บทที่ 53 สหาย เจ้าคงไม่คิดจะทำอะไรข้าใช่หรือไม่

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 53 สหาย เจ้าคงไม่คิดจะทำอะไรข้าใช่หรือไม่?

“กินยาอายุวัฒนะนี้แล้วฝึกฝนต่อเป็นเวลาสองเดือน จะทำให้บาดแผลสมานเร็วขึ้น”

ไป๋ชิวหรานวางขวดยาไว้ด้านหน้าผู้อาวุโสขั้นขอบเขตแกนทองคำ

“ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับยาชั้นยอด”

ผู้อาวุโสขั้นขอบเขตแกนทองคำโค้งคำนับอย่างสุภาพ

“เช่นนั้น ขะ… ข้าจะ…”

ไป๋ชิวหรานกำลังจะจากไป แต่เหลือบไปเห็นท่าทีแปลกประหลาดบนใบหน้าศิษย์สำนักไป่เยว่ที่อยู่รอบ ๆ

“อะไร? พวกเจ้ามีบางอย่างจะพูดหรือ?”

“โอ้ ไม่มี… ไม่มี”

ผู้อาวุโสขั้นขอบเขตแกนทองคำรีบสะบัดมือตอบกลับ

“พวกเขาแค่บาดเจ็บเท่านั้น… แค่บาดเจ็บ”

หลังจากพูดคำนี้จบ รู้สึกราวกับจงใจกล่าวหาไป๋ชิวหรานที่ทุบตีพวกเขา ผู้อาวุโสขั้นขอบเขตแกนทองคำระอาจนอยากตีตัวเองเสีย

ถึงแม้สำนักกระบี่ชิงหมิงจะเป็นยักษ์ใหญ่ฝ่ายธรรมะ แต่ในขอบเขตของโลกผู้ฝึกตน การอาศัยแค่คำว่า ‘ยุติธรรม’ ยังไม่เพียงพอ

“อันที่จริงข้าทราบว่าพวกเจ้าต้องการจะพูดสิ่งใด”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยขึ้นพร้อมนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น

“คงคิดว่าแค่คนโชคดีที่มาจากสำนักกระบี่ชิงหมิง ได้รับการฝึกฝนจนเป็นอมตะ ข้าไม่ได้ทำงานเช่นมนุษย์จึงไม่เข้าใจความลำบากในสำนักเล็ก ๆ ของพวกเจ้า”

เขามองไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตท่าทีของเหล่าบรรดาศิษย์สำนักไป่เยว่พลางเยาะเย้ย

“งี่เง่า!”

ในเวลานี้บรรดาศิษย์สำนักไป่เยว่แสดงใบหน้าโกรธขึ้งขึ้นมา แต่ไม่กล้าพูดโต้ออกไป ไป๋ชิวหรานหาได้สนใจไม่ พร้อมกล่าวต่อ

“นี่… จะบอกความจริงให้ฟัง ข้าเป็นศิษย์โดยตรงของยอดฝีมือแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิง ปีนี้ก็อายุมากกว่าสามพันปีแล้ว ทว่าในช่วงสองปีนับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักกระบี่ชิงหมิง อาจารย์ข้าก็บ่มเพาะพลังอยู่ที่นั่น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ยอมรับว่าช่วงนั้นมีชีวิตที่ดีกว่าพวกเจ้าเยอะ เป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเข้าสู่หายนะ หลังจากก่อตั้งสำนักกระบี่ชิงหมิงได้หนึ่งร้อยปี อาจารย์ข้าได้บรรลุเป็นเซียนก่อนจะจากไป ทิ้งไว้เพียงทักษะวิชาที่วิจิตรงดงาม ทรัพยากรนับไม่ถ้วน ภูเขาชิงหมิงอันกว้างใหญ่ และลูกศิษย์ที่ไร้ความสามารถ”

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ดูเหมือนไป๋ชิวหรานจะกลับสู่ห้วงอดีตอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ

“หลังจากอาจารย์เข้าสู่โลกเซียน ศิษย์พี่ใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่เพียงระดับกลางของขั้นปฐมวิญญาณ ส่วนข้า… หากสู้กับใครสักคนคงฆ่าได้เพียงผู้ที่อยู่ขั้นปฐมวิญญาณระดับแรกเท่านั้น แต่ศิษย์ที่พลังต่ำที่สุดกลับเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ในเวลานั้นคนทั่วไปต้องรับกรรมจากภัยนี้เพียงใด พวกเจ้าคิดว่าสถานการณ์ของตัวเองตอนนี้ดีกว่าข้างั้นหรือ?”

หลังจากพูดสิ่งนี้ ไป๋ชิวหรานก็เห็นว่าสีหน้าไม่พอใจของศิษย์รอบด้านค่อย ๆ หายไป

“การทรยศของสหายผู้ฝึกตน การต่อสู้กันทั้งภายในและภายนอก หลังจากอาจารย์เข้าสู่โลกเซียน บรรดาผู้ที่เคยถูกเขาผนึกไว้ต่างพากันกลับมาระบายความโกรธลงกับสำนัก ในช่วงที่ยากลำบากที่สุดของสำนักกระบี่ชิงหมิง มีศิษย์เหลืออยู่ไม่ถึงสามสิบคน อีกทั้งยังถูกบังคับให้สละดินแดนของบรรพชนเพื่อแคว้นทั้งหลาย ในช่วงนั้นเกือบจะโดนกวาดล้างสำนัก”

ไป๋ชิวหรานยืนขึ้นมองไปยังศิษย์สำนักไป่เยว่

“ในสถานการณ์เช่นนั้นพวกเรายังสามารถยืนหยัดกลับมาได้ ดังนั้นข้าในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อนจะขอกล่าวบางอย่าง ทำไมพวกเจ้าจะพัฒนาขึ้นไปอีกไม่ได้?”

“แต่นี่เป็นปัญหาของเรา ไม่ใช่ของท่าน…”

ในกลุ่มศิษย์สำนักไป่เยว่ บางคนเอ่ยออกมา

“หุบปาก!”

ผู้อาวุโสขั้นแกนทองคำตะคอกกลับ

“ใครพูด? ลุกขึ้นมา!”

ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามปราม แล้วเบนสายตามองไปยังชายหนุ่มที่พูดเมื่อครู่

“คิดว่าเป็นข้างั้นหรือที่ทำลายสำนักไป่เยว่? อยากจะบอกว่า… หากไม่ใช่เพราะข้า เช่นนั้นคนในสำนักทั้งหมดคงตายไปพร้อมสำนักแล้ว”

เขามองไปที่ชายหนุ่มพร้อมกล่าว

“ศิษย์สามคนในสำนักของเจ้าถูกศิษย์ข้าสังหารเพราะพวกเขาชิงลงมือ นางเตือนก่อนจะลงมือแล้วว่าข้าสอนแค่วิชาขั้นสุดท้าย… คิดว่าจะยืนอยู่เฉย ๆ ยื่นคอให้ตัดงั้นหรือ? เจ้าสำนัก ผู้อาวุโส หรือศิษย์กว่าครึ่งของสำนักเจ้าก็ถูกปีศาจกลืนกิน แต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะต้องการปีศาจจิ้งจอกเพื่อชื่อเสียง หรือนำไปกลั่นยาเพื่อควบคุมอาณาจักร ในการวิเคราะห์ครั้งสุดท้าย สิ่งแปลกประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับสำนักของพวกเจ้าก็เป็นแผนโง่ ๆ ของเจ้าสำนักคนนี้ทั้งสิ้น”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาศิษย์จึงทำได้เพียงก้มศีรษะเงียบ ไป๋ชิวหรานส่ายหัวก่อนจะหันไปพูดกับผู้อาวุโสขั้นขอบเขตแกนทองคำ

“จากนี้จงควบคุมดูแลสำนักให้ดี ตอนนี้ยังไม่คู่ควรที่จะเข้าร่วมห้าพันธมิตรกับสำนักฝึกตนสายธรรม แต่หลังจากผ่านไปหลายร้อยปีโดยที่เจ้าพยายามอย่างหนัก เช่นนั้นข้าจะแนะนำให้เอง… หากเจ้าเป็นผู้ฝึกตน เช่นนั้นจงบ่มเพาะพลังให้ถูกทาง ให้ความสนใจกับการบ่มเพาะพลัง หากมีพลังไม่เพียงพอ เช่นนั้นอย่าคิดที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องของอาณาจักร”

“ข้าน้อยจะจดจำคำสั่งสอน”

ผู้อาวุโสขั้นขอบเขตแกนทองคำก้มศีรษะอย่างนอบน้อม

“ฮึ่ม แค่นี้แหละ ที่เหลือเจ้าจัดการต่อเอง”

ไป๋ชิวหรานสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

ไป๋ชิวหรานรีบกลับมายังแดนเริงรมย์ที่อยู่ใกล้กับภูเขาติ่งเจียงเพื่อรับลูกศิษย์กับหนึ่งในทหารกองทัพเทพยุทธ์อีกคน

ในเวลาเดียวกัน ซูเซียงเสวี่ยช่วยจั่วเหยียนเฟยเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดเกราะของจั่วเหยียนเฟยถูกศิษย์สำนักไป่เยว่ทำลายไม่เหลือชิ้นดีในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่เสื้อผ้าของศิษย์สำนักเหอฮวนนั้นเปิดเผยเกินไปสำหรับหญิงที่เรียบง่ายอย่างนาง ซูเซียงเสวี่ยจึงหาเสื้อผ้าที่พอดีกับตัวมาให้

สตรีทั้งสองที่มีหน้าอกหน้าใจกลมกลึง ไหนจะสะโพกพายอันน่าภาคภูมิใจได้ย่างกายเข้าไปในห้อง ขณะเดียวกันถังรั่วเวยที่สวมหน้าอกปลอมจึงทำได้เพียงแอบมองทั้งสองสนทนากันอย่างโหยหา

“หากถ่ายรูปโดยใช้หินวิญญาณถ่ายภาพ เจ้าอาจจะได้รับรางวัลการแข่งขันประกวดรูปผู้ฝึกตนที่สำนักหยกเซียงเฉิงจัดขึ้นแน่นอน”

ทันใดนั้นไป๋ชิวหรานก็เดินออกมาจากด้านข้างแล้วมาอยู่ข้าง ๆ นางพร้อมกล่าว

“ข้าจะตั้งชื่อรูปว่า ‘ความปรารถนา’ น่ะ เป็นเช่นไร”

“อาจารย์…”

ถังรั่วเวยไม่สนใจคำหยอกล้อก่อนจะเอ่ยถามน้ำเสียงหดหู่

“เหตุใดโลกนี้ทำไมถึงไม่ยุติธรรม? ทำไมคนเราต้องเกิดมาแตกต่างกัน?”

“ที่จริงข้าคิดว่ามันสมเหตุสมผลที่เจ้าสำนักซูกับสาวน้อยจั่วเหยียนเฟยอยู่ในสภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เช่นนี้”

ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว

“ดูสิ พวกนางมีรากฐานวิญญาณแห่งวารีและมังกร ทั้งสองล้วนอยู่ในธาตุน้ำ การไหลของสายน้ำสามารถบรรจบกันจนเป็นแม่น้ำ และแม่น้ำหลายร้อยสายที่มาบรรจบกันก็ได้กลายเป็นทะเลอันกว้างใหญ่”

“ข้าที่มีรากฐานวิญญาณธาตุดินแย่กว่าพวกนางตรงไหน ฮึ?”

ถังรั่วเวยถามด้วยความไม่พอใจ

“ไม่หรอก โลกแบกรับทุกสิ่งไว้ มันจึงแบนราบไม่ได้กลมอย่างที่คิดเสียหน่อย”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“อย่างที่ว่ากันว่าการข้ามผ่านกำแพงแห่งความปรารถนานั้น… ศิษย์ชั่ว! เจ้าเตะข้าทำไมฮะ?”

ทั้งสองทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นประตูก็เปิดออกปรากฏให้เห็นร่างซูเซียงเสวี่ยกับจั่วเหยียนเฟยที่สวมชุดสีขาวสง่าเดินออกมา

สตรีจากกองทัพเทพยุทธ์สวมกระโปรง รูปร่างงดงามชดช้อยเผยเสน่ห์อันน่าทึ่ง แต่ยังไม่ได้ปล่อยผมหางม้าทรงสูงลงมา จึงยิ่งขับให้ดูสวยและมีความกล้าหาญปนอยู่

ถังรั่วเวยส่งเสียงเบา ๆ ด้วยความริษยา ขณะเดียวกันไป๋ชิวหรานเหลือบสายตามองเล็กน้อย

“เป็นอย่างไรบ้าง? ดูเรียบร้อยดีหรือไม่?”

ซูเซียงเสวี่ยเดินมาหาไป๋ชิวหราน พลางเอ่ยถามเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของจั่วเหยียนเฟย

“นางเป็นสตรีที่งดงาม”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“ฮึ”

ซูเซียงเสวี่ยมองเขาก่อนจะเปลี่ยนคำถาม

“ธุระของท่านเสร็จแล้ว เช่นนั้นจะกลับสำนักกระบี่ชิงหมิงเลยสินะ?”

“ถูกต้อง”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้า

“ข้าจะพารั่วเวยตระเวนไปรอบ ๆ สักสองสามที่เผื่อจะเจอบางอย่างให้นางทำ แล้วค่อยกลับขึ้นภูเขา ข้าเองก็ยังไม่สามารถหาสิ่งที่จะช่วยบรรลุขั้นพลังได้ในครั้งนี้ ดูเหมือนโอกาสจะยังไม่มาถึงน่ะสิ”

“หากต้องการหาโอกาส เช่นนั้นไปยังถิ่นทุรกันดาร หรือแถบชายทะเลดูสิ”

ซูเซียงเสวี่ยนึกคิด

“อีกอย่างเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักอสูรสวรรค์เพิ่งบรรลุขั้นพลังได้สำเร็จ และจะกลับมาในไม่ช้านี้”

“อะไรนะ?”

ไป๋ชิวหรานถามด้วยความประหลาดใจ

“เขาไม่ได้โดนฟ้าผ่าตายไปแล้วหรือ?”

“โชคดีที่รอดมาได้ อีกทั้งเขาไม่ได้มีนิสัยเหมือนคนในสำนักอสูรทั่วไป”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าว

“เขาอาจจะกลายเป็นบุคคลระดับผู้อาวุโสคนแรกในรอบหนึ่งพันปีที่รวมสำนักอสูรทั้งหมดได้ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะรายงานท่านเอง”

“ตกลง ข้าต้องรบกวนเจ้าแล้ว ขอบคุณมาก”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้าด้วยความสุภาพ

“อีกอย่าง ข้ายังมีบางสิ่งจะให้ท่าน”

ซูเซียงเสวี่ยปรบมือ จากนั้นศิษย์สำนักเหอฮวนก็เดินเข้ามาในลานบ้าน นางสวมเสื้อผ้ามิดชิด ทว่ายังคงเสน่ห์อันแพรวพราว ในมือมีจานไม้พร้อมของบางอย่างอยู่

“พวกนี้คือ?”

“วัตถุดิบในการกลั่นยาอายุยืน ท่านคงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองมีชีวิตได้อีกไม่กี่ปี ข้าไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นยา จึงจัดหาวัตถุดิบมาให้กลับไปกลั่นเอง”

ซูเซียงเสวี่ยมองไปที่ไป๋ชิวหราน

“อย่าตายก่อนที่ข้าจะบรรลุละกัน เจ้าลาโง่เอ๊ย”

“ฮึ่มมมม”

ไป๋ชิวหรานรีบจับแขนตัวเอง

“เหตุใดจู่ ๆ ถึงรู้สึกว่าเจ้ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่… นี่สหาย คงไม่คิดจะทำอะไรข้าใช่หรือไม่?”