“เอริกะบอกว่าพวกเรากลับมาใช้งานเครื่องสื่อสารได้แล้วล่ะ พวกเธอเริ่มทำตามแผนเดิมกันได้เลย”
 

“รับทราบแล้วค่ะ~ งั้นเดี๋ยวถ้ามีอะไรเกิดขึ้นหนูจะรีบติดต่อไปแล้วก็กันเนอะ~”

 

“เบาเสียงลงหน่อยสิครับทีเอร่าเดี๋ยวก็มีใครได้ยินเอาหรอก…”

 

ในขณะที่เอริกะและนิลิมกำลังคุยเรื่องของนากากันอยู่นั้น ที่ตรอกแห่งหนึ่งแถวชายเมืองแพนเทร่าเองก็มีเสียงของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลสวมผ้าคลุมและผ้าปิดตาที่ชื่อว่าเดดาลัสเอ่ยปากเตือนทีเอร่าเด็กสาวหูแมวผมสีดำที่แต่งกายคล้ายกับแม่ชีขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเด็กสาวหูแมวได้เอ่ยปากพูดตอบเซซิเรียที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเครื่องสื่อสารขนาดเล็กขึ้นมาเสียงดังฟังชัดแบบไม่กลัวว่าจะมีใครได้ยินเสียงของเธอเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งคำพูดเตือนของเดดารัสนั้นก็ได้ทำให้ทีเอร่าหันไปมามองซ้ายมองขวาอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะหันกลับไปตีมือเข้าใส่เดดารัสไปสองสามทีเพราะว่าเธอไม่เห็นว่าจะมีใครอยู่ใกล้ๆ แถวนี้เลยแม้แต่สักคนเดียว

 

“พี่เดดารัสก็ขี้กังวลเกินไปหน่า~ แถวนี้ไม่เห็นจะมีใครเลยสักคน~”

 

“ถึงจะมองซ้ายขวาแล้วไม่เห็นใครแต่มันก็ไม่ได้ช่วยยืนยันว่าแถวนี้จะไม่มีคนนะครับ เพราะงั้นยังไงก็ระวังตัวเอาก่อนก็ดี… ว่าแต่สถานการณ์หมอกควันที่แพนเทร่านี่ก็ดูเหมือนว่าจะมีอะไรแปลกๆ อยู่จริงๆ นะครับเนี่ย… ขนาดเป็นตอนเที่ยงแบบนี้แล้วผมก็ยังจะพอมองเห็นหมอกอยู่บ้างเลย”

 

“นั่นสิเนอะ~ นี่ถ้าเกิดว่าไม่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาให้เห็นตรงถนนหลักนั่นอยู่เรื่อยๆ ล่ะก็บรรยากาศมันก็คล้ายๆ กับเมืองผีสิงหรือว่าอะไรแบบนั้นอยู่บ้างเหมือนกันนะ~”

 

ทีเอร่าพูดตอบเดดารัสกลับไปก่อนที่เธอจะเดินไปทางฝั่งตรงข้ามกับถนนหลักที่เธอพูดถึงและชะโงกหน้าออกจากตรอกเล็กๆ ที่เธอกับเดดารัสหลบอยู่เพื่อมองออกไปยังทางเข้าสุสานเก่าแก่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

 

ซึ่งสภาพของถนนทางฝั่งนี้ที่ไม่มีคนเดินผ่านเลยแม้แต่สักคนเดียวและบรรยากาศขมุกขมัวของหมอกรอบๆ สุสานที่ดูเหมือนว่าจะหนาแน่นกว่าทางฝั่งถนนหลักอยู่เล็กน้อยก็ถึงกับทำให้หางแมวของทีเอร่าที่แกว่งไปมาได้ลู่ลงเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามเดดารัสขึ้นมาเบาๆ

 

“ว่าแต่พวกเราจะต้องเข้าไปข้างในนั้นกันจริงๆ หรอพี่เดดารัส…?”

 

“ครับ เห็นคุณเอริกะเขาบอกว่าที่แถวๆ สุสานนี้มันมีหมอกหนาแน่นที่สุดของเมืองส่วนนี้น่ะครับ… แล้วตอนที่ผมออกไปหาช่อดอกไม้มาตามที่คุณเอริกะสั่งผมเองก็ได้ยินข่าวลือมาว่าที่นี่อาจจะมีหนึ่งในทางเข้าออกของเมืองใต้ดินอยู่ด้วย เพราะงั้นไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวพวกเราก็ต้องเข้าไปสำรวจดูกันอยู่ดีนั่นล่ะครับ…”

 

“บู่ววว อ่ะ—พี่เดดารัสหลบเร็วๆ มีใครไม่รู้เดินมานั่นแล้ว”

 

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น อยู่ๆ ทีเอร่าก็รีบดึงตัวเดดารัสให้กลับเข้ามาหลบทางด้านในของตรอกเมื่อเธอสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงผมสีทองคนหนึ่งเดินตรงมาตามถนนหน้าสุสานพร้อมกับลูกสุนัขขนสีน้ำตาลตัวหนึ่งในอ้อมกอด

 

ซึ่งเด็กสาวคนนั้นก็ได้เดินอุ้มลูกสุนัขหายเข้าไปในเขตสุสานที่เป็นเป้าหมายของเดดารัสและทีเอร่าจนทำให้เด็กสาวหูแมวได้แต่ต้องพูดถามชายหนุ่มขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าพวกเธอจะเอายังไงกันต่อดี

 

“พี่สาวคนนั้นเขาเดินเข้าไปในสุสานแล้วอ่ะ… พวกเราจะเอายังไงกันดีอ่ะพี่เดดารัส?”

 

“ผมว่าเด็กคนนั้นน่าจะใช้เวลาไม่นานหรอกครับ พวกเรายืนรอกันสักพักนึงน่าจะดีกว่า…”

 

“อืม นั่นสินะคะ”

 

ทีเอร่าพยักหน้ารับคำของเดดารัสกลับไปและหดหน้ากลับมาเพื่อเฝ้ารอให้เด็กสาวผมสีทองที่เดินเข้าไปในสุสานเมื่อสักครู่กลับออกมาอย่างว่าง่าย และหลังจากที่เวลาผ่านไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเด็กสาวผมทองที่มีเศษดินเปรอะเปื้อนตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าเล็กน้อยก็ได้เดินกลับออกมาจากสุสานโดยไร้ซึ่งร่างของลูกสุนัขสีน้ำตาลและค่อยๆ เดินก้มหน้าจากไปตามถนนอย่างเชื่องช้า

 

“ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะเสร็จธุระแล้วล่ะครับ… พวกเราเองก็รีบเข้าไปสำรวจดูตามแผนกันเถอะครับ”

 

“อื้อ!”

 

ทีเอร่าขานตอบเดดารัสกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะรีบเดินตามหลังเขาไปทางประตูสุสานที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล และเมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไปยังเขตสุสานแล้วทั้งคู่ก็ได้พบกับป้ายหลุมศพตั้งที่เรียงรายกันไปและอาคารหลังหนึ่งที่เหมือนจะเป็นทางลงไปยังส่วนของสุสานใต้ดินเหมือนกับสุสานทั่วๆ ไปที่พบเห็นได้ทุกเมือง

 

แต่ว่าก่อนที่ทีเอร่าจะได้สอบถามถึงแผนการขั้นถัดไป อยู่ๆ เดดารัสก็ได้หยิบเอาช่อดอกไม้สีขาวที่เขาพกเอาไว้ใต้ผ้าคลุมออกมาและดึงเอาดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งออกมาจากช่อดอกไม้ก่อนจะวางมันลงไปที่เบื้องหน้าของกองดินกองหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งถูกฝังกลบลงไปหมาดๆ

 

และเมื่อเดดารัสวางดอกไม้ลงไปที่เบื้องหน้ากองดินนั้นเสร็จแล้วเขาก็เก็บช่อดอกไม้สีขาวกลับเข้าไปภายใต้เสื้อคลุมและลุกยืนขึ้นเพื่อหันกลับมาพูดสั่งงานกับเด็กสาวหูแมวขึ้นมา

 

“ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าพวกเราแยกกันไปค้นหาสิ่งผิดปกติทางด้านบนนี้กันก่อนละกันครับ เสร็จแล้วเดี๋ยวพวกเราค่อยลงไปสำรวจดูที่หลุมฝังศพใต้ดินกันต่อ”

 

“เอ๋~? ต้องแยกกันค้นหาด้วยหรอ ในสุสานแบบนี้เดินไปด้วยกันจะไม่ดีกว่าหรอพี่เดดารัส?”

 

“ถ้าแยกกันหามันจะเร็วกว่าน่ะครับเพราะเมื่อกี้นี้เราเสียเวลารอให้เด็กคนนั้นจัดการธุระเสร็จกันไปสักพักนึงแล้วนะครับ”

 

“งื้อ…”

 

ทีเอร่าที่ได้ยินแบบนั้นได้แสดงท่าทีเหมือนกับว่าไม่อยากจะแยกตัวออกไปเดินสำรวจด้วยตัวคนเดียวในเขตสุสานที่มีหมอกควันเกาะกลุ่มกันจนดูชวนขนหัวลุกแบบนี้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้เดดารัสได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาเกาแก้มตัวเองก่อนที่เขาจะยอมเปลี่ยนแผนการของตนแต่โดยดี

 

“คิดอีกทีผมว่าพวกเราเดินไปสำรวจทางเดียวกันน่าจะดีกว่าล่ะมั้งครับ เพราะถ้าเกิดมีใครเข้ามาในสุสานแล้วเห็นทีเอร่าเดินเล่นอยู่คนเดียวเดี๋ยวพวกเขาจะสงสัยขึ้นมาได้น่ะครับ”

 

“อ่ะ— ถ้าพี่เดดารัสว่างั้นก็เอาตามนั้นเลยละกัน~”

 

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ ถ้ายังไงก็อย่าเดินไปไหนไกลมาก แล้วก็ถ้าเกิดว่าเจออะไรน่าสงสัยขึ้นมาก็อย่าลืมรีบร้องเรียกผมล่ะครับ…”

 

“ค่า~~~”

 

ทีเอร่าเอ่ยปากรับคำของเดดารัสไปด้วยความดีใจก่อนที่เธอจะเดินนำเขาไปสำรวจดูหลังพุ่มไม้ที่เธอคิดว่ามันน่าสงสัยในทันทีโดยมีเดดารัสเดินหันซ้ายหันขวาสำรวจดูรอบๆ ตามหลังห่างจากเธอไปไม่ไกลมากนักเพื่อมองหาเบาะแสหรือร่องรอยอะไรที่จะสามารถบ่งบอกถึงสาเหตุที่สุสานแห่งนี้มีหมอกควันเยอะกว่าส่วนอื่นๆ ของเมืองเขตนี้อย่างเห็นได้ชัด

 

แต่ว่าหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ทั้งเขาและทีเอร่าก็ไม่พบอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งหมอกควันเองก็ดูเหมือนว่าจะบางตาลงเรื่อยๆ ตามความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันที่สาดแสงอยู่เหนือหัวของพวกเขา

 

“ไม่มีอะไรเลยแฮะ…”

 

“หนูลองแผ่วิซออกไปรอบๆ แล้วแต่ก็สัมผัสอะไรผิดปกติไม่ได้เลยเหมือนกันอ่ะ”

 

“แต่ถึงจะบอกว่าดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติก็เถอะ แต่ว่าการที่หมอกพวกนี้มันไม่ยอมสลายตัวไปในช่วงเที่ยงแบบนี้มันก็ดูผิดปกติมากเกินไปสักหน่อย… ช่วงไม่ได้นะครับ พวกเราคงต้องลองลงไปดูที่ชั้นใต้ดินกันแล้วล่ะครับ”

 

“อื้อ… เพราะยังไงเรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับความปลอดภัยของคนในเมืองนี้นี่เนอะ…”

 

ทีเอร่าที่ยังคงมีท่าทีเหมือนกับว่าไม่อยากจะลงไปรบกวนร่างไร้ชีวิตที่นอนหลับอย่างสงบอยู่ในสุสานชั้นใต้ดินสักเท่าไหร่นักได้แต่ต้องยอมรับคำของเดดารัสแต่โดยดี เพราะว่าที่ด้านบนนี้มันดูไม่ได้ต่างไปจากสุสานธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรผิดปกติอะไรให้สังเกตได้เลยแม้แต่น้อย

 

และเมื่อเดดารัสได้รับคำตอบรับมาจากทีเอร่าแล้วเขาก็ได้เดินนำเด็กสาวหูแมวไปยังทางลงสุสานใต้ดินและยื่นมือไปผลักประตูที่ไม่ได้ถูกห่วงโซ่คล้องล็อกเอาไว้ให้เปิดออกทำให้มีฝุ่นควันสีขาวจำนวนหนึ่งพุ่งทะลักออกมาจากภายในจนทำให้ทีเอร่าต้องรีบยกมือขึ้นมาอุดจมูกของเธอในทันที

 

“หว๊าย…ฝุ่นเยอะจังเลยอ่ะ”

 

“ผมว่ามันดูไม่ค่อยจะเหมือนฝุ่นสักเท่าไหร่เลยนะครับนั่น…”

 

ในขณะที่ทีเอร่ากำลังรู้สึกแปลกใจกับฝุ่นจำนวนมากที่พุ่งกระจายออกมาจากภายในสุสานใต้ดินนั้น ทางด้านเดดารัสกลับกำลังหรี่ตามองดูฝุ่นควันสีขาวที่กระจายอัดแน่นกันอยู่ภายในสุสานใต้ดินด้วยท่าทีระแวดระวังเมื่อเขาได้พบว่าฝุ่นควันเหล่านี้มันไม่ได้ร่วงหล่นหรือว่าเกาะตัวอยู่ตามผนังหรือว่าเพดานตามแบบที่มันควรจะเป็นแต่ว่ากลับลอยกระจายไปทั่วเหมือนกับหมอกควันซะมากกว่า

 

“ถ้าดูจากปริมาณขนาดนี้นี่ท่าทางว่าที่นี่อาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับหมอกในเมืองจริงๆ ซะแล้วล่ะครับ… ทีเอร่าลองใช้วิซตรวจสอบดูหน่อยสิครับว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”

 

คำพูดสั่งจากเดดารัสนั้นได้ทำให้ทีเอร่าได้แต่ต้องยอมเดินเข้าไปด้านในสุสานใต้ดินและหยิบเอาไม้กางเขนติดคริสตัลวิซสีแดงของเธอออกมาชูไว้เบื้องหน้าเพื่อความอุ่นใจเผื่อว่าจะมีตัวอะไรกระโดดออกมาใส่ เธอจะได้ใช้มันยิงลำแสงสวนออกไปได้อย่างทันท่วงที

 

แต่ว่าหลังจากที่ทีเอร่าเดินไปมาอยู่สักพักหนึ่งจนทั่วทั้งห้องแล้วเธอก็ได้แต่เดินกลับมาหาเดดารัสและรายงานผลการตรวจสอบด้วยวิซไปให้เขาฟัง

 

“ไม่มีเลยอ่ะ เอาจริงๆ ถ้าไม่นับว่าข้างในนี้มันเหม็นอับจนน่าสงสัยแล้วหนูว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับข้างนอกเลยนะ”

 

“อื้ม… ถ้าแบบนี้ก็คงจะต้องลองเข้าไปสำรวจดูข้างในกันแล้วล่ะมั้งครับ”

 

“เอ๋? เอาจริงหรอพี่เดดารัส หนูไม่อยากเข้าไปข้างในนั้นเลยอ่ะ…”

 

“ถ้าหนูไม่อยากลงงั้นก็ไม่ต้องลงไปสิจ๊ะ”

 

“—!?”

 

ในขณะที่สองคู่หูต่างวัยกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางประตูทางเข้าที่อยู่ด้านหลังพวกเขาจนทำให้ทีเอร่าสะดุ้งหูและหางตั้งพร้อมกับชูไม้กางเขนที่ส่องแสงสีแดงสว่างจ้าออกไปทางต้นเสียงในทันที

 

ซึ่งท่าทีตกใจสุดตัวของสาวน้อยหูแมวนั้นก็ได้ทำให้หญิงสาวในชุดเกราะหนังกับผ้าคลุมสีแดงที่เป็นเจ้าของเสียงเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและยกมือขึ้นเหนือหัวด้วยท่าทีทีเล่นทีจริงก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านในสุดของห้องที่เป็นบันไดทางลงไปยังส่วนที่ลึกกว่าที่เมื่อสักครู่นี้ทีเอร่าพยายามไม่เฉียดเข้าไปใกล้บริเวณนั้นนั่นเอง

 

“ที่นี่ห้ามเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณมีธุระอะไรกับที่นี่หรือเปล่า?”

 

“อ่ะ— พี่เดดารัส ด้านหลังก็มีอีกคนอ่ะ!”

 

“ชุดแบบนั้นไม่น่าจะใช่ทหารประจำเมือง… น่าจะเป็นทหารรับจ้างไม่ก็นักเดินทางมากกว่าน่ะครับ… ทีเอร่าลองสอบถามพวกเขาดูหน่อยสิครับ”

 

เดดารัสที่เหลือบไปมองทางด้านหลังเพื่อมองดูลักษณะการแต่งกายของอีกฝ่ายได้เอ่ยปากพูดกับทีเอร่าขึ้นมาเบาๆ เมื่อเขาได้พบว่าบุรุษที่โผล่มาจากด้านในสุดของห้องเองก็แต่งกายด้วยชุดเกราะหนังกับผ้าคลุมที่มีที่คลุมหัวเหมือนกับที่นักเดินทางหรือว่าทหารรับจ้างชอบสวมใส่กัน ซึ่งคำสั่งของเดดารัสนั้นก็ได้ทำให้ทีเอร่าโพล่งถามขึ้นมาด้วยท่าทีน่ารักน่าชังที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ในทันที

 

“เอ๋~~ ชาวบ้านอย่างหนูจะมาเยี่ยมชมสุสานก็ไม่แปลกสักหน่อยนี่ ที่แปลกน่ะมันทหารรับจ้างหน้าเงินอย่างพวกพี่ๆ ต่างหากที่มาเสียเวลาเล่นซ่อนแอบอยู่ในสุสานแบบนี้แล้วไม่รู้จักไปหางานหาการท————”

 

แกร๊ก!

 

“ก็งานเฝ้าทางลงสุสานชั้นใต้ดินนี่ล่ะครับงานของพวกผมน่ะ! เพราะงั้นช่วยหยุดเปลี่ยนเรื่องแล้วก็ตอบคำถามมาดีๆ ด้วยครับ!”

 

ทหารรับจ้างชายในชุดผ้าคลุมสีแดงที่ได้ยินคำพูดของทีเอร่าได้ชักปืนพกออกมาเล็งเข้าใส่เดดารัสในทันที ในขณะที่ทางด้านทหารรับจ้างหญิงที่ยืนขวางประตูอยู่เองก็ได้ควักปืนพกอีกกระบอกหนึ่งออกมาเล็งเข้าใส่ชายหนุ่มตาเดียวด้วยเช่นกัน ซึ่งการกระทำของทหารรับจ้างทั้งสองคนนั้นก็ถึงกับทำให้ทีเอร่าต้องเบียดตัวเข้าไปหาเดดารัสเล็กน้อยพร้อมกับพูดถามเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน

 

“หว๊าย— ไม่เห็นได้ผลเลยอ่ะพี่เดดารัส พวกเราจะเอายังไงกันดีอ่ะ!?”

 

“เอาเป็นว่าเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนละกันนะครับ ถ้าเกิดหาทางเจรจากันไม่ได้จริงๆ พวกเราค่อยจัดการทั้งสองคนนี้ให้สลบไปก่อนก็แล้วกัน…”

 

ปิ๊บ

 

ในขณะที่เดดารัสกำลังคิดหาวิธีที่จะหนีออกไปจากสุสานใต้ดินแห่งนี้อยู่นั้น อยู่ๆ เครื่องสื่อสารขนาดเล็กของเขาก็ส่งเสียงดังออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะมีเสียงของเอริกะดังตามออกมา

 

“เดี๋ยวก่อนเดดารัส ภารกิจของนายกับทีเอร่าเป็นแค่การหาข้อมูลนะเพราะงั้นถ้าเป็นไปได้ก็อย่าไปมีเรื่องปะทะกับคนอื่นเขาจะดีกว่า แล้วถ้าฟังจากที่ฉันได้ยินนี่พวกเขาอาจจะรับงานเฝ้าสุสานมาจริงๆ ก็ได้… เอาเป็นว่านายหยิบเอาช่อดอกไม้ที่ฉันสั่งให้นายไปหามาออกมาแล้วก็บอกกับพวกเขาไปตามที่ฉันพูดก็แล้วกัน”

 

“……”

 

เดดารัสที่ได้ยินเสียงของเอริกะดังออกมาจากเครื่องสื่อสารได้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทีเอร่าเพื่อปกปิดเรื่องที่เขากำลังสื่อสารทางไกลกับเอริกะอยู่เผื่อว่าเขาจะจำเป็นต้องพูดตอบอีกฝ่ายกลับไป แต่ว่าทันใดนั้นเองเขาก็ได้แต่ต้องเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่เอริกะบอกให้เขาใช้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการปะทะกับทหารรับจ้างทั้งสองคน

 

“—!? ท—ทำไมถึง—”

 

“ถ้าพวกเขารับงานเฝ้าสุสานมาจริงๆ ข้ออ้างนี่มันก็น่าจะใช้ได้ผลนั่นล่ะ นายพูดตามที่ฉันบอกไปเถอะ”

 

“ทำไมคุณถึงไม่บอกเรื่องนี้กับผมตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล่ะครับ…”

 

“ก็เพราะว่าฉันอยากให้นายมีสมาธิกับงานก็เลยกะว่าจะเก็บไว้บอกหลังจากที่นายทำงานที่เมืองนั้นเสร็จแล้วน่ะ… แล้วนี่จะเอายังไงล่ะ ถ้านายมีแผนที่ดีกว่าวิธีที่ฉันบอกก็จัดการได้ตามสะดวกเลย”

 

แกร๊ก!

 

“ช่วยหยุดกระซิบกันแล้วก็ตอบคำถามของพวกฉันมาด้วยค่ะ!”

 

ในขณะที่เดดารัสกำลังคุยกับเอริกะผ่านเครื่องสื่อสารโดยที่แกล้งทำเป็นคุยกับทีเอร่าอยู่นั้น ทางด้านทหารรับจ้างหญิงที่สังเกตเห็นว่าผู้บุกรุกทั้งสองคนได้ก้มลงไปคุยกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกันก็ได้กระชับปืนในมือและร้องสั่งพวกเขาขึ้นมา

 

แต่ว่าทางด้านเดดารัสนั้นก็กลับนิ่งเงียบอยู่อีกสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เขาจะล้วงเอาช่อดอกไม้สีขาวออกมาให้ทหารรับจ้างทั้งสองคนเห็นและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ

 

“พวกผมมาเยี่ยมหลุมศพน่ะครับ…”

 

“อย่ามาบ่ายเบี่ยงค่ะ! ป้ายหลุมศพนั่นเขาตั้งเอาไว้ด้—”

 

“เดี๋ยวก่อนยุย!”

 

“—คะ!?”

 

เสียงร้องห้ามของทหารรับจ้างชายที่ดังขึ้นมาขัดคำพูดของทหารรับจ้างหญิงนั้นได้ทำให้เธอชะงักไปในทันทีก่อนที่ทหารรับจ้างชายจะเก็บอาวุธของเขากลับไปเดินตรงเข้าไปใกล้เดดารัสพร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“พวกผมต้องขอโทษแล้วก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ถ้ายังไงพวกผมขอทราบหน่อยได้หรือเปล่าครับว่าคุณมาเยี่ยมหลุมศพของใครน่ะ”

 

“เธอชื่อว่าเจน… ชื่อเต็มว่า เจเนต ซิกมอร์ ครับ…”

 

เดดารัสพูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอเล็กน้อยในขณะที่มือของเขาเองก็กำช่อดอกไม้ในมือแน่นจนก้านดอกไม้ที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีขาวหักงอด้วยความอัดอั้นก่อนที่เขาจะกัดฟันพูดออกมาต่อจนจบ

 

“ผมได้ยินมาว่าร่างของเธอถูกส่งกลับมาที่เมืองนี้หลังจากที่เธอเสียชีวิตในอุบัติเหตุที่คฤหาสน์รีวิสที่เมืองรีมินัสน่ะครับ…”

 

“พ…พี่เดดารัส…”

 

คำพูดที่ฟังดูกล้ำกลืนฝืนทนของเดดารัสทำให้ทีเอร่าได้แต่ต้องเอื้อมมือไปจับแขนเสื้อของเดดารัสเอาไว้ราวกับว่าเธอกำลังพยายามจะปลอบเขาถึงแม้ว่าเธอจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเธอคงจะช่วยปลอบใจอะไรเขาไม่ได้ก็ตามที

 

“ถ้าอย่างงั้นที่คุณลงมาที่นี่ก็เป็นเพราะว่าหาป้ายหลุมศพของเธอไม่เจอข้างบนนั้นก็เลยคิดว่าอาจจะอยู่ข้างล่างนี่ก็ได้สินะครับ”

 

“ครับ…”

 

เดดารัสพยักหน้าตอบทหารรับจ้างชายกลับไปเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ทหารรับจ้างชายได้หันไปพยักหน้าให้กับเพื่อนร่วมงานของเขาให้ลดปืนลงพร้อมกับเอ่ยปากพูดกับผู้มาเยือนทั้งสองคนไปด้วย

 

“ถ้าเกิดว่าพวกคุณหาป้ายหลุมศพของเธอข้างบนนั่นไม่เจอก็คงจะต้องลองไปหาดูที่สุสานหรือว่าโบสถ์แห่งอื่นดูแล้วล่ะครับ เพราะถึงพวกผมจะเพิ่งรับงานเฝ้าที่นี่มาได้ไม่นานสักเท่าไหร่แต่ผมได้ยินมาว่าไม่มีใครมาทำพิธีศพข้างล่างนี่หลายปีแล้วล่ะครับ”

 

“…เข้าใจแล้วครับ…ถ้างั้นเดี๋ยวพวกผมขอตัวก่อนนะครับ…”

 

“ครับ พวกผมเองต้องขอโทษที่เสียมารยาทไปเมื่อสักครู่ด้วยนะครับ”

 

เดดารัสพยักหน้าตอบทหารรับจ้างชายกลับไปก่อนที่เขาจะเดินนำทีเอร่าผ่านทหารรับจ้างหญิงที่หลบทางให้กับพวกเขาตรงออกจากสุสานแห่งนี้ไปอย่างรวดเร็ว

 

และหลังจากที่ทั้งสองคนเดินพ้นออกมาจากบริเวณสุสานแล้วเดดารัสก็ได้เอ่ยปากถามเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะยังคงอยู่ในสารการสื่อสารขึ้นมาเบาๆ

 

“คุณเอริกะ… คุณพอจะบอกสถานที่ที่ร่างของเจนเขาถูกฝังเอาไว้ให้ผมตอนนี้ได้เลยหรือเปล่าครับ…”

 

 

“นายจะตีบทแตกเกินไปหน่อยหรือเปล่าเนี่ยรัสเซล? จากที่ฉันแอบฟังพวกเขาคุยกันตอนแรกจะคิดยังไงพวกเขาก็ไม่ได้กะจะมาเยี่ยมหลุมศพตามที่พูดแน่ๆ ล่ะ ถ้าเกิดว่าเขาแกล้งทำเป็นบอกว่าจะมาเยี่ยมหลุมศพเพื่อหาโอกาสโจมตีนายนี่นายจะทำยังไงกันหือ?”

 

ในทันทีที่ทหารรับจ้างหญิงผ้าคลุมแดงเห็นว่าเดดารัสและทีเอร่าเดินพ้นออกไปจากเขตสุสานแล้วนั้น เธอก็ได้หันกลับไปพูดบ่นใส่เพื่อนของเธอในทันที แต่ว่าทางด้านทหารรับจ้างชายผ้าคลุมแดงก็กลับไม่มีท่าทีกังวลใจอะไรสักเท่าไหร่นัก

 

“เอาหน่าๆ ไหนๆ ทางนั้นเขาก็เป็นฝ่ายพยายามจะเจรจาขอถอนตัวออกไปเองนี่ แล้วอีกอย่างนึง ไหนๆ พวกเราก็มาบุกรุกที่ของเขาแล้วจะช่วยเขาทำงานสักหน่อยนึงก็ไม่เป็นอะไรหรอก หรือว่าเธออยากจะให้คุณยายซิสเตอร์ประจำโบสถ์นี้เขาถือไม้เท้าเดินมาไล่สองคนนั้นไปเองล่ะ”

 

“เฮ้อ… ใจอ่อนเกินไปแล้วนะนายน่ะ… นี่ถ้าเกิดว่าสองคนนั้นเขาไม่ยอมถอนตัวไปดีๆ เดี๋ยวมีหวังเรื่องที่กลุ่มของพวกเราแอบมุดลงไปข้างล่างนั่นก็ได้แดงขึ้นมาจริงๆ หรอก… แล้วนี่นายจะถอดฮู้ดออกทำไมกันเล่ารัสเซล! เดี๋ยวหัวหน้าเขาก็โผล่มาแพ่นกบาลนายหรอก!!”

 

ในขณะที่ทหารรับจ้างหญิงผ้าคลุมแดง หรือก็คือหญิงสาวที่มีชื่อว่า ยุย ผู้ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มทหารรับจ้างที่เคยบุกไปยังหมู่บ้านโมริโกะของพวกนากากำลังพูดบ่นออกมาอยู่นั้น เธอก็ถึงกับต้องร้องโวยวายออกมาเมื่ออยู่ดีๆ เพื่อนของเธอก็ได้ดึงเอาฮู๊ดคลุมหัวออกเผยให้เห็นเส้นผมบ๊อบสีดำประบ่าและดวงตาสีน้ำตาลของเขา

 

“คิดมากน่า ป่านนี้หัวหน้าเขาน่าจะทำงานอะไรสักอย่างอยู่ที่กราวิทัสนู่นล่ะมั้ง เพราะงั้นขอฉันถอดผ้าคลุมนี่ออกจะได้หายใจได้ถนัดๆ หน่อยเถอะ หรือว่าเธอจะเข้ามาเฝ้าข้างในนี้แทนฉันล่ะ?”

 

“ไม่ล่ะ ฉันขออยู่เฝ้าข้างนอกเหมือนเดิมดีกว่า แล้วนายก็รีบๆ ใส่ผ้าคลุมกลับเข้าไปได้แล้ว—หือ?”

 

“มีอะไรหรอยุย?”

 

เสียงร้องด้วยความแปลกใจของยุยนั้นได้ทำให้รัสเซลรีบดึงเอาฮู๊ดกลับขึ้นมาคลุมหัวเอาไว้ตามเดิมในทันที ก่อนที่เขาจะรีบเดินเข้าไปยืนข้างๆ ยุยเพื่อมองหาสิ่งผิดปกติในทันที

 

“นายเห็นตรงนั้นหรือเปล่า? นั่นใช่ดอกไม้หรือเปล่าน่ะ?”

 

“หืม? ก็แค่ดอกไม้สีขาวธรรมดาๆ เองนี่ น่าจะร่วงออกมาตอนที่สองคนนั้นเดินออกไปหรือไม่ก็มีใครเอามาวางไว้ตอนที่พวกเราอยู่ข้างในกันล่ะมั้ง”

 

“อืม… นั่นสินะ”

 

ยุยพยักหน้ารับคำพูดของรัสเซลกลับไป แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงมองดูดอกไม้สีขาวที่ตกหล่นอยู่ใกล้ๆ กับประตูทางออกอย่างไม่วางตาด้วยความสงสัย เพราะว่าบริเวณที่มันตกอยู่นั้นไม่ได้มีหลุมศพอยู่ใกล้ๆ มันเลยแม้แต่สักหลุมเดียวจะมีก็เพียงแค่เศษดินที่ตกกระจายกันอยู่แถวนั้น อีกทั้งตัวดอกไม้เองยังตกอยู่ห่างจากประตูทางเข้าไปอยู่พอประมาณจนไม่น่าจะเป็นดอกไม้ของผู้บุกรุกทั้งสองคนที่เพิ่งจะเดินตรงออกไปจากสุสานได้เลยแม้แต่น้อย