ตอนที่ 109 อย่าหลอกข้า

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 109 อย่าหลอกข้า

เซียวกั้วกับเซียวอี้เป็นพี่น้องร่วมมารดา

แต่มันผ่านไปเป็นเวลานานแล้ว นานจนเซียวกั้วจำไม่ได้ว่าครั้งก่อนที่สองพี่น้องร่วมโต๊ะกินข้าวคือเมื่อใด

เซียวอี้ก้มหน้ายิ้ม รินชาพร้อมส่งให้ด้วยสองมือ

“พี่ใหญ่งานยุ่ง จำเรื่องเล็กน้อยไม่ได้ย่อมเป็นเรื่องเข้าใจได้”

น้ำชา เซียวกั้วไม่ดื่ม แม้แต่แตะยังไม่แตะแม้แต่น้อย

เซียวอี้เลิกคิ้ว “พี่ใหญ่กลัวข้าวางยาพิษหรือ?”

เซียวกั้วพูดอย่างจริงจัง “มีประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ข้าจำเป็นต้องระวัง ครั้งก่อนข้าดวงแข็ง เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ คราวนี้ ข้าไม่อยากพนันด้วยชีวิต! ดังนั้น…”

ดังนั้นเขาจะไม่แตะต้องน้ำชาหรืออาหารตรงหน้านี้

เซียวอี้หัวเราะ “ในเมื่อท่านกลัวตาย เหตุใดยังจะมาอีก เพียงเพราะท่านพ่อให้ท่านมา ท่านก็มา ท่านเป็นสุนัขของเขาหรือ”

“หุบปาก! บุตรไม่ควรตำหนิความผิดของบิดา ถึงแม้เจ้าจะมีความโกรธมากเพียงใด ก็ไม่สมควรพูดจาว่าร้าย!” เซียวกั้วตำหนิเสียงดุ

เซียวอี้ไม่สนใจ หากแต่ยังส่งเสียงจิ๊ปากสองที

“ท่านพ่อสงสารบุตรชายของสตรีผู้นั้น กลัวข้าจะฆ่าพวกเขา ดังนั้นจึงไม่กล้ามา แต่ทั้งที่ท่านพ่อรู้ว่าข้าไม่ประสงค์ดีกับท่านเหมือนกัน แต่เขายังส่งท่านมาพบข้า เห็นได้ชัดว่าฐานะของท่านในใจของท่านพ่อ ไม่อาจเทียบกับบุตรชายของสตรีผู้นั้นได้ ท่านไม่โกรธหรือ”

“น้องหก ข้าไม่เหมือนเจ้า ข้าไม่ได้ดื้อรั้นเหมือนเจ้า เจ้าไม่ต้องสร้างความบาดหมาง มีแต่จะทำให้เจ้าเสียเปรียบ เจ้าเขียนจดหมายนัดพบ อีกทั้งยังกำหนดสถานที่เป็นบนเรือ เจ้าอยากพูดเรื่องใดกันแน่”

เซียวอี้ยกแก้วชาขึ้นจิบสองคำ “ใบชาล้ำค่าที่ข้าเก็บไว้เหลือเพียงสามขีดสุดท้าย พี่ใหญ่ไม่ดื่มสักคำ ไม่เสียดายหรือ”

เซียวกั้วขมวดคิ้ว “เจ้าเบี่ยงเบนไปพูดเรื่องอื่นมีจุดประสงค์อันใดกันแน่ หรือว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง?”

เซียวกั้วพูดพลางยื่นมือไปจับมีดสั้นบนเอวแน่น เตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ

เซียวอี้ยกมือกดมือของอีกฝ่ายเบาๆ “ไม่ต้องกังวลเพียงนี้! วันนี้ข้าไม่ฆ่าคน อีกทั้งไม่มีทางฆ่าท่าน หัวของท่านข้าไม่สนใจ”

“เจ้าสนใจสิ่งใด” เซียวกั้วสงสัยความสนใจของน้องชายอย่างมาก

เซียวอี้รินเองดื่มเอง ชาหนึ่งเหยือกหมดไปกว่าครึ่ง เริงรมย์อย่างมาก

เมื่อดื่มจนเกือบอิ่ม เขาถึงเอ่ยขึ้น “สงครามยืดเยื้อ ฝ่าบาททรงกังวลพระทัย!”

คำพูดที่ฟังเหมือนอุทานหรือหยอกล้อออกมาจากปากของเขา ทำให้เซียวกั้วรู้สึกเหมือนฝันไป

เขาพูดเป็นการลองเชิง “เจ้ารับพระราชโองการมานัดพบท่านพ่อ? ฮ่องเต้ต้องการสิ่งใด หรือว่าเขาให้เจ้าจับท่านพ่อกลับไปขอความชอบในเมืองหลวงหรือ”

เซียวอี้เผยสีหน้าเสียดสี “พี่ใหญ่คิดได้เพียงขอความดีความชอบหรือ”

“สงครามเกิดขึ้นเพื่อความดีความชอบไม่ใช่หรือ เจ้าอย่าบอกข้า เจ้ารับใช้ฮ่องเต้ด้วยความจริงใจ เพียงแค่เรื่องที่ฮ่องเต้สังหารเหล่าท่านอ๋อง ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่มีความคิดเห็นแม้แต่น้อย”

“ข้ามีความคิดเห็นจริง ดังนั้นจึงเชิญท่านพ่อมาเจรจาต่อหน้า เสียดายท่านพ่อไม่ยอมมา ข้าจะทำอย่างไรได้”

“ข้ามาแทนท่านพ่อก็เหมือนกัน”

เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย “พี่ใหญ่มั่นใจว่าจะโน้มน้าวท่านพ่อได้หรือ ท่านมั่นใจว่าคำพูดของท่านมีผล?”

เซียวกั้วขมวดคิ้ว “เจ้าสงสัยน้ำใจของข้า ดังนั้นจึงไม่ยอมเปิดเผยจุดประสงค์ในการนัดพบ”

เซียวอี้พยักหน้า “ก่อนที่ข้าจะมั่นใจว่าท่านสามารถโน้มน้าวท่านพ่อได้ เรื่องที่เกี่ยวกับแผนการ ข้าไม่อาจเปิดเผยได้แม้แต่คำเดียว”

“เจ้า…”

เซียวอี้ขัดเขา “อย่าโทษว่าข้าดูถูกท่าน! เพียงแค่ท่านถูกท่านพ่อใช้อย่างกับสุนัขเช่นนี้ ท่านจะให้ข้าไม่ดูถูกได้อย่างไร”

เซียวกั้วขุ่นเคืองอย่างมาก “เขาเป็นท่านพ่อ! คำพูดของเขาเปรียบเหมือนสวรรค์ในจวนท่านอ๋อง ข้าไม่ฟังเขา หรือจะให้ข้าฟังเจ้า? หรือเจ้าอยากให้ข้าเลียนแบบเจ้า ทำให้คนเกลียด ทำให้ตนเองถูกขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูลจนต้องวิ่งไปพึ่งพาท่านลุงหรือ”

สีหน้าของเซียวอี้ดำทะมึน “ท่านเป็นคนโง่จริงด้วย!”

“เจ้าต่างหากที่โง่! พวกเราเป็นพี่น้องร่วมมารดากัน สมควรพร้อมใจช่วยเหลือกัน แต่เจ้าเป็นคนทำลายทุกสิ่ง”

เซียวกั้วตำหนิเสียงดัง แต่เซียวอี้หัวเราะเสียงดัง

เขาพูดเสียดสี “พี่น้องพร้อมใจ? พี่น้องพร้อมใจของท่านหมายความอย่างไร ข้าจะบอกท่านให้พี่น้องพร้อมใจคือต้องออกแรงไปในทิศทางเดียวกัน มีเป้าหมายเหมือนกัน ผลประโยชน์เหมือนกันถึงจะเรียกว่าพี่น้องพร้อมใจ ท่านปรนนิบัติท่านพ่อราวกับสุนัขรับใช้ทั้งวันทั้งคืน อีกทั้งยังต้องปรนนิบัติสตรีผู้นั้น ท่านจะให้ข้าพร้อมใจกับท่านได้อย่างไร”

“ข้าบอกแล้ว ท่านอยากได้ตำแหน่งซื่อจื่อ ข้าจะแย่งมาให้ท่าน แต่ท่านไม่ยอม อีกทั้งยังโทษว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ได้ ข้าไป! ข้าไม่ยุ่ง ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าท่านปรนนิบัติพวกเขาจะได้ผลประโยชน์ใด

สุดท้าย เสด็จพ่อทรงโปรดปรานสตรีผู้นั้นมากขึ้น รวมทั้งบุตรชายของสตรีผู้นั้น ส่วนท่านกลับออกห่างจากตำแหน่งซื่อจื่อไกลยิ่งขึ้น จนถึงเวลานี้ท่านยังไม่รู้จักสำนึกผิด มัวแต่สนใจเรื่องความกตัญญู เชื่อฟังคำสั่งของเขา ท่านต่างหากที่โง่!”

ใบหน้าของเซียวกั้วแดงก่ำ “หากข้าโง่ เจ้าก็เป็นคนทรยศ! เสียดายที่เจ้าเป็นแค่คนทรยศเล็ก ไม่ใช่คนทรยศใหญ่ หลายปีนี้ เจ้าดูตัวเองว่าตกต่ำไปถึงไหน มีตระกูลแต่กลับไม่ได้ ทำได้เพียงพึ่งพาฮ่องเต้ รับใช้ฮ่องเต้

เจ้านำทหารและขุนนางของราชสำนัก โจมตีเหล่าท่านอ๋องทั่วแผ่นดิน เจ้าถูกท่านอ๋องทั่วแผ่นดินรังเกียจ เจ้าทำผิดต่อบรรพบุรุษ ทำผิดต่อท่านพ่อ ทำผิดต่อคนที่เป็นห่วงเจ้า

เจ้าบอกว่าเจ้าจะช่วยข้าแย่งตำแหน่งซื่อจื่อ แย่งตำแหน่งอ๋อง ข้าถามเจ้า เจ้าจะใช้อะไรแย่ง เจ้าอย่าบอกข้าว่าเจ้าจะใช้การลอบสังหารแย่งตำแหน่งอ๋อง เล่นลอบสังหารเหมือนการเล่นกับไฟ ไม่ช้าก็เร็วจะเผาไปถึงหัวของเจ้า”

เซียวอี้พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องที่ท่านพูดมาทั้งหมดมาจากความจริงใจ ข้าต้องขอบคุณท่าน หลายปีนี้ได้ฟังความจริงจากท่านเสียที ข้าเข้าใจแล้ว!”

พูดจบ เซียวอี้ยกเหยือกสุรากรอกเข้าปาก

เซียวกั้วมองอย่างเฉยขา

ดื่มสุราเสร็จ เซียวอี้เช็ดมุมปาก เอ่ยขึ้น “เหล่าท่านอ๋องชนะ ท่านจะไม่มีวันได้รับตำแหน่งซื่อจื่อตามปรารถนา หากเหล่าท่านอ๋องแพ้ ท่านมีโอกาสห้าส่วนได้ตำแหน่งท่านอ๋อง หากข้าช่วยท่านดำเนินการในเมืองหลวง ท่านจะมีโอกาสแปดส่วนที่จะได้ครอบครองตำแหน่งท่านอ๋อง เมื่อถึงเวลานั้นจวนท่านอ๋องตงผิงท่านเป็นใหญ่ สตรีผู้นั้น รวมทั้งบุตรชายของสตรีผู้นั้น ท่านไม่จำเป็นต้องอดทนกับพวกเขาอีก”

เซียวกั้วขมวดคิ้ว “หากข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้ากำลังเกลี้ยกล่อมให้ข้าจงใจพ่ายแพ้ต่อกองทัพใหญ่ของราชสำนัก เจ้าไม่มีเจตนาดีเสียจริง”

เซียวอี้ยิ้มเสียดสี “ท่านมั่นใจว่าเหล่าท่านอ๋องจะชนะหรือ”

“เหล่าท่านอ๋องในแผ่นดินมีจำนวนมาก จะพ่ายแพ้ได้อย่างไร กองทัพเหนือและกองทัพใต้ทำสงครามเก่งกาจ แต่ไม่อาจสู้คนจำนวนมากได้ อีกทั้งการเสริมกำลังไม่สะดวก คนที่พ่ายแพ้ย่อมต้องเป็นราชสำนัก”

เซียวอี้ส่ายหน้า “ข้าเห็นต่างกับท่าน เวลานี้เรื่องสงครามกำลังดุเดือด ตระกูลขุนนางบนแผ่นดินยังไม่เข้าร่วมสงคราม แต่เมื่อตระกูลขุนนางเข้าร่วมสงครามเมื่อใด ตราชั่งของสงครามจะเอียงไปทางใด ท่านคงจะรู้ดี เมื่อถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจคงจะสายเกินไปแล้ว”

เซียวกั้วพูดอย่างจริงจัง “สงครามนี้ดำเนินการมาครึ่งปีแล้ว ตระกูลขุนนางบนแผ่นดินมีการเคลื่อนไหวหรือไม่ เวลานี้ไม่มีการเคลื่อนไหว ภายหน้าตระกูลขุนนางบนแผ่นดินก็จะไม่เคลื่อนไหว”

“ท่านผิดแล้ว! ข้าจะบอกอะไรแก่ท่าน รอฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ตระกูลขุนนางบนแผ่นดินจะมีการเคลื่อนไหว”

เซียวกั้วขมวดคิ้ว เขาไม่เชื่อ

เซียวอี้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากท่านเชื่อข้าก็ทำตามวิธีของข้า ข้าจะถอยทางให้ท่านมีโอกาสนำทัพบุกรุกเข้าเมืองในนครบาล หลังจากนั้นท่านฟังสัญญาณข้า เมื่อสัญญาณไปถึงท่านก็ถอยทัพ ข้าจะให้ความมั่งคั่งแก่ท่าน ท่านไม่ต้องขอบคุณ!”

“เจ้าอยากทำอันใด เจ้าให้ข้านำทัพบุกรุกเข้าเมืองในแถบนครบาล เจ้าไม่กลัวข้ามุ่งตรงไปยังกำแพงเมืองหลวง โจมตีราชสำนักอย่างไม่ทันตั้งตัวหรือ”

เซียวอี้ได้ยิน หัวเราะร่า ราวกับได้ยินเรื่องที่น่าขันที่สุดในแผ่นดินนี้

“ท่านกล้าบุกโจมตีเมืองหลวงหรือ ทหารของท่านมีความสามารถโจมตีเมืองหลวงหรือ ท่านไม่กลัวข้าจับปูในกระด้ง ฉวยโอกาสบีบท่านให้ตาย?”

“เจ้าให้ข้านำทัพตีเมืองแถบนครบาล เจ้ามีจุดประสงค์ใด”

“จุดประสงค์ของข้าไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือท่านอยากได้ตำแหน่งอ๋องหรือไม่ หากท่านอยากได้ โอกาสอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านมารับไปได้เลย”

“หรือว่าเจ้าไม่อยากได้ตำแหน่งท่านอ๋อง?” เซียวกั้วทำหน้าสงสัย เขามักแยกไม่ออกว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ

เซียวอี้ส่ายหน้า “ท่านอยากได้ตำแหน่งอ๋อง อย่าคิดว่าทุกคนจะเหมือนท่าน อย่างน้อยข้าไม่อยากได้”

เซียวกั้วไม่เชื่อ “บนแผ่นดินนี้มีคนไม่อยากได้ตำแหน่งท่านอ๋องหรือ เจ้าอย่าหลอกข้า”

“ข้าเคยหลอกท่านหรือ” ดวงตาของเซียวอี้มีรอยยิ้ม มีเล่ห์เหลี่ยม มีหยอกล้อ อีกทั้งยังมีท้าทายและเหยียดหยาม

เซียวกั้วขมวดคิ้วมุ่น เขาถามคำถามที่อยากถามเสมอมา “เจ้าทำมากมายเช่นนี้ เจ้าอยากได้สิ่งใด เจ้าได้สิ่งที่ต้องการแล้วหรือ”

เซียวอี้หมุนแก้วชาในมือ สีหน้าทั้งเศร้าทั้งขมขื่น “สิ่งที่ข้าอยากได้ยังมาไม่ถึง แต่ว่าไม่นาน ทุกอย่างจะมาถึงตามกำหนด เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ”

คำพูดนี้เหมือนคำใบ้ ทำให้เซียวกั้วฉงนอย่างมาก

เซียวอี้เตือนเขา “ท่านไม่ต้องคาดเดาความคิดของข้า ความคิดของข้าไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือความคิดของพวกเราเหมือนกัน ไม่อาจให้สตรีผู้นั้นกับบุตรชายของนางมีจุดจบที่ดี”

เมื่อได้ยินดังนั้น เซียวกั้วก็โล่งใจ

เพราะเขาเชื่อว่าคำพูดนี้เป็นความจริง

เซียวอี้ไม่เคยปิดบังความเกลียดชังที่มีต่อสตรีผู้นั้น

เซียวกั้วเงียบไปชั่วขณะ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้ามีจุดประสงค์ใด ข้าจะร่วมมือกับเจ้า ข้าจะรอข่าวจากเจ้า เมื่อข่าวของเจ้ามาถึง ข้าจะมุ่งหน้าไปนครบาล เจ้าให้สัญญาณถอยทัพแก่ข้า ข้าจะถอยทัพ”

“ดีมาก! คราวนี้ พวกเราพี่น้องพร้อมใจ!”

เซียวอี้จับมือของพี่ใหญ่แน่นอย่างมาก

หากแต่เซียวกั้วไม่คุ้นชินเล็กน้อย ที่ถูกเขาจับเอาไว้อย่างนั้น

ไม่นานนัก เซียวอี้ก็ปล่อยมือของเขาออก “ข้าไม่รั้งพี่ใหญ่อยู่ทานอาหารแล้ว ท่านจะได้ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปส่งท่าน”

เซียวกั้วส่ายหน้า “ไม่ต้องส่งข้า! เจ้าก็ต้องรักษาตัว! อันที่จริงคนส่วนมากยังระลึกถึงเจ้า”

เซียวอี้เผยยิ้ม “ข้ารู้”

เขามองพี่ชายลงด้านล่างไป ข้ามผ่านแผ่นไม้กลับไปถึงเรือที่นั่งมา มุ่งหน้าไปยังท่าเรือริมแม่น้ำ

เซียวอี้ถือจอกสุรายกจากระยะไกล ถือว่าเป็นการส่งพี่ชาย

เซียวกั้วยืนอยู่ที่หัวเรือ ยกมือขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ โบกมือลา

พี่น้องสองคน ไม่เคยสงบเพียงนี้มานานหลายปี

วันนี้ถือว่าประหลาดอย่างมากแล้ว

เซียวอี้หัวเราะออกมา

ท่าทางของพี่ใหญ่ดูโง่ยิ่งนัก

ช่างทำให้คนรู้สึกขบขัน

เรือเล็กจากไป

เซียวอี้ออกคำสั่ง “เคลื่อนเรือ!”

“ขอรับ!”

เรือใหญ่เคลื่อนที่หายไปท่ามกลางหมอกจางๆ ที่ฟุ้งอยู่ริมแม่น้ำสองฝั่ง

เซียวกั้วยืนอยู่ริมแม่น้ำ มองส่งอีกฝ่ายจากไป

เขาถอนหายใจ “น้องหก เจ้าอย่าหลอกข้านะ!”