“ซิลจังมาเล่นกันนนน~~”
 

ในช่วงเช้าของวันถัดมา หลังจากคืนที่โมโกะได้มาพูดเตือนนากาเกี่ยวกับเรื่องวันเกิดของน้องสาวของเขาที่กำลังจะใกล้เข้ามาถึง พรีมูล่าผู้เป็นเจ้าของวันเกิดที่เหมือนว่าจะลืมวันสำคัญของตัวเองไปแล้วก็ได้เอ่ยปากร้องเรียกซิลเวสขึ้นมาเสียงดังในทันทีที่เธอเดินก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียนและพบเข้ากับเส้นผมสีฟ้าของเด็กสาวแสนซนอีกคนหนึ่ง

 

“อ่ะ– พริมจังมาแล้วหรอ มานี่สิๆ หนูเพิ่งจะคิดเรื่องสนุกๆ ขึ้นมาได้พอดีเลยล่ะ~”

 

‘ซวยแล้วไง สองคนนั้นวางแผนจะทำอะไรกันอีกแล้วนั่น’

 

‘นี่เซซิลกับอัลเบิร์ตยังไม่มาอีกหรอน่ะ แบบนี้ใครจะโดนเล่นงานกันแน่นะ…’

 

‘นิ่งเอาไว้ๆ อย่าทำตัวให้เด่นสะดุดตา’

 

คำพูดตอบกลับของซิลเวสนั้นถึงกับทำให้เหล่าเพื่อนร่วมห้องเสียวสันหลังวาบขึ้นมากันในทันทีพร้อมกับภาวนาให้เซซิลหรือไม่ก็อัลเบิร์ตที่มักจะตกเป็นเป้าหมายของทั้งสองคนอยู่บ่อยๆ เดินทางมาถึงห้องเรียนกันเร็วๆ

 

และในขณะที่เด็กสาวทั้งสองคนกำลังสุมหัวหาเรื่องสนุกทำกันอยู่นั้นทางด้านคอนแนลที่เหมือนว่าจะมีธุระอะไรสักอย่างก็ได้ขอปลีกตัวเดินเข้าไปหาเนลที่นั่งประจำที่อยู่ที่แถวๆ หน้าห้อง ส่วนทางด้านนากาและโมโกะเองก็ได้ฉวยโอกาสนี้เดินเข้าไปลากตัวรีซาน่ามาที่ประตูทางด้านหน้าห้องเพื่อที่จะได้บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องวันเกิดของพรีมูล่าให้เธอได้รับรู้

 

“เอ๋? วันเกิดของพรีมูล่าจังเขาน่ะหร—”

 

“ชู่ว–!! เบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวพรีมูล่าเขาก็ได้ยินหมดหรอก!”

 

นากาที่เห็นรีซาน่ากำลังทำท่าเหมือนกับว่าจะร้องออกมาเสียงดังได้รีบพุ่งมือไปอุดปากอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับพูดเตือนออกมาในทันที และเมื่อนากาได้พบว่าบัดนี้พรีมูล่ากำลังละเลงกระดานดำด้วยรูปวาดประหลาดๆ อยู่กับซิลเวสเขาจึงค่อยผละมือออกมาพร้อมกับพูดอธิบายขึ้นมาเพิ่มเติม

 

“แล้วสรุปว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้เธอว่างหรือเปล่าล่ะ พวกฉันว่าจะจัดงานวันเกิดให้ยัยนั่นที่คฤหาสน์กันน่ะ”

 

“ได้ยินแบบนี้เข้าไปแล้วต่อให้ฉันไม่ว่างฉันก็ต้องว่างแล้วล่ะค่ะ! แต่นี่นากาคุงเล่นมาบอกฉันเอากระชั้นชิดแบบนี้นี่ไม่กะจะเผื่อเวลาให้ฉันหาของขวัญวันเกิดมาให้พรีมูล่าจังเขาเลยหรือไงกันคะเนี่ย?”

 

“เรื่องนั้นเธอไปโทษโมโกะได้เลยที่ไม่ยอมมาเตือนฉันกันก่อนน่ะ”

 

“อ่าวเฮ้ย— นี่นายเป็นคนลืมวันเกิดน้องสาวของตัวเองแล้วยังมีหน้ามาโทษคนอื่นอีกหรอยะ!?”

 

“หือ? นี่สรุปว่าปลายสัปดาห์นี้จะมีงานวันเกิดของยัยบ้องตื้นนั่นหรอน่ะ?”

 

ในขณะที่โมโกะกำลังจะหันไปจิกหัวนากาที่หันมาป้ายความผิดใส่เธออยู่นั้นก็ได้มีเสียงของอัลเบิร์ตดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของกลุ่มของพวกเธอ ซึ่งเมื่อนากาหันกลับไปมองและได้พบเข้ากับอัลเบิร์ตและเซซิลเขาก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากชวนทั้งสองคนมาร่วมงานฉลองวันเกิดของน้องสาวตัวแสบของเขาในทันที

 

“อื้ม ใช่แล้วล่ะ ทั้งสองคนสนใจจะมาร่วมด้วยมั้ยล่ะ”

 

“พวกฉันวางแผนกันว่าจะซื้อเค้กก้อนใหญ่มาจัดงานวันเกิดให้พรีมูล่าด้วยนะ สนใจจะมาด้วยกันมั้ยล่ะ~”

 

โมโกะที่ได้ยินนากาเอ่ยปากชวนเพื่อนๆ ทั้งสองคนขึ้นมาได้รีบพูดถึงไฮไลต์ของงานที่เธอคิดเอาไว้ออกมาเพื่อล่อลวงทั้งสองคนในทันที แต่ว่าทางด้านอัลเบิร์ตที่ได้ยินแบบนั้นก็กลับเลิกคิ้วและเอ่ยปากพูดตอบโมโกะกลับไปด้วยความประหลาดใจ

 

“หา? งานวันเกิดมันก็ต้องมีเค้กอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงเธอจะพูดขึ้นมาทำไมกันเนี่ยยัยแมวระเบิด? อ๋อ… หรือว่าปกติแล้วพวกบ้านนอกเขาหาเค้กมาจัดงานวันเกิดกันไม่ได้เธอก็เลยคิดว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษกว่าปกติกัน?”

 

“หวายๆๆ เดี๋ยวก่อนสิคะโมโกะจัง ถ้ามาทะเลาะกันตรงนี้แล้วโดนอาจารย์โซจิเห็นขึ้นมาเดี๋ยวจะแย่เอานะคะ”

 

รีซาน่าที่สังเกตเห็นว่าโมโกะกำลังทำหน้ายิ้มๆ แต่ว่ากำลังง้างมือขึ้นเพื่อคิดที่จะหวดอัลเบิร์ตที่พูดจาปากเสียเข้าไปสักทีหนึ่งได้รีบร้องห้ามขึ้นมาและรวบตัวโมโกะเอาไว้ในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่ไม่เคยคิดมากกับคำว่าบ้านนอกอยู่แล้วได้แต่หัวเราะขึ้นมาเบาๆ และเอ่ยปากถามเพื่อนของเขาทั้งสองคนขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ฮะฮะ แต่ก็นั่นแหล่ะ ทั้งสองคนสนใจจะมาร่วมงานด้วยหรือเปล่าล่ะอัลเบิร์ต เซซิล”

 

“หา? พวกนายเล่นมาชวนกันกะทันหันแบบนี้ใครมันจะไปว่างกันเล่า!?”

 

“เออใช่ ตอนที่เอริกะเขาได้ยินว่าพวกเราจะจัดงานวันเกิดให้พรีมูล่านี่เห็นเอริกะเขาตื่นเต้นใหญ่เลยที่จะได้ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างโดดงานมากินเลี้ยงน่ะ ใช่มั้ยล่ะนากา?”

 

“หะ—?”

 

“เหอะ พวกนายบอกว่าจะจัดงานกันตอนวันหยุดนี้ใช่มั้ย? เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะไปร่วมงานด้วยก็แล้วกัน”

 

อัลเบิร์ตที่ได้ยินคำพูดของโมโกะที่พูดเป็นทำนองว่าเอริกะคิดจะไปร่วมงานวันเกิดด้วยได้รีบกลับคำพูดของเขาในทันทีแถมยังพยายามแอบจัดเสื้อผ้าของเขาให้ดูเรียบร้อยขึ้นด้วยราวกับว่าเขาพร้อมที่จะไปร่วมงานวันเกิดของพรีมูล่าซะเดี๋ยวนี้เลย ในขณะที่ทางด้านนากานั้นก็ได้แต่กะพริบตามองอย่างมึนๆ เพราะที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้เจอกับเอริกะมาหลายสัปดาห์แล้วอีกทั้งยังไม่มั่นใจซะด้วยซ้ำว่าเอริกะรู้เรื่องงานวันเกิดของพรีมูล่าแล้วหรือยัง

 

แต่ว่าในเมื่อสิ่งที่โมโกะพูดขึ้นมามันสามารถทำให้พวกเขาหาคนมาร่วมงานฉลองวันเกิดของพรีมูล่าได้เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งเขาก็ได้แต่เออออตามไปก่อนทั้งอย่างนั้น

 

“อะ–อ่า ถ้านายว่างั้นล่ะก็นะ”

 

“…แล้วเรื่องของขวัญ?”

 

ทันใดนั้นเองเซซิลที่นิ่งเงียบอยู่ตั้งแต่ทีแรกก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาสั้นๆ เพราะว่าช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันนี้พวกเธอคงจะไม่มีเวลาไปเดินหาของขวัญที่พรีมูล่าน่าจะถูกใจมาได้ทันเวลาอย่างแน่นอน

 

“เรื่องนั้นไม่ต้องก็ได้นะเซซิล เพราะฉันว่าแค่มีเพื่อนใหม่อย่างพวกเธอไปร่วมงานยัยพรีมูล่าก็น่าจะดีใจจนหน้าบานแล้วล่ะ ส่วนเรื่องของขวัญนี่เอาแค่ของฉันกับนากาก็พอแล้ว”

 

“มันจะไปพอได้ยังไงกันเล่ายัยแมวระเบิด นี่มันงานวันเกิดทั้งทีเลยนะ! เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะแสดงให้พวกนายดูเองว่าของขวัญวันเกิดจริงๆ น่ะมันควรจะเป็นยังไง!”

 

“ฮะฮะ ถ้ายังไงเดี๋ยวทางฉันก็จะพยายามหาของขวัญที่พรีมูล่าเขาน่าจะถูกใจมาให้ด้วยคนก็แล้วกันนะคะ”

 

“เฮ้อ… ถ้าเป็นไปได้พวกนายก็พยายามอย่าให้มันเป็นของมีราคาจนเกินไปก็แล้วกันนะ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวยัยนั่นจะนิสัยเสียคิดอยากได้แต่ของแพงๆ ขึ้นมาก็ได้น่ะ แล้วถ้าเกิดว่าหาอะไรมาได้ไม่ทันจริงๆ ก็ซื้อขนมสักอย่างสองอย่างมาแทนก็แล้วกัน”

 

นากาที่เห็นอัลเบิร์ตมุ่งมั่นพยายามที่จะมางานวันเกิดของพรีมูล่าให้ได้นั้นได้เริ่มที่จะเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าทำไมโมโกะถึงเอ่ยปากอ้างชื่อของเอริกะขึ้นมาเมื่อสักครู่นี้ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่ได้บอกเรื่องงานวันเกิดนี้กับเอริกะเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่ได้กังวลใจอะไรสักเท่าไหร่นักเพราะเขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าถ้าเอริกะได้รู้เรื่องนี้แล้วล่ะก็เธอก็คงจะใช้วันเกิดของพรีมูล่าเป็นข้ออ้างในการโดดงานมาพักผ่อนอย่างแน่นอน

 

“นี่พวกเธอมายืนทำอะไรกันที่หน้าประตูล่ะเนี่ย… นี่มันใกล้จะได้เวลาโฮมรูมแล้วนะ ไปนั่งที่กันได้แล้วไป๊~”

 

ในขณะที่พวกนากากำลังยืนคุยเล่นขวางประตูทางเข้าห้องเรียนกันอยู่นั้น เอริซาเบธก็ได้ยื่นหน้าโผล่พ้นกรอบประตูที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ออกมาและเอ่ยปากไล่พวกเขาให้กลับไปนั่งประจำที่กัน ซึ่งคำพูดของเอริซาเบธนั้นก็ได้แต่ทำให้อัลเบิร์ตต้องกลอกตาไปมาและพูดบ่นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเขาขึ้นมา

 

“นี่มันใกล้จะหมดเวลาโฮมรูมแล้วต่างหากเล่ายัยจิ้งจอกเอ๊ย พวกนายสองคนไปนั่งที่กันได้แล้วไป แล้วก็อย่าลืมหิ้วยัยบ้องกับยัยซิลเวสไปด้วยล่ะ”

 

“คำก็ระเบิด สองคำก็ระเบิด นี่นายสนใจอยากจะโดนฉันระเบิดทิ้งไปด้วยอีกคนขนาดนั้นเลยหรือไงหะ!?”

 

“น่าๆ พวกเรารีบไปนั่งที่กันเถอะโมโกะ เอาละ พรีมูล่า ซิลเวส กลับไปนั่งที่กันได้แล้ว”

 

นากาที่ได้ยินโมโกะพูดจาคาดโทษอัลเบิร์ตเอาไว้ได้รีบร้องห้ามเธอเอาไว้ก่อนและหันไปร้องเรียกเด็กสาวอีกสองคนที่กำลังสนุกสนานกับกระดานดำกันอยู่ให้กลับไปนั่งประจำที่เพื่อเตรียมตัวเรียนในทันที

 

และเมื่อเอริซาเบธได้เห็นว่าเหล่าเด็กนักเรียนของเธอกลับไปนั่งประจำที่กันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอก็เหลือบไปมองกระดานดำที่พรีมูล่ากับซิลเวสได้ใช้เป็นสถานที่วาดภาพจำลองการต่อสู้ของนากาและเนลเมื่อวานนี้เล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เอาล่ะ~ ถ้างั้นอาจารย์จะเริ่มเช็กชื่อล่—”

 

ครืดดดดดด—

 

แต่ว่าก่อนที่เอริซาเบธจะได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบก็ได้มีเสียงเลื่อนเปิดประตูห้องดังขึ้นมาขัดจังหวะของเธอเอาไว้ก่อน ซึ่งผู้ที่เลื่อนประตูให้เปิดออกนั้นก็ไม่ใช่เด็กนักเรียนที่มาเรียนสายแต่อย่างใด แต่ว่ากลับเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาโบราณที่มีชื่อว่าอาจารย์โซจิที่ควรจะมาเริ่มต้นการสอนของเขาในคาบเรียนที่หนึ่งหลังจากที่คาบโฮมรูมหมดลงนั่นเอง

 

“อาจารย์เอริซาเบธ ท่านผู้อำนวยการเรียกตัวให้ไปพบที่ห้องน่ะครับ”

 

“เอ๋ แต่ว่าฉันยังไม่ได้เริ่มต้นเช็กชื่อนักเรียนเลยนะคะ”

 

“ถ้าเรื่องนั้นเดี๋ยวผมจัดการให้เองก็ได้ครับเพราะยังไงเดี๋ยวผมก็ต้องสอนห้องนี้ในช่วงคาบเรียนแรกอยู่แล้ว อาจารย์เอริซาเบธรีบไปหาท่านผู้อำนวยการเถอะครับ เพราะผมได้ยินมาว่าวันนี้มีแขกพิเศษมากันเพียบเลยล่ะ”

 

“แขกพิเศษหรอคะ…?”

 

คำพูดของอาจารย์โซจิได้ทำให้เอริซาเบธชะงักไปชั่วขณะ เพราะคำว่าแขกพิเศษสำหรับโรงเรียนนี้แล้วก็คงจะไม่พ้นเอริกะที่เป็นคนเสนอเรื่องการฝึกสอนใช้ยูนิตขึ้นมาหรือไม่ก็เป็นพวกแขกพิเศษที่เป็นขุนนางจากทางวังหลวงหรืออะไรพวกนั้น

 

ซึ่งการที่ท่านผู้อำนวยการส่งคนมาเรียกตัวเธอไปพบกับแขกพิเศษนั้นก็คงจะหมายความว่ามีเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่งเกิดขึ้นที่ถึงกับทำให้นักประดิษฐ์งานยุ่งอย่างเอริกะต้องมาตามหาตัวเธอถึงข้างในโรงเรียนโดยไม่ได้แจ้งเอาไว้ก่อนล่วงหน้าหรือไม่ก็อาจจะเป็นอะไรที่ยุ่งยากกว่านั้นอย่างแน่นอน

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นฉันฝากพวกเด็กนักเรียนห้องฉันด้วยนะคะ”

 

เอริซาเบธพูดตอบอาจารย์โซจิกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะรีบเก็บข้าวของและพุ่งตัวออกไปจากห้องเรียนด้วยความรีบร้อนในทันที

 

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“ฉันเอริซาเบธเองค่ะ! มาตามที่ท่าน ผอ. เรียกพบค่ะ!”

 

“โอ้ เข้ามาได้เลยจ้ะเอริ~”

 

เสียงของเอริกะที่พูดตอบกลับออกมาจากภายในห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนกับว่าเธอแค่บังเอิญเดินผ่านมาแถวนี้เฉยๆ ก็เลยแวะมาหากันนั้นถึงกับทำให้เอริซาเบธได้แต่ส่ายหน้าไปมาและพูดบ่นออกมาในทันที

 

“เป็นคุณเอริกะจริงๆ ด้วยสินะคะ ถ้ายังไงวันหลังก็ช่วยหัดแจ้—”

 

แต่ว่าในทันทีที่เอริซาเบธเปิดประตูห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการเข้าไปนั้นเธอก็ถึงกับชะงักไปในทันที เพราะว่านอกจากท่านผู้อำนวยการที่เป็นเจ้าของห้องและเอริกะที่เพิ่งจะพูดตอบกลับมาเมื่อสักครู่แล้วก็ยังมีไดเอน่าที่เป็นประธานนักเรียนและบุคคลอีกสี่คนที่อยู่ในชุดเครื่องแบบขุนนางของรีมินัสอยู่อีกด้วย

 

แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้เอริซาเบธตกใจที่สุดก็กลับไม่ใช่เหล่าขุนนางสี่คนในชุดคละสีพวกนั้น แต่ว่ากลับการที่เอริกะนำเอาอุปกรณ์ที่มีลักษณะเหมือนกับลูกบอลครึ่งวงกลมสีดำที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนมาตั้งอยู่กลางห้องให้เหล่าขุนนางของรีมินัสเห็นนั่นต่างหาก

 

“คุณเอริกะคะ เจ้านั่นมัน…?”

 

“จุ๊ๆ เอาไว้ก่อนนะเอริ ตอนนี้เธอทักทายพวกคุณๆ ท่านๆ ทั้งหลายนี่ก่อนสิ”

 

“คุณเวลอฟ สตอร์หวาท ผู้ดำรงดำแหน่งเสนาธิการกองทัพ คุณแซนดร้า ลูแคสต้า ผู้ดูแลสำนักงานวิจัยและพัฒนาแห่งรีมินัส แล้วก็คุณดั๊ดเลส สตัฟฟอร์ด ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ส่วนอีกคนหนึ่งก็คงจะเป็นตัวแทนของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานงั้นสินะคะ”

 

คำพูดของเอริซาเบธที่สามารถระบุชื่อและตำแหน่งของทั้งสี่คนออกมาได้อย่างถูกต้องนั้นได้ทำให้ขุนนางวัยกลางคนที่มีเส้นผมสีน้ำเงินเข้มและสวมใส่เครื่องแบบสีแดงหันมาจ้องมองสำรวจเธอด้วยแววตาแพรวพราว

 

“โฮ่… จำได้แม้แต่กระทั่งชื่อนามสกุลของท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีสตัฟฟอร์ดที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้เลยงั้นหรือครับเนี่ย อาจารย์คนนี้ที่คุณเอริกะเรียกมาเองก็ดูท่าทางว่าจะมีอนาคตไกลเหมือนกันนะครับ”

 

“เอริเขาเป็นผู้ช่วยของฉันเองแหล่ะค่ะคุณเสนาธิการ เพราะงั้นถ้าเกิดว่าคุณคิดจะพูดหรือว่าคิดจะวางแผนอะไรก็ช่วยระวังตัวเอาไว้หน่อยละกันนะคะคุณเวลอฟ”

 

“ชิ…”

 

ขุนนางวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบขุนนางสีแดงเข้มที่มีชื่อว่าเวลอฟนั้นได้แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างโจ้งแจ้งเมื่อเอริกะได้ละสายตาจากอุปกรณ์ฉายภาพที่เธอกำลังจัดการอยู่เพื่อเหลือบตามาจ้องมองเขาด้วยสายตาเฉียบแหลม

 

และเมื่อเอริกะเห็นว่าเวลอฟยอมละสายตาของเขาไปจากเอริซาเบธแล้วเธอจึงได้กวักมือเรียกเอริซาเบธเข้าไปใกล้ๆ เพื่อพูดสั่งงานขึ้นมา

 

“เอริซาเบธเธอมาเฝ้าเจ้าเครื่องนี่แทนฉันหน่อยสิ แล้วถ้าเกิดว่าระหว่างที่ฉันอธิบายให้พวกคุณๆ ท่านๆ พวกนี้ฟังอยู่มันมีอะไรผิดแปลกไปล่ะก็รีบพูดแทรกขึ้นมาได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจล่ะ”

 

“โอ้ ได้เลยค่ะ”

 

เอริซาเบธพูดตอบเอริกะกลับไปแล้วจึงเดินเข้าไปดูอุปกรณ์ฉายภาพที่เอริกะยังจัดการต่อสายต่างๆ ไม่เสร็จเรียบร้อยดี ซึ่งเมื่อเอริซาเบธได้เห็นแบบนั้นเธอจึงได้จัดการเสียบสายต่างๆ เข้าใส่ตัวเครื่องอย่างคล่องแคล่ว เพราะด้วยความที่เธอถูกเอริกะรับมาเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเด็กมันก็เลยทำให้เธอพอจะเข้าใจในหลักการทำงานของอุปกรณ์ส่วนมากของเอริกะได้อยู่บ้าง

 

ปี๊บ

 

และในทันทีที่เอริซาเบธเสียบสายอันสุดท้ายเข้าไปตัวเครื่องฉายภาพมันก็ได้ส่งเสียงออกมาเล็กน้อยก่อนที่มันจะฉายภาพของทุ่งหญ้าและถนนหลักหน้าเมืองรีมินัสจากมุมมองทางด้านบนของประตูเมืองแต่ละทิศขึ้นมา ซึ่งรูปภาพที่ปรากฏขึ้นมาบนอากาศนั้นก็ถึงกับทำให้ขุนนางหญิงเพียงคนเดียวในห้องที่ชื่อว่าแซนดร้าได้แต่ต้องพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหงุดหงิดเอาไว้เล็กน้อย

 

“สิ่งประดิษฐ์ของคุณเอริกะนี่ก็ยังน่าทึ่งไม่เปลี่ยนเลยนะคะเนี่ยที่สามารถนำภาพถ่ายจากขอบกำแพงของเมืองทั้งสี่ทิศมาฉายอยู่กลางอากาศได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้น่ะค่ะ”

 

“ผมว่านั่นมันไม่ใช่แค่ภาพถ่ายหรอกนะครับคุณแซนดร้า คุณลองดูภาพพวกนั้นให้ดีๆ ก่อนสิครับ”

 

ในทันทีที่แซนดร้าเอ่ยปากพูดขึ้นมา ขุนนางหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยเช่นกัน ซึ่งคำพูดของเขานั้นก็ทำให้แซนดร้าต้องเพ่งมองดูภาพทั้งสี่ภาพที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศอีกครั้งก่อนที่เธอจะอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ

 

“ภาพพวกนั้นมันขยับอยู่— นี่มันหมายความว่ายังไงกันคะคุณเอริกะ!? เจ้าเครื่องนี่มันเหนือกว่าอุปกรณ์บันทึกภาพที่คุณเคยคิดค้นให้กับทางเมืองอีกไม่ใช่หรือไงกันคะ ทำไมคุณถึงไม่ส่งเจ้าเครื่องนี่ไปให้กับทางเมืองกันคะคุณเอริกะ!?”

 

“แหม่~ ก็เพราะว่าจริงๆ แล้วฉันไม่คิดจะให้ใครได้เห็นหรือว่าได้ใช้งานมันอยู่แล้วน่ะสิคะคุณแซนดร้า แต่ว่าในเมื่อคราวนี้มันเป็นเรื่องฉุกเฉินเพราะงั้นมันก็ช่วยไม่ได้น่ะสิคะ อ๋อ~ แล้วก็จากที่ฉันคำนวณมานี่ ถ้าเกิดว่าพวกคุณใช้งบประมาณที่เบิกไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วก็พยายามพัฒนาของเล่นที่ฉันให้ไปกันสักหน่อยล่ะก็พวกคุณเองก็น่าจะสร้างของแบบนี้ขึ้นมาได้เหมือนกันนะคะคุณผู้ดูแลสำนักงานวิจัยและพัฒนา~”

 

“ฮึ๊ย—-”

 

“ฮะฮะ… คุณเอริกะนี่ก็ยังไม่ไว้หน้าพวกเขาเหมือนเดิมเลยนะคะเนี่ย”

 

เสียงหัวเราะของไดเอน่าที่ดังขึ้นมาเบาๆ นั้นได้ทำให้แซนดร้าตวัดสายตาไปมองเด็กสาวผมสีทองทวินเทลในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรตอบกลับไปเพราะว่านอกจากที่ไดเอน่าจะเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลเซมฟิร่าที่ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลของเธอมากแล้วในห้องนี้เองก็ยังมีท่านผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัสที่ขึ้นชื่อเรื่องของความหวงเด็กนักเรียนในการปกครองของเขาอยู่อีกคนหนึ่งด้วย

 

“อะแฮ่ม! เอาล่ะ ในเมื่ออุปกรณ์ฉายภาพของฉันมันพร้อมใช้งานแล้วถ้างั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ”

 

เป๊าะ!

 

เอริกะเอ่ยปากพูดขึ้นมาพร้อมกับดีดนิ้วเพื่อส่งสัญญาณให้เครื่องฉายภาพที่ตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะของเหล่าขุนนางยิงเส้นแสงสีน้ำเงินจำนวนมากออกมาตัดกันที่กลางอากาศ ซึ่งเส้นแสงสีน้ำเงินเหล่านั้นก็ตัดไขว้กันไปกันมาจนกลายเป็นภาพของแผนที่เมืองรีมินัสและบริเวณใกล้เคียงก่อนที่พื้นที่บริเวณรอบๆ ประตูเมืองทั้งสี่ทิศจะถูกเส้นแสงสีเหลืองตีกรอบเอาไว้ด้วยคำว่า ‘Caution’ หรือคำว่า ‘ต้องระวัง’ ในภาษาโบราณนั่นเอง

 

“ก็อย่างที่ฉันได้แจ้งไปในจดหมายเชิญว่ากลุ่มคนที่ฉันว่าจ้างให้ไปสืบหาข้อมูลของเหตุระเบิดที่ห้องเก็บผลงานของฉันเพิ่งจะส่งข่าวมาว่าพวกเขาได้ข้อมูลมาว่าจะมีการโจมตีที่เมืองรีมินัสเกิดขึ้นอีกครั้งในเร็ววันนี้…”

 

“แต่เธอเองก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นการโจมตีรูปแบบไหน เพื่ออะไร และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่สินะ…”

 

ท่านผู้อำนวยการที่นั่งดูการปะทะคารมของเอริกะและเหล่าขุนนางอย่างเงียบๆ มาตั้งแต่แรกได้ตัดสินใจที่จะชิงเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาก่อนหน้าเหล่าขุนนางทั้งสี่คน เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าถ้าจะปล่อยให้เหล่าขุนนางพวกนี้เป็นคนพูดถามเองพวกเขาก็คงจะมัวแต่พูดจาหาเรื่องเอริกะจนเสียเวลาไปเปล่าๆ อย่างแน่นอน

 

“ใช่แล้วล่ะค่ะท่านผู้อำนวยการ และที่ฉันเรียกทุกคนมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะได้ช่วยกันปรึกษาหาวิธีการรับมือ… แต่ที่ไหนได้พวกท่านๆ ทั้งหลายดันสละเวลามาได้แค่ครึ่งเดียว แถมสองในสี่คนยังส่งมาแค่ตัวแทนอีกต่างหาก เฮ้อ…”

 

เอริกะได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าไปมาแบบไม่คิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าจริงๆ แล้วเธอส่งบัตรเชิญไปหาหัวหน้าหน่วยและรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญต่างๆ ถึงแปดคนด้วยกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ดันมีคนมาที่นี่เพียงแค่สี่คนเท่านั้น อีกทั้งสองในสี่คนเองก็ยังเป็นเพียงแค่ตัวแทนที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจอย่างเด็ดขาดอีกต่างหาก

 

“แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันไปก่อนก็แล้วกัน… อย่างแรก ฉันหวังว่าพวกคุณคงจะได้ทำตามคำขอที่ฉันระบุไปในบัตรเชิญกันแล้วนะคะ เรื่องที่ว่าฉันอยากจะขอความร่วมมือระงับการเดินทางของบุคคลสำคัญของแต่ละเมืองแล้วก็หยุดการขนส่งสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ไปก่อนจนกว่าพวกเราจะสามารถยืนยันได้แน่ๆ ว่าพวกเขาหรือว่าสิ่งของพวกนั้นจะไม่ตกเป็นเป้าโจมตีน่ะค่ะ”

 

“เรื่องนั้นถึงมันจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงอื่นแต่ว่าผมได้ใช้อำนาจของผู้ช่วยกระทรวงยุติธรรมสั่งให้ทูตของแต่ละเมืองส่งม้าเร็วไปบอกข่าวกับเมืองต้นสังกัดของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะครับ ถึงตัวผมเองจะยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง แต่ว่าในเมื่อคุณเอริกะถึงกับต้องส่งจดหมายด่วนมาแบบนี้ผมก็ขอเลือกทางที่มันจะปลอดภัยเอาไว้ก่อนดีกว่าน่ะครับ”

 

“ส่วนดิฉันก็ได้สั่งให้คนอื่นๆ แจ้งข่าวเรื่องขอแจ้งการระงับการขนส่งชิ้นส่วนกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่จะมาจากแพนเทร่าเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ว่าฉันก็คงจะให้เวลาได้อย่างมากก็แค่สองสัปดาห์นะคะ เพราะถ้าเกิดว่านานกว่านั้นแผนการอื่นๆ มันจะล่าช้าไปด้วยน่ะค่ะ”

 

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะคุณแซนดร้า เพราะฉันเชื่อว่าการโจมตีมันจะเกิดขึ้นภายใน… อื้ม…ไม่เกินสองสัปดาห์นี้อย่างแน่นอนค่ะ แล้วทางด้านคุณเวลอฟว่ายังไงบ้างล่ะคะ?”

 

เอริกะพยักหน้าตอบดั๊ดเลสที่เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมและแซนดร้าที่เป็นที่เป็นผู้ดูแลสำนักงานวิจัยกลับไปด้วยความพึงพอใจก่อนที่เธอจะหันไปหาเวลอฟที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพที่นั่งกอดอกนิ่งเงียบอยู่ด้วยความสงสัย

 

“จะหันมามองทางผมทำไมล่ะครับ? ถึงเรื่องที่คุณเอริกะขอมามันจะฟังดูไร้สาระก็เถอะ แต่ว่าทางด้านผมก็ได้สั่งให้กองทหารรักษาการณ์เสริมการป้องกันที่ประตูเมืองหลักทั้งสามทิศแล้วล่ะครับ ถ้าเกิดว่ามีใครอยากจะมาบุกเมืองรีมินัสแห่งนี้ล่ะก็ให้พวกมันดาหน้ากันเข้ามาได้เลย!”

 

“สามทิศ? นี่อย่าบอกนะว่าคุณเว้นว่างประตูทางทิศตะวันตกเอาไว้น่ะ?”

 

“มันก็ไม่ถึงขั้นว่าง… แต่ว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาประตูทางทิศตะวันตกมันก็ไม่เหมาะกับการสู้รบอยู่แล้ว แล้วต่อให้จะมีคนบุกมาทางนั้นจริงๆ เราก็สามารถโยกย้ายกำลังคนจากทางทิศอื่นไปป้องกันได้ทันอยู่ดีนั่นล่ะครับ”

 

“อื้ม… ถ้าเกิดว่าศัตรูเป็นกองกำลังของเมืองอื่นๆ กว่าพวกเขาจะอ้อมไปทางประตูตะวันตกได้พวกเราก็คงจะมีเวลาเตรียมตัวรับมือจริงๆ นั่นแหล่ะค่ะ…”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดอธิบายจากเวลอฟได้นิ่งใช้ความคิดไปสักพัก เพราะว่าจากที่อีกฝ่ายพูดออกมามันก็นับว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง เนื่องจากว่าทางทิศตะวันตกของเมืองรีมินัสก็มีเพียงแค่หมู่บ้านเล็กๆ ไม่กี่สิบหมู่บ้านก่อนจะไปสุดอยู่ที่ทะเลมรกตที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต อีกทั้งบริเวณใกล้ๆ กับเมืองเองก็มีเพียงแค่ทุ่งหญ้ากว้างไกลนับกิโลเมตรจนทำให้โอกาสที่ประตูทางทิศตะวันตกจะถูกบุกโจมตีอย่างกะทันหันมันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

 

แต่ว่านั่นก็ทำให้เอริกะที่รู้ดีว่าศัตรูของพวกเธอที่จะวางแผนจะโจมตีเมืองรีมินัสแห่งนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองอื่นๆ เลยแม้แต่น้อยนั้นได้แต่ต้องพยายามหาทางอื่นที่จะไม่เป็นการหักหน้าเสนาธิการเวลอฟที่อุตส่าห์ยอมให้ความร่วมมือกับเธอในครั้งนี้แต่โดยดีมากนัก

 

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่าฉันขอยืมตัวไดเอน่ากับพวกเด็กนักเรียนอีกสักสองสามคนไปลาดตระเวนที่ประตูเมืองทางฝั่งตะวันตกสักหน่อยเพื่อความปลอดภัยจะได้หรือเปล่าล่ะคะท่านผู้อำนวยการ”

 

“นี่เธอกำลังจะบอกว่าจะให้เด็กนักเรียนของฉันออกไปสู้รบแบบพวกทหารประจำเมืองงั้นหรอ…?”

 

ท่านผู้อำนวยการที่ได้ยินคำขอของเอริกะได้แผ่รังสีเยือกเย็นออกมาในทันทีก่อนที่เขาจะค่อยๆ หันไปมองทางเอริกะจนถึงกับทำให้เธอสะดุ้งไปเล็กน้อยและรีบพูดอธิบายออกมาให้เขาฟัง

 

“แหม่~ อย่าพูดให้มันฟังดูอันตรายอย่างนั้นสิคะท่านผู้อำนวยการ เอาจริงๆ มันก็แค่งานเดินตรวจตราที่พอเจออะไรผิดปกติก็รีบแจ้งให้พวกทหารยามเขารู้ก็แค่นั้นเองล่ะค่ะ อีกอย่างนึงทุ่งหญ้าหน้าเมืองทางทิศตะวันตกมันก็กว้างจะตายไปไม่น่าจะมีอะไรแอบลอบเข้ามาได้โดยที่เด็กนักเรียนของท่านมองไม่เห็นได้หรอกค่ะ แล้วก็เพื่อความสบายใจของท่านผู้อำนวยการเดี๋ยวฉันจะมอบอุปกรณ์เสริมต่างๆ ให้เขาแบบเต็มที่ด้วยเลยละกันนะคะ”

 

“…แค่งานรักษาการณ์เฝ้าระวังสิ่งผิดปกติทางฝั่งตะวันตกแค่นั้นจริงๆ ใช่มั้ย?”

 

“อืมมมม เอาจริงๆ ก็อาจจะมีต้องต่อสู้อยู่บ้างนะคะ อย่างถ้าเกิดว่ามีกองกำลังของเมืองอื่นบุกเข้ามาจะพังประตูเมือง หรือถ้าเกิดว่ามีกองทัพจากเมืองอื่นเอาอะไรที่ดูอันตรายมาตั้งไว้นอกเมืองจนต้องออกไปทำลายทิ้งเพื่อความปลอดภัยหรือว่าอะไรพวกนั้นน่ะ แต่ถ้าเกิดว่าศัตรูของพวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับกองกำลังทหารของเมืองอื่นหรือว่าพวกทหารรับจ้างพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องออกแรงหรอกค่ะ”

 

“ฮึ่ม…”

 

คำพูดของเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะย้ำเน้นไปถึงกลุ่มของศัตรูแบบเฉพาะเจาะจงว่าเหล่าเด็กนักเรียนจะได้ออกไปต่อสู้ก็ต่อเมื่อศัตรูเป็นทหารของเมืองอื่นนั้นก็พอจะทำให้ท่านผู้อำนวยการเบาใจขึ้นมาได้เล็กน้อยว่าเหล่าเด็กนักเรียนของเขาจะไม่ถูกบังคับให้ออกไปต่อสู้กับเหล่าสาวใช้ปีกแสงที่เขาเคยเห็นผ่านเครื่องฉายภาพของเอริกะเมื่อครั้งก่อนหน้านี้แน่ๆ

 

แต่ถึงแม้ว่าท่านผู้อำนวยการจะมั่นใจว่าเอริกะไม่น่าจะผิดคำพูดของตัวเธอเอง แต่ว่าเขาเองก็มั่นใจได้เช่นกันว่าทางเมืองคงจะไม่มีความคิดที่จะส่งกองกำลังไปเสริมการป้องกันทางประตูเมืองทิศตะวันตกที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัยที่สุดจนสุดท้ายแล้วเด็กนักเรียนของเขาก็คงจะต้องออกไปสู้ด้วยตัวเองถ้าหากว่าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ อย่างแน่นอน

 

“ประธานนักเรียน…เธอมีความเห็นว่ายังไงบ้าง…?”

 

“ดิฉันคิดว่าต่อให้พวกเราประกาศออกไปตามตรงว่างานนี้มีความเสี่ยงขนาดไหนก็น่าจะมีนักเรียนบางส่วนยอมให้ความร่วมมืออยู่ดีนั่นแหล่ะค่ะ แต่ว่าก็คงจะไม่ได้จำนวนเยอะสักเท่าไหร่เพราะว่าส่วนมากแล้วเด็กนักเรียนของเราก็เป็นเด็กธรรมดาๆ ที่ไม่ได้อยากจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงอันตรายน่ะค่ะ”

 

ไดเอน่าที่ได้ยินคำถามของท่านผู้อำนวยการได้ก้าวเท้าออกมาเบื้องหน้าเล็กน้อยด้วยมาดประธานนักเรียนผู้แสนเคร่งขรึมก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาต่อให้เหล่าขุนนางทั้งสี่คนจากวังหลวงรีมินัสฟัง

 

“แล้วอีกอย่างหนึ่งก็ ถึงทางโรงเรียนรีมินัสของเราจะมีการสอนวิชาการต่อสู้ทั้งแขนงใหม่ทั้งแขนงเก่าเป็นวิชาภาคบังคับอยู่บ้างก็จริง แต่ว่าทางโรงเรียนของเราก็ไม่ได้เน้นเรื่องหลักสูตรการต่อสู้มากมายอะไรขนาดนั้น ดิฉันก็เลยค่อนข้างจะเป็นกังวลว่าเด็กนักเรียนของโรงเรียนเราจะเหมาะสมที่จะขึ้นไปยืนตรวจตราเฝ้าระวังทางด้านบนของกำแพงเมืองหรือเปล่าน่ะค่ะ”

 

คำพูดของไดเอน่านั้นไม่ได้ส่อไปในทางตอบรับหรือว่าปฏิเสธออกมาอย่างชัดแจ้งอีกทั้งยังมีช่องให้ฝ่ายใดหนึ่งใช้โอกาสนี้ในการพูดห้ามขึ้นมาอีกด้วย เนื่องจากว่าท่านผู้อำนวยการที่เป็นเจ้าของโรงเรียยังไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด อีกทั้งเวลอฟที่เป็นเสนาธิการผู้มีอำนาจสูงสุดในกองกำลังทหารประจำเมืองเองก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีตอบรับหรือว่าคัดค้านอะไรกับแผนการของเอริกะออกมา

 

ซึ่งท่าทีเป็นกลางของไดเอน่าและท่าทางลังเลของท่านผู้อำนวยการนั้นก็ได้ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะพูดดันหลังของท่านผู้อำนวยการขึ้นมาเล็กน้อย

 

“ก็เพราะแบบนั้นฉันถึงได้ส่งอาจารย์อลิซเขาเข้ามาสอนวิชาพิเศษให้ในปีการศึกษานี้ยังไงล่ะคะ”

 

ปึ้ง!!

 

ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดของเอริกะ ประตูห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการก็ได้ถูกถีบจนกระแทกเปิดออกอย่างแรงด้วยฝ่าเท้าเล็กๆ ของอลิซที่สวมใส่ยูนิตเชสเชียร์เต็มรูปแบบ ซึ่งหน้าตาของยูนิตเซสเซียร์ที่อลิซสวมใส่มาครั้งนี้นั้นก็แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยเนื่องจากว่าส่วนของแขนกลติดปืนกลเบาสองกระบอกบนไหล่ของเธอได้เปลี่ยนไปเป็นคีบหนีบทั้งสองข้างโดยไร้ซึ่งวี่แววของปืนกลเบาที่เคยติดอยู่บนนั้นเลยแม้แต่น้อย

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้อลิซต้องเตะประตูให้เปิดออกนั้นก็เป็นเพราะว่าแขนทั้งสองข้างของเธอจำเป็นต้องโอบอุ้มกล่องไม้กล่องใหญ่เอาไว้ อีกทั้งตัวเธอเองก็ยังไม่สามารถใช้ตัวคีบหนีบบนไหล่ยกเจ้ากล่องที่ว่านี่ได้อีกด้วยเพราะว่าตัวคีมหนีบทั้งสองอันมันไม่สามารถง้างออกได้กว้างมากพอที่จะจับตัวกล่องไม้เอาไว้

 

ปึ้ง!!

 

และด้วยความที่สิ่งของที่ถูกบรรจุเอาไว้ในกล่องมีน้ำหนักไม่ใช่น้อยนั้นมันก็เลยทำให้อลิซได้ตัดสินใจที่โยนมันลงไปกระแทกที่โต๊ะรับแขกที่ตั้งอยู่ระหว่างเอริกะกับเหล่าขุนนางอย่างรุนแรงด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับแล้วจึงค่อยเดินไปยืนกอดอกอยู่ด้านหลังเอริกะด้วยความหงุดหงิด

 

“…นั่นมันยูนิตที่เป็นอาวุธในสมัยโบราณไม่ใช่หรอครับคุณแซนดร้า? ถ้าผมจำไม่ผิดพวกเราเองก็มีของแบบนั้นเก็บเอาไว้ในคลังอาวุธอยู่ด้วยเหมือนกันนี่ครับ”

 

“ค—ค่ะ ถึงฉันจะได้ยินข่าวลือมาว่ามีบางเมืองเริ่มนำมันมาพัฒนาต่อแล้วก็เถอะ แต่ว่าที่รีมินัสของเราไม่เคยมีคำสั่งอะไรแบบนั้น ยูนิตที่พวกเรามีก็เลยเสื่อมสภาพไปตามเวลาจนแทบจะใช้งานไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”

 

เสียงพูดคุยเวลอฟและแซนดร้าที่ดังขึ้นมาให้อลิซได้ยินนั้นได้ทำให้เด็กสาวผมสีขาวหันไปจ้องมองทั้งสองคนด้วยความหงุดหงิดที่พวกเขาทำตัวราวกับว่าเธอเป็นเพียงแค่หุ่นแสดงสินค้า และนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นต้องรีบยื่นมือเข้าไปหยิบสิ่งของภายในกล่องที่อลิซขนมาด้วยออกมาเพื่อเริ่มต้นเกลี้ยกล่อมท่านผู้อำนวยการในทันที

 

“ของในกล่องนี่คือยูนิตเสริมสมรรถนะทางร่างกายแบบเดียวกับที่อาจารย์อลิซใส่อยู่ค่ะ แต่ว่าที่แขนกลทั้งสองข้างนี่ฉันได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นอุปกรณ์ฉายม่านพลังวิซแบบง่ายๆ สำหรับใช้ในการป้องกันแทน พวกเด็กๆ จะได้มีอะไรช่วยป้องกันตัวเพิ่มสักหน่อย”

 

ถึงแม้ว่ายูนิตส่วนบนที่เอริกะหยิบออกมาให้ทุกคนดูนั้นจะมีลักษณะคล้ายๆ กับแขนกลของยูนิตเชสเชียร์อยู่บ้าง แต่ว่าที่ตรงปลายของมันก็กลับไม่ใช่ปืนกลเบา คีบหนีบ หรือว่าอุปกรณ์บันทึกภาพ แต่ว่ากลับเป็นแผ่นโลหะติดคริสตัลวิซสีแดงที่มีหน้าตาคล้ายกับโล่อันเล็กๆ ซะมากกว่า

 

“แล้วของเล่นชิ้นใหม่อันนี้มันทำอะไรได้บ้างล่ะคะคุณเอริกะ?”

 

“ก็ตามชื่อของมันเลยนั่นแหล่ะจ้ะไดเอน่าจัง อ่ะนี่ อาจารย์เอริซาเบธลองใช้งานมันให้ท่านๆ ทั้งหลายดูหน่อยสิ”

 

“เอ๋? ฉันหรอคะ!? ก็ได้ค่ะๆ”

 

เอริซาเบธที่อยู่ๆ ก็ถูกโยนงานให้อีกอย่างหนึ่งได้แต่พยักหน้าตอบเอริกะกลับพร้อมกับส่ายหางฟูๆ ของเธอไปมาไปด้วยโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากอุปกรณ์ฉายภาพที่เอริกะสั่งให้เธอเฝ้าดูเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

 

พรี๊ด

 

เสียงประหลาดๆ ที่ดังขึ้นมาในจังหวะที่ตัวอุปกรณ์ของเอริกะฉายม่านพลังสีแดงแผ่นบางๆ ที่แผ่ความร้อนออกมาเล็กน้อยนั้นถึงกับทำให้แซนดร้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยของเมืองเบิ่งตากว้างด้วยความตกตะลึง แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกมาอลิซที่ยืนกอดอกอยู่อย่างเงียบๆ มาได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้ฉวยโอกาสนี้พูดอธิบายขึ้นมาก่อน

 

“จากที่ฉันได้ทำการทดสอบพวกเด็กนักเรียนมาเกือบสามสัปดาห์นี่ฉันสามารถบอกได้เลยว่าสิ่งที่นักเรียนของที่นี่ขาดอยู่ก็คือเรื่องของความสามารถในการป้องกันตัวเอง เพราะถึงพวกนักเรียนส่วนมากจะสามารถใช้อาวุธของตัวเองปัดป้องกระสุนวิซได้ก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าพวกเขาเจออะไรที่ร้ายแรงกว่ากระสุนวิซเข้าไปก็คงจะจอดไม่ต้องแจว แล้วอีกปัญหานึงที่พบเจอได้บ่อยๆ ก็คือความสามารถในการเคลื่อนไหวที่ยังไม่รวดเร็วพอ… แต่ก็โชคดีล่ะนะที่ปัญหาทั้งสองอย่างนั่นมันสามารถใช้อุปกรณ์ของเอริกะแก้ขัดไปก่อนได้ ไม่เหมือนปัญหาของพวกทหารในกองทัพที่ไม่รู้ว่าลืมสมองไว้ที่ไหนถึงได้ใช้เป็นแต่อาวุธกับวิชาชนิดเดียวกันเหมือนๆ กันอย่างกับโดนล้างสมองมานั่นน่ะ”

 

“แหม่~ เธอก็พูดตรงเกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้งอาจารย์อลิซ ดูสิ คุณเสนาธิการเขาจะร้องไห้แล้วนะ~”

 

“ฮึ่ย—!!”

 

เอริกะที่ได้ยินอลิซพูดจาพาดพิงไปถึงเหล่าทหารในกองทัพที่เป็นคนของเสนาธิการเวรอฟได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แกล้งทำเป็นยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบกับอลิซ แต่ว่าด้วยความที่เธอไม่ได้เบาเสียงลงเลยแม้แต่น้อยนั้นมันก็เลยทำให้เวรอฟได้แต่กัดฟันแน่นโดยที่ไม่สามารถเถียงกลับไปได้ เนื่องจากสิ่งที่อาจารย์เด็กตัวเล็กผมสีขาวคนนี้พูดเองก็เป็นเรื่องจริงที่ลูกของเขาที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนี้เคยมาพูดให้ฟังอยู่เหมือนกัน

 

และเมื่อเอริกะได้พูดจาหยอกล้อกวนประสาทคนจนสมใจเธอแล้วเธอก็ยื่นมือไปคว้าเอายูนิตกลับมาจากเอริซาเบธแล้วจึงวางมันลงไปบนโต๊ะเบื้องหน้าท่านผู้อำนวยการและหันไปคว้าเอาตลับโลหะออกมาจากด้านในกล่องออกมาให้ทุกคนดู

 

“ส่วนเจ้านี่ก็คือคริสตัลธาตุต่างๆ สำหรับเปลี่ยนให้ผู้ใช้งานแต่ละคนค่ะ ตอนนี้มันยังมีจำนวนไม่เยอะสักเท่าไหร่เพราะว่าฉันจำเป็นต้องเป็นคนจัดการปรับแต่งมันให้เข้ากับตัวอุปกรณ์ด้วยตัวเอง เพราะงั้นก็คงจะต้องเป็นหน้าที่ของไดเอน่าจังแล้วล่ะว่าจะจัดสรรยูนิตพวกนี้ให้ใครใช้บ้างน่ะ”

 

“ถ้าเกิดพวกนักเรียนรู้ว่าจะได้มีโอกาสทดลองใช้งานยูนิตก่อนคนอื่นขึ้นมามันก็อาจจะมีไม่พอใช้จริงๆ นั่นแหล่ะค่ะ แต่เอาเป็นว่าเรื่องนี้ไว้ใจฉันได้เลยค่ะ”

 

ไดเอน่าที่มีท่าทีลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยเพราะว่าเธอพยายามรักษามาดประธานนักเรียนมาเป็นเวลานานได้พยักหน้าตอบเอริกะกลับไปด้วยท่าทางเคร่งขรึม ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะแอบหลุดรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปพูดอธิบายถึงสิ่งที่ยูนิตของเธอทำได้ต่อไป

 

“ส่วนเรื่องการควบคุมพาร์ทและยูนิตพวกนี้ท่านผู้อำนวยการก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพราะว่าฉันออกแบบมันออกมาให้ใช้งานได้ง่ายๆ เหมือนกับการเปิดไฟบ้านนั่นแหล่ะค่ะ แล้วก็ถึงแม้ว่าม่านพลังวิซแต่ละธาตุจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ว่าโดยรวมแล้วมันก็จะทำหน้าที่ช่วยปกป้องพวกเด็กนักเรียนได้อย่างแน่นอนค่ะ ท่านผู้อำนวยการคิดว่ายังไงบ้างล่ะคะ~?”

 

“ฉันกำลังคิดว่า… ถ้าฉันจำไม่ผิดก่อนหน้านี้เธอเคยบอกฉันเอาไว้ว่ามันจะเป็นยูนิตที่ปรับแต่งเฉพาะให้กับเด็กนักเรียนแต่ละคนไม่ใช่หรือไง…?”

 

“ยูนิตพวกนี้มันสำหรับเหตุฉุกเฉินเหมือนกับสถานการณ์ในตอนนี้ต่างหากล่ะคะ!! แล้วไอ้เรื่องยูนิตเฉพาะของแต่ละคนที่ท่านผู้อำนวยการพูดมานี่ท่านรู้หรือเปล่าล่ะคะว่าปกติแล้วยูนิตอันนึงมันจะต้องใช้เวลาออกแบบกันนานตั้งขนาดไหนน่ะ!? แล้วก็เพราะว่าฉันรู้แบบนั้นฉันก็เลยออกแบบยูนิตพื้นฐานที่ใช้งานง่ายๆ ออกมาให้พวกเด็กนักเรียนที่ยังไม่ได้รับการประเมินใช้งานกันก่อนนี่ไงล่ะคะ!”

 

“ฮึ่ม…”

 

ท่านผู้อำนวยการที่ได้ยินคำพูดแก้ตัวของเอริกะได้พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยเหมือนกับว่าเขากำลังหงุดหงิดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศกดดันที่เขาแผ่ออกมาจากด้านในชุดเกราะเองก็ผ่อนคลายลงไปมากจนทำให้อลิซที่เห็นแบบนั้นได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยเช่นกัน

 

“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ไม่ใช่ว่าเธอเองก็สร้างออกมาเสร็จตั้งเครื่องนึงแล้วไม่ใช่หรื—อุ๊บ—”

 

“จุ๊ๆ ถึงอุปกรณ์ของฉันมันจะดูดีมีชาติตระกูลมากกว่าอุปกรณ์ที่ทางวังหลวงสร้างขึ้นมาสักแค่ไหนก็เถอะ แต่ถ้าฉันบอกว่ามันยังไม่เสร็จมันก็คือยังไม่เสร็จสิจ๊ะ~”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของอลิซได้รีบพุ่งมือไปอุดปากของอลิซเอาไว้พร้อมกับพูดตักเตือนออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นๆ แต่ว่าทันใดนั้นเองตัวแทนของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานที่นั่งอยู่อย่างเงียบๆ มาตั้งแต่ต้นก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

“ก็ที่วิทยาการของทางเมืองเดินหน้าไปได้ล่าช้าแบบนี้มันก็เป็นเพราะว่าคุณเอริกะจงใจไม่ยอมแบ่งปันอุปกรณ์ส่วนมากมาให้ทางเมืองทำการทดสอบเองไม่ใช่หรือไงกันครับ!! ถ้าเกิดว่าคุณเอริกะมีน้ำใจบ้างสักหน่อยล่ะก็เมืองรีมินัสของพวกเราก็คงจะเจริญก้าวหน้าไปมากกว่านี้ตั้งหลายเท่าแล้วแท้ๆ !!”

 

“หืม~~?”

 

คำพูดของขุนนางหนุ่มผมสีเทายาวประบ่าที่มีนัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นถึงกับทำให้รอยยิ้มเย็นๆ ที่เอริกะแกล้งทำใส่อลิซนั้นเย็นเฉียบขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก่อนที่แซนดร้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยและดั๊ดเลสที่เป็นตัวแทนของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมจะขยับตัวถอยห่างจากขุนนางหนุ่มคนสุดท้ายไปเล็กน้อยในขณะที่คนอื่นๆ ที่เหลือในห้องก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจ

 

“ให้ตายสิ…”

 

“เอาแล้วไง…”

 

“แหม่ๆ นั่นสินะคะ สาเหตุที่ทางเมืองพัฒนาไปได้ล่าช้าแบบนี้เนี่ยมันเป็นเพราะว่าฉันไม่มีน้ำใจเองนี่เนอะ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับระบบการทำงานของทางวังหลวงที่มันล่าช้าห่วยแตกเลยแม้แต่สักนิ๊ดดดดดเดียวเลยนี่เนอะ~ ว่าแต่นี่คุณเป็นใครกันคะเนี่ย หน้าตาไม่คุ้นเลยแบบนี้นี่คงจะเป็นขุนนางหน้าใหม่สักคนที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งผู้ช่วยมาหรือว่าอะไรทำนองนั้นงั้นสินะ~?”

 

“ผม เรจจิ โฮหวาด เป็นตัวแทนของท่านรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานครับ ถ้าในเมื่อคุณเอริกะเข้าใจ—”

 

“ฮึ๊ม~ มาจากกระทรวงพลังงานเองงั้นหรอคะ~ งั้นก็พอดีเลย ที่จริงแล้วหลังจากนี้ฉันเองก็มีธุระจะต้องเข้าไปที่กระทรวงพลังงานอยู่พอดีเลยล่ะค่ะ แต่ว่าในเมื่อเขาส่งตัวแทนมาให้ถึงที่แบบนี้แล้วงั้นเอริก็ช่วยเอาของในกระเป๋าของฉันออกมาให้หน่อยสิ~”

 

“ค—ค่ะ…”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินเอริกะพูดสั่งงานมาได้พยักหน้ากลับไปอย่างลนลานก่อนที่เธอจะรีบก้มลงไปหยิบเอากระเป๋าโลหะสีเงินหน้าตาทนทานของเอริกะออกมาเปิดเพื่อนำเอาแท่งตลับโลหะสีดำออกมาส่งให้กับเอริกะ

 

“น—นั่นมัน—”

 

ในทันทีที่เรจจิได้เห็นสิ่งที่เอริซาเบธนำออกมาจากกระเป๋านั้นสีหน้าโกรธเคืองของเขาเมื่อสักครู่นี้ก็เปลี่ยนไปเป็นตื่นตกใจแทน เพราะว่าเขาที่มาจากกระทรวงพลังงานนั้นสามารถบ่งบอกได้ทันทีว่าตลับสีดำในมือของเอริกะมันมีคุณค่ามากขนาดไหน

 

“เอาล่ะคุณตัวแทน~ ถ้าเกิดว่าคุณมาจากกระทรวงพลังงานล่ะก็คุณก็น่าจะรู้ว่าเจ้าตลับสีดำนี่มันคืออะไรใช่มั้ยเอ่ย~?”

 

“นั่นมันตัวเก็บพลังงานวิซแบบย่อขนาด หรือที่มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่าแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ที่เป็นหนึ่งในของที่อยู่ในแบบแปลนที่โดนระเบิดไปในเหตุก่อการร้ายของบารอนเวก้า รีวิซไม่ใช่หรอครับ!?”

 

“ปิ๊งป่อง~ ถูกต้องนะจ๊ะ มันก็คือแบตเตอรี่พลังงานวิซฉบับพกพาที่ฉันเคยเขียนแบบแปลนส่งไปให้ทางวังหลวงสักชาติเศษๆ ได้แล้วแต่ก็ไม่มีใครหน้าไหนเอามันไปผลิตขึ้นมาทดลองใช้ดูสักทีนึงยังไงล่ะ~ ลองนึกดูสิว่าถ้าเกิดของชิ้นนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปให้ทุกคนได้ใช้งานมันจะเกิดประโยชน์กับเมืองนี้มากมายขนาดไหนน่ะ เพราะว่านอกจากจะมีแหล่งพลังงานวิซสำรองมากกว่าปริมาณวิซที่สามารถใช้ได้ตามปกติแล้วมันก็ยังสามารถทำให้คนคนหนึ่งมีโอกาสใช้งานอุปกรณ์วิซที่ไม่ใช่ของธาตุตัวเองได้อีกด้วยนะ~”

 

“เรื่องนั้น—”

 

“แล้วนี่ก็ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าถ้าเกิดพวกคุณมีหัวคิดสักหน่อยแล้วก็เอามันไปดัดแปลงติดเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ มันก็อาจจะทำให้พวกคุณสามารถใช้อุปกรณ์นั้นๆ ได้โดยที่ไม่ต้องเสียกำลังคนมาคอยนั่งประจำการเพื่อส่งวิซกระตุ้นให้มันทำงานอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วยนะ”

 

“นั่นมั—”

 

“แล้วรู้หรือเปล่าล่ะคะว่าในขณะที่พวกคุณนั่งกระดิกเท้ากินเงินภาษีของประชาชนโดยที่ไม่ได้คิดจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาแม้แต่สักนิดเดียวน่ะ ฉันคนนี้ต้องยุ่งหัวปั่นแค่ไหนกับการซ่อมแซมแล้วก็ดัดแปลงสิ่งประดิษฐ์กองเท่าภูเขาที่พวกคุณจับมันโยนลงไปในห้องเก็บอุปกรณ์ของฉันแบบมั่วๆ ซั่วๆ แล้วก็ปล่อยปละละเลยจนมีใครหน้าไหนก็ไม่รู้แอบลอบเข้ามาวางระเบิดมันได้ง่ายๆ น่ะหะ?”

 

คำพูดของเอริกะนั้นทำให้เรจจิได้แต่หุบปากเงียบลงไป เพราะเรื่องที่ว่ามีสิ่งประดิษฐ์จำนวนมากของเอริกะถูกทำลายลงไปในเหตุระเบิดนั้นมันก็เป็นเรื่องจริง และถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามีสิ่งประดิษฐ์จำนวนเท่าไหร่ที่เสียหายไป แต่ว่ามันก็มีข่าวลือกันในหมู่ขุนนางว่าทางวังหลวงแทบจะจำเป็นต้องใช้งานข้ารับใช้เกือบทุกคนในวังเพื่อช่วยกันขนย้ายสิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดออกมาจากห้องเก็บผลงานที่ว่านั่น

 

“แล้วก็ถึงฉันจะรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนใจบุญหรือว่าคนดีเลิศประเสริฐศรีมาจากที่ไหน แต่ว่าการที่ฉันต้องมานั่งเขียนแบบแปลนที่พวกคุณควรจะสร้างเสร็จแล้วก็เอามันไปเผยแพร่ให้ทุกคนใช้ตั้งนานแล้วใหม่ตั้งแต่ต้นแถมยังต้องมานั่งทดสอบมันด้วยตัวคนเดียวทั้งๆ ที่พวกคุณมีทั้งเวลาว่าง ทั้งงบประมาณ แล้วก็ทั้งกำลังคนเนี่ยมันก็ทำเอาฉันอยากจะทำตัวเป็นคนไร้น้ำใจอย่างที่คุณพูดออกมาสักครั้งดูเหมือนกันนะคะ~”

 

“ด—เดี๋ย—”

 

ถึงแม้ว่าทางด้านเรจจิจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขาเผลอพูดจาอะไรที่ไม่สมควรออกไป แต่ว่าทางด้านเอริกะก็กลับไม่คิดที่จะสนใจท่าทางของเขาเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับปล่อยมือออกจากแบตเตอรี่ขนาดเล็กของเธอจนมันร่วงหล่นลงสู่พื้นและยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเพื่อเตรียมที่จะกระทืบมันให้แตกกระจายไม่เหลือชิ้นเดิม

 

“นี่คุณเรจจิพอจะรู้หรือเปล่าล่ะคะว่าที่จริงแล้วคนไร้น้ำใจเขาทำตัวยังไงกันน่ะ~”

 

“ได้โปรดหยุดเถอะครับบบบ”