บทที่ 72 อาใหญ่ยังไม่ตาย

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 72 อาใหญ่ยังไม่ตาย

เมื่อกลับถึงบ้าน คุณย่าซูก็ล้มนอนบนเตียงเตา ข้อต่อทั่วทั้งร่างเหมือนจะหลุดจนลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป

ส่วนคุณปู่ซูและลูกชายทั้งสามไปที่ชุมชนใหญ่

ในบรรดาลูกสะใภ้สามคน มีแค่ฉีเหลียงอิงคนเดียวที่ตามไปด้วย ส่วนเหลียงซิ่วและหวังเซียงฮวาอยู่บ้าน

สองพี่น้องสะใภ้ยุ่งอยู่ในครัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้กระทั่งหวังเซียงฮวาที่ปกติจะเป็นคนช่างพูดก็ไม่ปริปากส่งเสียง

บ้านตระกูลซูเงียบสงัด บรรยากาศน่าหดหู่ ส่วนพวกเด็ก ๆ ที่ปกติจะซุกซนก็ไม่กล้าส่งเสียงเช่นกัน

ซูเสี่ยวเถียนกังวลใจ แต่สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน แล้วก็ไม่รู้ว่าอาใหญ่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

ชาติก่อน ครั้งแรกที่ซูหม่านซิ่วโดดแม่น้ำ เธอได้รับการช่วยเหลือจากใครบางคน แต่หลังจากนั้นก็ยังฆ่าตัวตายด้วยการโดดน้ำอีกครั้ง

แต่พอเห็นคุณย่าซูเป็นแบบนี้ ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยให้ท่านเสียใจแบบนี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการทำร้ายร่างกายตัวเองด้วย

“คุณย่า อาใหญ่ยังไม่ตายค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนกระซิบข้างคุณย่าซู

พอแกได้ยินก็ตาสว่างทันที

“หลานรัก ราชามังกรพูดอย่างนั้นหรือ?”

ตอนที่คุณย่าซูพูดก็พลันรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองพูดเป็นความจริง ราชามังกรชอบเสี่ยวเถียนมาก ไม่แน่ว่าคงเพราะเสี่ยวเถียนไม่ยอมรับหม่านซิ่วที่มีชีวิตน่าสังเวชได้

ซูเสี่ยวเถียนตกตะลึง จะไปเกี่ยวกับราชามังกรได้อย่างไร?

หลังจากขบคิดก็จำคำโกหกที่เธอเคยพูดไปก่อนหน้านี้ได้

แน่นอนว่าการพูดโกหกไม่ใช่เรื่องดี แต่ในเวลาแบบนี้การปลอบโยนคุณย่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เธอจึงพยักหน้าด้วยความยากลำบาก

“อาใหญ่น่าจะได้คนช่วยไว้ค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวด้วยความขมขื่นเล็กน้อย

คุณย่าซูไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่สุดท้ายก็พลันมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม

ตอนที่เหลียงซิ่วเอาอาหารมาให้แม่สามีก็เห็นว่าท่านดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก

เธอมองที่ลูกสาวอย่างสงสัย เป็นไปได้ไหมว่าเด็กคนนี้มีความสามารถในการปลอบโยนผู้อื่น?

“พวกผู้ชายกลับมาหรือยัง” คุณย่าซูถาม

“ยังไม่กลับมาเลยค่ะ แม่กินสักหน่อยเถอะ อย่าปล่อยให้ร่างกายเหนื่อยล้านะคะ!” เหลียงซิ่วกระซิบ

“ฉันกินไม่ลงหรอก ถ้าไอ้หมาสองตัวนั้นมันไม่ถูกลงโทษอย่างรุนแรง หัวใจของฉันคงไม่มีทางสงบลง” คุณย่าซูพูดอย่างโกรธเคือง

“แม่คะ แต่หัวหน้าชุมชนเขาก็อยู่ด้วย แม่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะ”

คุณย่าซูปาดน้ำตา “ชีวิตของน้องสาวเธอมันน่าสังเวชนัก!”

เหลียงซิ่วเช็ดน้ำตา ไม่ใช่แค่ลำบาก แต่ครั้งก่อนที่มาสภาพน่าสงสารมาก ถ้ารู้เร็วกว่านี้ วันนั้นน่าจะทุบไอ้หมาหวังไปแล้ว ถึงบ้านเธอจะจนแต่ก็ไม่ได้เลี้ยงมาให้เธอลำบากนะ

พูดเรื่องนี้ออกไปตอนนี้ก็ไร้ความหมาย มีแต่จะทำให้เศร้าใจไปเท่านั้น

ตอนนั้นเองที่เสียงจากประตูใหญ่ดังขึ้น เหลียงซิ่วรีบมองออกไปนอกหน้าต่าง พวกผู้ชายกลับมาแล้ว

สีหน้าของพวกเขาไม่ค่อยดี หากแต่ก็ไม่ได้แย่

“แม่คะ พวกเขากลับมาแล้วค่ะ!” เหลียงซิ่วกล่าวอย่างเร่งรีบ

คุณปู่ซูเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเศร้า หลังของเขาค่อมเล็กน้อย

“ตาเฒ่า เป็นอย่างไรบ้าง” คุณย่าซูลุกขึ้นนั่งและถาม

“ขังพวกเขาไว้ที่ชุมชนใหญ่แล้ว บอกจะส่งไปยังเหมืองทางตอนเหนือ” คุณปู่ซูรู้สึกประหลาดใจที่เรื่องนี้ได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว

“ทำไมไม่ชดใช้ชีวิตน้องสาวพวกเราล่ะ” หวังเซียงฮวาถามด้วยความไม่พอใจ

ฉีเหลียงอิงถอนหายใจ “มันเป็นแผนที่ยัยรองเท้าขาดทำไว้ น้องสาวเราโดดน้ำเอง พวกเขาไม่รับผิดชอบหรอก!”

มันไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีทางเลือก ยังดีที่สองตัวนั้นกำลังจะถูกส่งไปที่เหมือง ซึ่งไม่ใช่สถานที่ที่ให้คนอาศัยอยู่

ถึงไม่ตายก็ผิวลอกบ้างล่ะ

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ความไม่พอใจของฉีเหลียงอิงก็ลดลงเล็กน้อย

แม้คุณย่าซูจะเชื่อสิ่งที่หลานสาวพูดว่าลูกสาวอาจยังมีชีวิตอยู่ แต่เธอไม่สามารถพูดได้ เช่นนั้นจึงไม่ได้พูดออกมา แล้วบอกกับตาเฒ่าในตอนกลางคืนแทน

คุณปู่มองคุณย่าแล้วรู้สึกเศร้า คิดว่ายายเฒ่าคงตกอกตกใจถึงได้คิดว่าลูกสาวยังมีชีวิตอยู่

มีคนเยอะแยะที่ชุมชนการผลิตเซี่ยงหยางบอกว่าหม่านซิ่วโดดน้ำ แล้วจะมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร

ณ อำเภอ

ซูหม่านซิ่วนั่งตกตะลึงอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล

เธอไม่คาดคิดว่าตัวเองจะยังมีชีวิตรอด

คนอย่างเธอสมควรตาย แล้วทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่? จะเป็นตัวถ่วงที่บ้านได้อย่างไร?

อีกทั้งสามีคนนั้นยังบอกว่า ต่อให้เธอตายก็มีแค่พวกญาติที่เสียใจ ส่วนศัตรูคู่แค้นต่างจะมีความสุข

เธอไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้ แต่สามีบอกว่า ถ้าเธอตาย พ่อแม่จะต้องเสียใจและอยู่ไม่ได้แน่นอน

“ยังคิดอีกหรือว่าจะอยู่หรือตายดี คุณไม่กลัวตายด้วยซ้ำ แล้วจะกลัวที่จะใช้ชีวิตไปทำไม?”

เมื่อเฉินจื่ออันมาพร้อมกับกล่องข้าว สิ่งที่เขาเห็นคือท่าทางราวกับคนไร้สติของซูหม่านซิ่ว

ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงช่วยผู้หญิงคนนี้แล้วพาเธอมาถึงในอำเภอด้วย ก่อนจะส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล

ดังนั้นเลยถูกหมอมองด้วยสายตาแปลก ๆ ราวกับหมอรู้สึกว่าบาดแผลบนร่างกายผู้หญิงคนนี้เขาเป็นคนทำใช่ไหม?

ซูหม่านซิ่วได้ยินเสียงอันคุ้นเคยจึงหันกลับมา “คุณจะมาทำไมอีก? อย่ามายุ่งกับฉัน!”

คนผู้นี้ช่วยเธอไว้ด้วยความกรุณา แต่เธอเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง และไม่อยากเอาความบริสุทธิ์ของเขามาเกี่ยวข้อง

“คุณคิดว่าผมอยากดูแลคุณหรือไง? ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม แต่พอเห็นคุณก็คิดถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น” เฉินจื่ออันพูดอย่างโกรธเคือง

เด็กผู้หญิง?

ซูหม่านซิ่วได้ยินสามคำนี้ หากแต่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?

“กินข้าวก่อนเถอะ วันนี้ผมเอาเกี๊ยวไส้หมูผัดกาดขาวมาฝาก”

เฉินจื่ออันหยิบกล่องอาหารออกจากกระเป๋าตาข่ายแล้วเปิดออก เกี๊ยวส่งกลิ่นฉุยในอากาศทำให้คนในห้องผู้ป่วยรวมหิวกระหาย

แค่คิดถึงเกี๊ยวไส้หมูผัดกาดขาวก็อร่อยแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่ยอมกินล่ะ?

ซูหม่านซิ่วมองดูเกี๊ยวชิ้นอ้วนโต ท่าทางราวกับล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า

ปีใหม่ที่ผ่านมา ทางบ้านหวังก็กินเกี๊ยวหมูผัดกาดขาวด้วยเช่นกัน แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธออยู่แล้ว

เธอมีหน้าที่แค่ทำเกี๊ยวเท่านั้น และไม่มีคุณสมบัติพอที่จะกินได้

แต่คนแปลกหน้าคนนี้กลับเต็มใจที่จะให้เกี๊ยวแสนล้ำค่าแก่เธอ

“คุณกินเถอะ ฉันไม่สมควรได้กินหรอก!” ซูหม่านซิ่วพูดอย่างยากลำบาก

เฉินจื่ออันยื่นตะเกียบให้ “รีบ ๆ กินเถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย ผมกินแล้ว”

ซูหม่านซิ่วยังคงลังเล

“ถ้าคุณไม่กิน ผมจะเอามันออกไปทิ้ง!” เฉินจื่ออันทำท่าทางจะหยิบกล่องอาหารไป

ซูหม่านซิ่วรีบกอดกล่องเกี๊ยวเอาไว้ แล้วมืออันหยาบกระด้างของเธอก็สัมผัสมือของเฉินจื่ออันโดยไม่ได้ตั้งใจ

เฉินจื่ออันรู้สึกถึงความหยาบกร้านของฝ่ามือซูหม่านซิ่ว เขารู้สึกประหลาดใจที่มือของเธอหยาบกว่าเขาอีก!

เธอต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน? ถึงได้มีมือหยาบกระด้างแบบนี้?

“หมอบอกว่าพรุ่งนี้คุณก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่บอกผมหน่อยว่าคุณเป็นคนที่ไหน จะได้พาไปส่ง”

ตอนที่พูดออกมา เฉินจื่ออันใจร้อนเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนี้ดื้อรั้นจริง ๆ จนถึงตอนนี้ เธอยังไม่ปริปากบอกข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับตัวเองเลย