บทที่ 101 ตัดชื่อออกจากวงศ์ตระกูล
ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกมา ชาวบ้านต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
แม้แต่ท่านป้าหวังที่พูดมากที่สุดในหมู่บ้านก็ถึงกับกระทืบเท้าขึ้นมา “มองข้าทำไมกัน ข้าพูดแค่ว่าอวี๋ซิ่วเหลียน ข้าไม่ได้บอกว่าสตรีทั้งหมู่บ้านตระกูลอวี๋ล้วนหน้าไม่อายเสียหน่อย”
ทุกคนต่างก็เริ่มปฏิเสธ แต่มีเพียงเฉินไคชุนเท่านั้นที่ตะโกนดังที่สุด
“ใช่ พวกเราจะพูดเช่นนั้นไปทำไมกัน?”
“ต้องเป็นคนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ที่ใส่ร้ายพวกเราเป็นแน่!”
“ไป พวกเราไปคิดบัญชีกับหมู่บ้านตระกูลอวี๋กัน”
จี้จือฮวนจ้องหน้าเฉินไคชุนพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย มองจนเขาตกใจและยกยิ้มออกมาอย่างร้อนตัว “สะใภ้ตระกูลเผย เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไมกัน หรือว่าข้าพูดไม่ถูกอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้ากลัวอะไร ข้าก็แค่เห็นเจ้าดูกระตือรือร้นมากกว่าใครก็เท่านั้น และกำลังรอดูว่าเจ้าคิดที่จะพูดเหลวไหลอะไรอีก” คำพูดของจี้จือฮวนไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย
เฉินไคชุนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าก็แค่ไม่อยากให้คนในหมู่บ้านถูกรังแก หรือว่าคนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ข้าก็ต่อว่าไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
จี้จือฮวนยิ้มเย็นออกมา “เจ้าอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ข้าขอถามเจ้า เหตุใดตอนกินข้าวเจ้าถึงชอบมองไปที่ทางเข้าหมู่บ้านด้วย เจ้าเป็นคนไปปล่อยข่าวลือที่หมู่บ้านตระกูลอวี๋ใช่หรือไม่?”
เฉินไคชุนตกใจขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะคาดเดาได้แม่นยำเช่นนี้ เขาจึงกระทืบเท้าทันที “เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าจะทำร้ายคนในหมู่บ้านของเราได้อย่างไร”
“เพราะเจ้ามีแรงจูงใจอย่างไรเล่า ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านก็รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว ชาวบ้านก็ไม่ให้ความสำคัญกับครอบครัวของพวกเจ้าอีก เจ้าจึงแค้นพวกเขามาก จึงคิดหาวิธีเล่นงานพวกเขา ชื่อเสียงของอวี๋ซิ่วเหลียนคนเดียวไม่สามารถสร้างความวุ่นวายได้ แต่หากเป็นชื่อเสียงของสตรีทั้งหมู่บ้านตระกูลอวี๋ย่อมเป็นไปได้แน่นอน”
จี้จือฮวนพูดถึงตรงนี้ สายตาของชาวบ้านต่างก็เปลี่ยนไป ก่อนจะจ้องมองเฉินไคชุนโดยพร้อมเพรียงกัน
“ใช่แล้ว ปกติเวลาเจ้ากินข้าวหรือดื่มเหล้า เจ้ากินมูมมามอย่างกับอะไรดี แต่วันนี้กลับกินอย่างช้า ๆ และคอยมองไปที่ทางเข้าหมู่บ้านด้วยท่าทีร้อนรนตั้งหลายครั้ง”
“ใช่แล้ว ๆ เดิมบอกว่าจะไม่มากินข้าวที่นี่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ ๆ ถึงเปลี่ยนใจมาได้เล่า ทั้งยังใส่ซองให้อีกด้วย เจ้ารอหัวเราะเยาะพวกเราอยู่ใช่หรือไม่?”
เฉินไคชุนคิดไม่ถึงว่าวันนี้พวกชาวบ้านจะฉลาดเพียงนี้ เหตุใดถึงเดาทุกอย่างได้ถูกหมดเล่า!
ช่างน่าแปลกใจจริง ๆ!
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน พวกเจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
“เจ้าอยากได้หลักฐานอย่างนั้นหรือ?” จี้จือฮวนหัวเราะเสียงเย็น “ตอนที่โจรขี่ม้ามา เฉินเย่าจงตะโกนบอกอาฉือให้รีบหนี แต่กลับเป็นการบอกทางให้พวกโจร ให้พวกเขาไปทางเนินเขา ส่วนเจ้าก็บอกกับโจรว่าที่บ้านของเรามีเงินมากที่สุดให้โจรพุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเจ้าสองปู่หลานวางแผนได้ดีจริง ๆ”
เฉินเย่าจงยังสลบอยู่ จี้จือฮวนจึงเดินเข้าไปเตะอย่างแรงหนึ่งที จนทำให้เฉินเย่าจงฟื้นขึ้นมา เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความตกตะลึง สุดท้ายก็ถลึงตาใส่จี้จือฮวนและเอ่ยขึ้นมา “เจ้าจะทำอะไร?”
ประกายความรังเกียจพาดผ่านดวงตาของเฉินเย่าจง
จี้จือฮวนหาได้สนใจไม่ “ไม่ตายก็ลุกขึ้นมาตอบคำถาม เจ้ากับปู่ของเจ้าสมคบคิดกันไปปล่อยข่าวลือที่หมู่บ้านตระกูลอวี๋ใช่หรือไม่?”
เฉินเย่าจงไม่มีทางยอมรับอย่างแน่นอน เขาปวดหัวอย่างมาก รู้ว่าเรื่องนี้คงถูกคนสงสัยเข้าแล้ว ขณะที่กำลังคิดหาข้ออ้างอยู่นั้น กลับเป็นเฉินไคชุนที่เอ่ยออกมาด้วยเสียงดุดัน “จะกล่าวหาอะไรก็ต้องมีหลักฐาน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้กัน”
“เจ้าอยากให้ครอบครัวของข้าตาย ยังคิดจะเอาหลักฐานจากข้าอีกอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจี้จือฮวนรังแกได้ง่าย ๆ อย่างนั้นสินะ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงนางก็กระชากเฉินไคชุนมา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของหยวนซื่อ ดาบเล่มใหญ่ก็ฟันถากลงไปที่ข้างศีรษะของเฉินไคชุนทันที
“โอ๊ยยยยย!” คราวนี้นอกจากหยวนซื่อแล้ว เฉินไคชุนเองก็ส่งร้องที่ดังโหยหวนออกมาด้วยเช่นกัน
จี้จือฮวนฟันถากลงไป เลือดสด ๆ ก็ไหลออกมาในพริบตา นางตัดหูของเฉินไคชุนมาข้างหนึ่ง
“นับตั้งแต่นี้ไปทุก ๆ หนึ่งเค่อหากเจ้ายังไม่ยอมพูดความจริง ข้าก็จะฟันตามร่างกายเจ้าหนึ่งครั้ง แต่วางใจเถอะ ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ดังนั้นข้าจะไว้ชีวิตคนชั่วอย่างเจ้า รอเจ้าใกล้ตายแล้ว ข้าค่อยรักษาให้เจ้า ดูสิว่าเจ้าจะทนได้ถึงเมื่อไร”
เฉินเย่าจงไม่อยากจะเชื่อ ว่าจี้จือฮวนจะกล้าทรมานคนให้รับคำสารภาพเช่นนี้
“ข้าจะไปที่ว่าการและฟ้องร้องเจ้า”
จี้จือฮวนหันกลับมามองเขา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ดีเลย หากเจ้าไปฟ้องที่ว่าการ โจรขี่ม้าเหล่านี้คนหมู่บ้านตระกูลเฉินล้วนเป็นคนจับได้ เกรงว่านายอำเภอคงจะรีบทำป้ายวีรบุรุษผู้ปราบโจรให้พวกเราแทบไม่ทันเป็นแน่ จะทำอะไรข้าได้ หากฟ้องศาลคนที่ต้องกลัวไม่ใช่ข้า เพราะใครทำอะไรไว้ ขอเพียงเอาตัวคนจากหมู่บ้านตระกูลอวี๋มายืนยัน เพียงเท่านี้ก็ตัดสินได้ง่าย ๆ แล้ว”
พวกชาวบ้านล้วนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ถูกต้อง ช่วงที่ผ่านมาพวกเราต่างก็ยุ่งกัน ไม่มีใครว่างไปที่หมู่บ้านตระกูลอวี๋หรอก”
ทุกคนต่างก็เห็นหน้ากันทุกวัน ทว่าเฉินเย่าจงกับเฉินไคชุนนั้นไม่ใช่ เฉินไคชุนนับตั้งแต่ได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็เลิกทำนาแล้ว มีเพียงลูกชายเขาเท่านั้นที่ยังทำอยู่ ส่วนเขา วัน ๆ ก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับการเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้
แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เขาไปไหนบ้างใครเล่าจะรู้?
ดังนั้นการคาดเดาของจี้จือฮวนจึงมีเหตุผลมาก!
คนที่สร้างความเดือดร้อนให้คนทั้งหมู่บ้านต้องเป็นเฉินไคชุนอย่างแน่นอน
“เฉินไคชุน ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ทำ เช่นนั้นสองวันมานี้เจ้าไปที่ไหนมาบ้าง?”
เฉินไคชุนหายใจหอบด้วยความเจ็บปวด เขาอายุปูนนี้แล้วไหนเลยจะอดทนต่อความทรมานได้ คนของครอบครัวเฉินอยากพุ่งตัวเข้ามาช่วยเขา แต่ถูกชาวบ้านกดเอาไว้
ตอนนี้คนในครอบครัวพวกเขา เรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบ เรียกดินดินไม่ขานแล้ว!
“ยินดีด้วย เจ้าเสียเวลาไปหนึ่งเค่อแล้ว” เมื่อจี้จือฮวนเอ่ยอย่างเย็นชาจบ ก็ใช้ดาบฟันที่นิ้วของเฉินไคชุนจนขาดไปหนึ่งนิ้ว
จี้จือฮวนอาศัยตอนที่เขาร้องเสียงหลง ฟันไปที่ต้นข้าของเขาอีกหนึ่งแผล
เลือดบนต้นขาของเฉินไคชุนไหลออกมาจนกางเกงของเขาเปียกชุ่มทันที เขาร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด “ข้ายังไม่ได้ตอบเลย เหตุใดเจ้าถึงฟันลงมาเช่นนี้เล่า!”
“อ้อ เพราะข้าพอใจ”
เฉินไคชุนได้แต่ตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่านางจะทำจริง ๆ นางเป็นสตรีคนหนึ่งแต่กลับกล้าทำเช่นนี้ได้
ทว่าท่าทางและการกระทำของจี้จือฮวนก็บอกเขาได้อย่างหนึ่ง
นางไม่ได้กำลังล้อเล่น
นางจะฟันจนกว่าเขาจะพูดความจริงออกไป
หัวหน้าของโจรขี่ม้าเองก็คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีสตรีที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่
ขนาดที่ว่าการยังไม่ไต่สวนนักโทษเช่นนี้เลย!
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว หนึ่งเค่อช้าเกินไป นับหนึ่งถึงสามดีกว่า เจ้ามานับสิ”
จี้จือฮวนชี้ดาบไปที่เฉินหลันหลัน
เฉินหลันหลันตกใจจนฉี่ราดกระโปรงทันที ตอนนี้นางเสียใจเป็นอย่างมาก เหตุใดต้องไปล่วงเกินจี้จือฮวนด้วย สตรีบ้าเช่นนี้เจอครั้งแรกก็ควรหลบไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ต่างหากเล่า!
“รีบมานับเดี๋ยวนี้ อย่าทดสอบความอดทนของข้า” จี้จือฮวนใช้ปลายดาบเคาะที่ม้านั่ง พลางยกเปลือกตาขึ้นและเอ่ยเสียงเรียบ
เวลานี้ทุกคนต่างก็รู้สึกว่า…สะใภ้ตระกูลเผยที่ปกติมักมีท่าทางอ่อนโยน สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นการแสดงอย่างนั้นหรือ?
การกระทำนี้นักเลงกว่าโจรขี่ม้าเสียอีก!
เฉินหลันหลันไหนเลยจะกล้าขยับ นางเอ่ยไปร้องไห้ไป “ข้าไม่กล้า…ท่านพ่อ ท่านพูดไปเถอะ อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงเลย”
เฉินไคชุนเองก็ทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว เมื่อได้ยินประโยคนี้ของลูกสาว ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับร้องไห้ออกมา “ข้าไปป่าวประกาศบอกคนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋เอง แต่ข้าก็คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะไปหาโจรขี่ม้า เรื่องคืนนี้ไม่เกี่ยวกับข้านะ”
แม้ในใจทุกคนจะรู้ดีว่าใครเป็นคนยุยง แต่เมื่อได้ยินเขายอมรับออกมาเช่นนี้ ก็ยังโมโหมากอยู่ดี!
ถ้าเขาไม่ไปพูดจาเหลวไหล หมู่บ้านตระกูลอวี๋จะไปหาโจรขี่ม้าได้อย่างไร?
เฉินเย่าจงหลับตาลง
จบแล้ว ปู่ที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้ ขอเพียงเขาไม่ยอมรับ คิดว่าจี้จือฮวนจะฆ่าเขาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ!?
แต่เขากลับทนไม่ไหวแล้วสารภาพออกมา คราวนี้คนในหมู่บ้านต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่
เขาต้องคิดหาวิธี เฉินไคชุนไร้ประโยชน์แล้ว แต่ว่ายังมีที่นาของที่บ้าน พ่อเขาและอาเขายังสามารถทำได้อยู่ และยังต้องส่งเขาเรียน ส่วนเฉินไคชุนก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ หากจำเป็นต้องสละก็ต้องสละ
ขณะที่ในสมองของเฉินเย่าจงกำลังคิดหาวิธีว่าจะปกป้องคนในครอบครัวที่เหลืออย่างไรอยู่นั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบกับดวงตาเย็นชาของจี้จือฮวน ในดวงตาคู่นั้นราวกับมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ความคิดสกปรกเหล่านั้นของเขา ล้วนถูกนางมองออกอย่างชัดเจน
เฉินเย่าจงกลืนน้ำลายลงคอ จี้จือฮวนจึงหัวเราะออกมา “หัวหน้าหมู่บ้าน คนเช่นนี้ท่านจัดการไปตามสมควรก็แล้วกัน”
“ไล่ครอบครัวของพวกเขาออกไป!”
“ใช่ ไล่ออกไป ตัดชื่อออกจากวงศ์ตระกูลด้วย”
คราวนี้เจิ้งหลี่เจิ้งและเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก เฉินไคชุน ต้องไสหัวออกไปเท่านั้น!