บทที่ 90 ผลการคัดเลือกพระชายา

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวของคนคนนั้นก็ดังไปทั่วสำนัก “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว” ใบหน้าที่เจ็บปวดของเขาซีดเซียว และทั้งร่างกายของเขาก็หมดเรี่ยวแรง “วันนั้น เจ้าไม่ได้ตัวติดกับข้า คือ คือ…”

ชายคนนั้นมองไปรอบๆ และยังคงคิดว่าจะมีใครบางคนสามารถช่วยเขาได้

แต่เขาประเมินความร้ายกาจของเฮ่อเหลียนเวยเวยต่ำไป

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังประเมินการมีอยู่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่ำไปด้วย เพียงแค่องค์ชายสามชำเลืองมองพวกเขา ผู้คนที่ต้องการจะก้าวไปข้างหน้า ก็ได้แต่ถอยหลังกลับไปอย่างเชื่อฟัง

ชายคนนั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องหลับตาลงอย่างอึดอัด “ข้าเองที่เป็นคนพูดจาดูหมิ่นเจ้าก่อน ดังนั้น เจ้าจึงทุบตีข้า”

ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ฮือฮากันยกใหญ่

สายตาที่มองเฮ่อเหลียนเวยเวยแตกต่างไปจากเดิม

แม้แต่ดวงตาของมู่หรงฉางเฟิงก็ยังดูตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่รู้จริงๆ ว่าวันนั้นจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

หัวใจของเขาอ่อนโยนลงอย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้

นางต้องทนทุกข์ทรมานกับความขมขื่นเช่นนี้ เพราะเขาเองน่ะหรือ

เขาควรจะมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้กับอีกฝ่ายตามความต้องการของนางหรือไม่

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงฉางเฟิงก็อ้าปากและเรียกชื่อ “เวยเวย”

ทันใดนั้น เวยเวยก็ยิ้มออกมา และพูดขัดจังหวะเขาอย่างเย็นชา “ซื่อจื่อ ข้าไม่ได้เขียนจดหมายที่อยู่ในมือของท่าน ทีหลัง ก่อนที่จะพูดอะไรต่อหน้าคนอื่น ก็ดูให้แน่ใจก่อนว่าใครคือคนที่ท่านกำลังมองหา หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ก็หลีกทางไป การที่ท่านยืนอยู่ตรงนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกไม่อยากอาหารเลยจริงๆ”

พอนางเห็นใบหน้าของไอ้เศษสวะคนนี้ นางจะรู้สึกคลื่นไส้ทุกครั้งเลยจริงๆ

ขณะที่พูด นางก็ผลักคนที่อยู่ในมือออกไปด้านข้าง โดยไม่แม้แต่จะมองใบหน้าอันหล่อเหลาของมู่หรงฉางเฟิงเลยแม้แต่น้อย

“เฮ่อเหลียนเวยเวย ฝากไว้ก่อนเถอะ” ชายคนที่ถูกทรมานและหมดแรงคนนั้นถอยหลังกลับไปทีละก้าว ดูขบขันอย่างมาก

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่คิดว่าแผนการที่วางไว้อย่างรอบคอบของตนเองจะลงเอยเช่นนี้

นางเป็นคนที่ปลอมลายมือของเวยเวย แต่เพราะการทุบตีของนาง จดหมายฉบับนั้นก็ไร้ประโยชน์ไปเลย

หนำซ้ำ มันยังช่วยให้นังแพศยาคนนี้รอดตัวจากเรื่องเมื่อปีที่แล้วด้วย

ความพยายามที่ล้มเหลวเช่นนี้ช่างน่าหงุดหงิดใจจริงๆ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กัดฟันจนรู้สึกเจ็บ นางคิดว่าต่อให้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ใจของนางที่ชอบมู่หรงฉางเฟิงนั้นจะยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เพราะในอดีต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับมู่หรงฉางเฟิง นังแพศยานั่นก็จะอดทนอดกลั้นได้

แต่ตอนนี้…

หากไม่ใช่เพราะใบหน้าของนางยังเหมือนเดิม เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็คงจะสงสัยว่าเวยเวยคนนี้ถูกเปลี่ยนตัวเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน

“คุณหนูตระกูลเฮ่อเหลียนคนนี้ทำร้ายร่างกายคนอื่นได้โหดร้ายจริงๆ” ขันทีซุนลูบหน้าอกของตนเอง “ตอนที่ดูเหตุการณ์นั้น หัวใจของข้าน้อยก็สั่นสะท้านไปด้วยเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียง ‘อืม’ เบาๆ พลางมองร่างคนโหดร้ายที่อยู่ไม่ไกล ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มในดวงตาของเขา

ขันทีซุนกะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอ่อ เขาดูผิดไปหรือไม่ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าฝ่าบาทของเขาอารมณ์ดีกว่าเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน

“เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ!”

ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง มู่หรงฉางเฟิงดูราวกับว่าจะใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาเสียงของตนเองเจอ เขาสะบัดแขนเสื้อของตนเองอย่างฉุนเฉียว กรามล่างของเขาขบกันแน่น และดวงตาคู่นั้นก็ราวกับกำลังถูกกรีดแทง เขารู้สึกสูญเสียอย่างน่าแปลก

เขาไม่คิดเลยว่านางจะไม่ชอบเขาอีกต่อไปแล้วจริงๆ

เขามักจะคิดมาตลอดว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ พฤติกรรมของนางเป็นเพียงกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ และจะได้จับเขาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของนางในวันนี้ มู่หรงฉางเฟิงก็ตระหนักได้ว่านางเห็นเขาเป็นเพียงตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น

ในอดีตนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ดวงตาที่ดูหลงใหลคู่นั้น ก็จะติดตามเขาไปทั่วทุกที่ที่เขาไป

แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว นอกจากมู่หรงฉางเฟิงจะไม่ได้รู้สึกโล่งใจอย่างที่คิดไว้ แต่เขากลับรู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่กดทับที่หน้าอกของเขาทำให้หายใจไม่ออกอีกด้วย

คุณหนูจากตระกูลขุนนางบางคนที่ชื่นชอบมู่หรงฉางเฟิงนั้นไม่อาจยืนอยู่เฉยได้อีกต่อไป จึงพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ก็แค่นังผู้หญิงไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่านางเขียนจดหมายฉบับนั้นหรือไม่หรอก มู่หรงซื่อจื่อมาที่นี่เพียงเพราะว่าได้รับจดหมายนั่นก็เท่านั้น ซื่อจื่อไม่ได้สนใจนางด้วยซ้ำ แต่นางก็ยังหลงตัวเองราวกับเป็นคนสำคัญ ช่างเกินไปแล้วจริงๆ”

“ใครว่าไม่ใช่เล่า เจ้าดูท่าทางจองหองของนางในตอนนี้สิ ช่างเป็นตัวอย่างของคำว่า ‘นิสัยเสีย’ จริงๆ พวกเจ้าคอยดูเถอะ ไม่มีคุณชายคนใดมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้กับนางหรอก”

เวยเวยขี้เกียจตอบโต้กับคนเหล่านี้ นางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมของตนเอง และกินอาหารต่อ รอให้อดีตฮ่องเต้เสด็จมาและเริ่มเปิดพิธีในงานเลี้ยงสักที

เฮยเจ๋อมองท่าทีของนาง แล้วริมฝีปากบางของเขาก็โค้งขึ้น จะทำอย่างไรดี ราวกับว่ายิ่งเขามองนางมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากได้นางมาครองมากขึ้นเท่านั้น

เพียงแค่… ใบหน้านั้น

เฮยเจ๋อขมวดคิ้วแน่น เขายังต้องครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย

น่าเสียดาย จิตใจของเขาถูกรบกวนมากเกินไป จนไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังมองเขาอย่างไม่พอใจนัก และกำลังบอกเรื่องราวทุกอย่างข้างหูของชายชรา

ตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ก็ถูกจับตามองอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะต้องการมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้กับผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่มีทางที่จะยื่นมือของเขาออกไปได้…

ราวกับว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างๆ เฮยเจ๋อ จะรับรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย สายตาของเขาจมลึกลงไปเรื่อยๆ ราวกับบ่อน้ำโบราณที่สงบนิ่งและลึกลับ และกำลังมีคลื่นน้ำเคลื่อนไหว แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วภายใต้ความมืดมิดของราตรีกาล

ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นที่ประตูลานกว้าง

“อดีตฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ”

เสียงแหลมสูงดังไปทั่วท้องฟ้า เฮ่อเหลียนเวยเวยมองออกไปไกลๆ และเห็นเพียงสีทองอร่ามเท่านั้น

เสื้อคลุมบนร่างกายของอดีตฮ่องเต้นั้นโบกสะบัดทำให้เกิดเสียงลม ท่วงท่าของเขาดูสง่างามและสูงส่งจนคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจทำได้ เขานั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นจนทำให้เขาดูสูงขึ้นกว่าเดิมมาก แม้แต่ใบหน้าของเขาก็ดูเรียวและงดงาม จนพอจะมองออกว่าเมื่อตอนที่เขายังหนุ่มจะต้องเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา และน่าดึงดูดใจอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้

ด้านหลังของเขาคือมู่หรงฮองเฮา ท่านป้าของมู่หรงฉางเฟิง ว่ากันว่าหลังจากที่นางเข้าวังในปีนั้น ฮองเฮาองค์ก่อนก็สิ้นพระชนม์ ในเวลาต่อมา นางก็ถูกเลื่อนขั้นเป็นฮองเฮา

แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยแค่รู้สึกว่าคนตระกูลมู่หรงไม่ใช่คนดี อย่าถามว่าทำไม นางแค่มองคนจากตระกูลเท่านั้น!

นอกจากนี้ ฮองเฮาองค์นี้ก็ไม่ใช่มารดาที่ให้กำเนิดองค์ชายสามด้วย…

กล่าวสั้นๆ คือ ในวังแห่งนี้มีเรื่องยุ่งเหยิงเกิดขึ้น แม้ว่าจะมีกฏข้อบังคับที่ระบุว่าสาวใช้ในวังไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีข่าวรั่วไหลออกมาอยู่ดี เรื่องพวกนี้จึงไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด

เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ทุกคนก็ร้องตะโกนว่า “ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”

บรรยากาศในงานชมดอกไม้นั้นก็ดูมีสีสันขึ้นมาทันตาเห็น

อดีตฮ่องเต้นั่งลงด้วยรอยยิ้มและยกมือขึ้นอย่างไม่ถือตัว “ลุกขึ้นเถิด ที่นี่ไม่ใช่วัง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมากพิธี”

“เพคะ” คุณหนูทุกคนต่างตอบรับอย่างอ่อนหวาน และยืนอยู่ด้านหนึ่งอย่างเรียบร้อย

เมื่อเห็นเช่นนั้น อดีตฮ่องเต้ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้น เขาก็หันมองไปยังชายหนุ่มผู้เย็นชาที่มีสีหน้าเฉยเมยมาตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วเคราของเขาก็กระพือขึ้นด้วยความโกรธ

ตู๋ซูเฟิงที่ยืนอยู่ข้างเขาย่อมรู้ดีว่าอดีตฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงพูดเตือนอย่างอ่อนโยนและมีมารยาท “พระองค์คิดเห็นว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ พวกเราควรจัดงานชมดอกไม้ต่อไปหรือไม่ ข้าน้อยลองมองดูแล้ว มีคุณชายหลายท่านที่ยังไม่ได้มอบดอกอิงฮวาสีขาวพ่ะย่ะค่ะ”

“จัดงานต่อไปเถอะ ให้พวกเขาได้สังสรรค์กันต่อ” อดีตฮ่องเต้เปลี่ยนท่าที และพูดกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “เจ้าสาม เจ้าก็เลือกมอบดอกไม้ให้หญิงสาววสักคนสิ”

ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย

ทั้งนี้ ทุกปี องค์ชายสามไม่เคยมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้ใครมาก่อน และตอนนี้ อดีตฮ่องเต้ก็ได้ตรัสออกมาเช่นนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องมอบมันให้กับใครบางคน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่ก็คือการเลือกพระชายานั่นเอง!

ราวกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มั่นใจว่าเขาจะเลือกนาง ดวงตาของนางเอ่อล้นไปด้วยประกายของหยาดน้ำ และแก้มทั้งสองข้างก็แดงระเรื่อ…