอเลย”
“อ่อ” หยวนชิงหลิงเหม่อลอยแล้วตอบนางไปทีหนึ่ง
แม่นมสี่ชำเลืองมองนางครั้งหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “พระชายาอย่าว่าข้าน้อยยุ่งเลยนะเพคะ พระสนมเสียนเฟยเป็นแม่ของสวามีของพระชายา พระชายาควรจะไปเอาใจนางบ้างถึงจะดีนะเพคะ ไข่มุกหนันก็เหมือนกัน ทำไมพระชายาไม่มอบให้พระสนมเสียนเฟยเพื่อตอบแทนคุณล่ะเพคะ?”
หยวนชิงหลิงกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ พอได้ยินแม่นมสี่พูดแบบนี้ จึงพูดขึ้น “แม่นมพูดมาก็มีเหตุผล ข้ากลับไปตำหนักแล้วจะให้คนนำไปมอบให้นาง”
แม่นมสี่อมยิ้ม “ข้าน้อยกำลังจะไปทางนั้นพอดี ให้ข้าน้อยช่วยเอาไปส่งให้ดีไหมเพคะ?”
“ถ้างั้นก็ลำบากแม่นมสี่แล้ว” หยวนชิงหลิงหยิบเอาไข่มุกหนันเส้นหนึ่งให้นาง พร้อมสายตาอบอุ่น “งั้นช่วยบอกว่าข้ามอบให้เพื่อตอบแทนพระสนมเสียนเฟยละกันนะ”
“ได้เพคะ!” แม่นมสี่รับมา แล้วหันไปมองหยวนชิงหลิง “เช่นนั้น……พระชายาก็กลับไปตำหนักก่อนเถอะเพคะ”
“อืม!”
หยวนชิงหลิงเดินได้สองก้าว อยู่ดีๆ แม่นมสี่ก็เรียกนาง “พระชายา!”
หยวนชิงหลิงจึงหันมา “มีอะไรหรือ?”
แม่นมสี่หันไปมองนาง พร้อมกับสายตาที่ดูลังเล แต่สุดท้ายนางก็พูดออกมา “ท่านรู้ทางใช่ไหมเพคะ?”
หยวนชิงหลิงจ้องนางนิ่งๆ แล้วตอบ “รู้”
แม่นมสี่พยักหน้า แล้วค่อยๆ หันไป หยวนชิงหลิงกลับยืนนิ่งไม่ขยับ เพื่อมองนางที่เดินกลับไปคนละทาง
“แม่นม!” ครั้งนี้ เป็นหยวนชิงหลิงที่เรียกนางไว้
นางนิ่งไปชั่วขณะ ถึงค่อยๆ หันมาด้วยแววตาที่ดูครุ่นคิด “มีอะไรหรือเพคะ พระชายา?”
หยวนชิงหลิงจึงพูดขึ้นเบา “ขอบใจนะ!”
“เอ่อ…….” แม่นมสี่อึ้งไปสักพัก “ข้าน้อยมิบังอาจเพคะ”
“บาดแผลของข้าหายเร็วมาก เป็นเพราะว่าแม่นมช่วยข้าไว้ บุญคุณครั้งนี้ ข้าจะจำเอาไว้ในใจ” หยวนชิงหลิงมองนาง แล้วพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำ
แม่นมสี่ยืนนิ่งเป็นหิน แววตาซาบซึ้ง เปล่งประกายแวววาว
หยวนชิงหลิงจึงหันกลับมา
ในใจก็รู้สึกเสียใจ หวังว่าจะไม่เป็นอย่างที่ตัวเองคิด
นางกลับมาถึงตำหนักข้างด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดี หมอหลวงพึ่งจะล้างแผลให้หยู่เหวินเห้าเสร็จแล้วกลับไป
หยู่เหวินเห้าน่าจะเจ็บปวดมาก ดูจากสีหน้าที่ดูไม่ดีของเขาแล้ว
นางนั่งลงเหมือนคนไม่มีสติ แล้ววางไข่มุกหนันที่เหลือเส้นเดียวไว้ที่โต๊ะ หยู่เหวินเห้าเห็นนางเดินเข้ามาด้วยท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงถามขึ้น “ใกล้จะตายแล้วหรือ เกิดอะไรขึ้น?”
หยวนชิงหลิงจึงพูดขึ้นด้วยความโมโห “ปากของท่านช่วยพูดอะไรดีๆ ออกมาบ้างได้หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วเข้าหากัน เอ๊ะ?ช่วงนี้ดูจะเก่งขึ้นมากเลย แล้วยังกล้าไม่ชอบเขาอีก?
แต่ว่าเห็นนางดูแปลกๆ ไปก็รู้สึกห่วงขึ้นมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเสด็จปู่ใช่หรือไม่?”
“ไม่มี ยังอยู่ดี!” หยวนชิงหลิงตอบ
งั้นก็หายห่วงแล้ว หยู่เหวินเห้าหันไปเห็นไข่มุกหนันที่วางอยู่บนโต๊ะ จึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “ไทเฮาพระราชทานให้เจ้าหรือ?นี่มันไข่มุกหนันของล้ำค่าอันดับต้นๆ เลย”
ไข่มุกหนันที่หลิวฉิวบรรณาการมาให้ มีเพียงไทเฮาเท่านั้นที่มี ขนาดฮองเฮาเองก็ยังไม่ได้เลย ดังนั้นน่าจะเป็นฮองเฮาที่พระราชทานให้นาง
หยวนชิงหลิงกลับตอบว่า “ไม่ใช่ ฝ่าบาทพระราชทานให้”
หยวนชิงหลิงไม่พูดเรื่องติดค้างนั่น
หยู่เหวินเห้าจึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “เสด็จพ่อพระราชทานให้งั้นหรือ?”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า แล้วก็เงียบไปสักพัก พลันนึกถึงเรื่องของแม่นมสี่ นางจึงเงยหน้าขึ้นมาจ้องเขา “ท่านอ๋อง ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้ามองนาง “ทำไมถึงถามแบบนี้?”
“ข้าถามท่านแค่นี้ ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าหันหน้ามองตรง พร้อมกับครุ่นคิด เชื่อหรือไม่?ไม่เชื่อ
แม้ว่านางจะช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ว่าเรื่องที่นางเคยทำนั้นมันน่ารังเกียจมาก เขาไม่มีวันเชื่อนาง
หยวนชิงหลิงจึงพูดขึ้นเบาๆ “ไม่ว่าอีกหน่อยจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ท่านเชื่อข้า แล้วยืนอยู่ข้างข้า”
“จะเกิดอะไรขึ้น?หรือว่าเจ้าไปทำเรื่องไม่ถูกต้องอะไรงั้นหรือ?” หยู่เหวินเห้าหันหน้ามองนางด้วยสายตาเคร่งเครียด
หยวนชิงหลิงมองเห็นดวงตาที่ดูแหลมคมของเขา ก็พอจะรู้ว่าถ้าให้เขาเชื่อนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก
นางจึงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าเป็นคนทำแต่ไม่คิดว่าเป็นคนอื่นทำล่ะ?”
หยู่เหวินเห้ารำคาญใจมาก “เจ้าช่วยหยุดหาเรื่องให้ข้าทีได้หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงหันมามอง “เป็นฉู่หมิงชุ่ยต่างหากที่หาเรื่อง”
สีหน้าหยู่เหวินเห้าเปลี่ยนไปทันที “หุบปาก เจ้าไม่คู่ควรจะพูดถึงนาง!”
ภายในตำหนักเงียบลงทันที
และในระหว่างที่สบตากัน สายตาของเขาดูจะรำคาญใจ แต่เพียงแค่ครู่เดียวก็กลับมาเย็นชาเหมือนเดิม
หยวนชิงหลิงเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก พลางแสยะยิ้มออกมา “ใช่ ข้าไม่คู่ควร!” นางหยิบเอาไข่มุกหนันแล้วออกไปทันที
นางรู้สึกไม่พอใจมาก
เมื่อคืน นางรู้สึกเหมือนได้รับความอบอุ่นกับความปลอดภัยจากตัวเขา นางยิ้มจนคิดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนอย่างน้อยก็มีความเชื่อใจที่เท่ากัน แต่ว่าแท้ที่จริงแค่นางคิดไปเอง
คนอย่างหยวนชิงหลิงขนาดยอมแลกชีวิตตัวเองให้เขา ยังไม่เท่าฉู่หมิงชุ่ยที่นุ่มนวลและอ่อนหวาน
นางเดินออกมาด้านนอก และไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ตำหนักข้างนี้ยังเป็นเขตของห้องทรงพระอักษร แบบนี้ถ้านางเดินมั่วซั่ว ก็อาจจะบังเอิญเจอฮ่องเต้หมิงหยวนได้
โชคดีที่เรื่องเกิดตรงประตูข้าง นางจึงออกมาทางประตูข้าง โดยไม่สนใจบาดแผลที่ยังเจ็บอยู่ นางวิ่งมาจนถึงอุทยานอวี้ฮัว แล้วก็สะดุดก้อนหินบนถนน นางไม่ลังเล พลันเตะก้อนหินออกไปทันที
ก้อนเห็นลอยลิ่วเข้าไปในพุ่มหญ้า
“โอ๊ย” มีเสียงร้องดังขึ้น จากนั้นก็มีศีรษะโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ เป็นชายวัยรุ่น และในตอนนี้เขาก็มีสีหน้าเกรี้ยวกราดมาก “บังอาจ?ใครกล้าลอบทำร้ายข้า?”
หยวนชิงหลิงเห็นว่าตนพึ่งทำร้ายคน อารมณ์โมโหเมื่อครู่ก็พลันหายไปทันที แล้วหันไปมองคนที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ร่างกายอ้วนท่วม สวมชุดสีดำ ในมือยังถือน่องไก่ที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากมันเยิ้ม และใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ดูแล้วไม่เข้ากันเลย
แล้วในสมองของนางก็หมุนติ้วๆ และพอจะจำได้ว่าคนนี้ก็คือองค์ชายคนที่สองของฮ่องเต้หยวนหมิง อ๋องซุน หยู่เหวินตู้
อ๋องซุน หยู่เหวินตู้ เป็นอ๋องที่ไม่มีความสามารถในบรรดาอ๋องทั้งหมด ไม่มีการแต่งตั้งใดๆ ในราชสำนัก เป็นเพียงอ๋องที่เอาแต่เล่นไปวันๆ
เสด็จแม่ของเขา คือ ซูเฟย
หยวนชิงหลิงรู้สึกผิดจึงพูดขึ้น “ขออภัยเพคะ ซุนอ๋อง หม่อมฉันไม่รู้ว่าท่านอ๋องหลบอยู่ในพุ่มไม้……..กินน่องไก่”
ซุนอ๋องเองก็จำได้ว่านางเป็นใคร พลันพูดขึ้นมาด้วยความสนใจ “พระชายาฉู่ ได้ยินว่าเจ้าได้ไปเสวยอาหารค่ำกับเสด็จพ่อแล้ว”
หยวนชิงหลิงแววตาเปลี่ยนไปทันที ดูแล้ว การไปเสวยอาหารกับฝ่าบาทมันคงไปกระตุ้นหลายคนเลยทีเดียว ขนาดอ๋องซุนที่ง่ายๆ ยังถามขึ้น
นางจึงตอบเสียงเรียบ “เป็นเรื่องจริงเพคะ”
ซุนอ๋องกัดน่องไก่ไปหนึ่งที จนน้ำมันที่น่องไก่ไหลเยิ้ม เขาเดินเข้ามาพลางเคี้ยวไปด้วย แล้วถามขึ้น “เสวยอาหารอะไรกันหรือ?อร่อยไหม?ได้ทำผัดเต้าหู้ให้เจ้าชิมหรือไม่?ได้ยินว่าเสด็จพ่อมอบขาหมูตุ๋นให้กับเสด็จลุง ข้าจะบอกเจ้าให้ ขาหมูตุ๋นในวังนั้น ถึงข้างนอกจะมีพ่อครัวเก่งขนาดไหนก็ไม่มีทางทำเหมือน ครั้งหน้าถ้าหากว่าเจ้าได้ไปเสวยอาหารกับเสด็จพ่ออีก ช่วยบอกเสด็จพ่อพระราชทานให้ข้าได้หรือไม่?”
แววตาของเขาดูแวววาวเต็มไปด้วยความหวัง