ตอนที่ 105 ไม่กลับบ้านจนกว่าตัวเองจะได้ดี
ตอนที่ 105 ไม่กลับบ้านจนกว่าตัวเองจะได้ดี
หลินจินซานโกรธตัวเองขึ้นมาที่เมื่อครู่ยอมรับเซาปิ่งจากเธอแล้วกินไปคุยไปอย่างสนุกสนาน
อดไม่ได้ที่จะกัดฟันกรอด “นี่ สาวน้อย อย่าบังคับให้เราต้องใช้ไม้แข็งนะ”
“ไม้แข็งของคุณคืออะไรกันล่ะ? คิดว่าพวกคุณจะเอาชนะฉันได้เหรอ? ฉันมีสัญญาอยู่ในมือ ถ้าฉันยอมประนีประนอมและไปหาเช่าร้านอื่นก็จบแล้ว ยังต้องใช้ไม้แข็งอะไรอีก?” หลินเซี่ยกัดเซาปิ่งที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง
. “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการอะไรจากเรา? สาวน้อย” หลินจินซานรู้สึกเสียใจที่กินเซาปิ่งของเธอเข้าไป
ท่าทางวางมาดเย่อหยิ่งหดหายแทบไม่เหลือ
“ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ฉันเซ็นสัญญาเช่าไปแล้ว ที่ต้องการก็แค่เปิดร้านตามเนื้อหาในสัญญาเท่านั้น”
หลินจินซานคร่ำครวญทันที “น้องสาว ฉันเองก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำ งานที่หัวหน้ามอบหมายให้ฉันทำคือมาเจรจาต่อรองกับเธอ เพราะฉะนั้นช่วยเห็นใจฉันหน่อยได้ไหม?”
เขาเกือบจะคุกเข่าลงไปหาหลินเซี่ยแล้ว
เมื่อเห็นครั้งแรก เขาคิดว่าสาวน้อยคนนี้ดูไม่มีพิษมีภัยและพูดคุยด้วยง่าย แต่จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนเข้มแข็งกว่าที่คิดไว้มาก
ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งก็ยังเอาไม่ลง
“ฉันไม่ได้อยากทำให้คุณลำบากใจ แต่ถ้าฉันยอมประนีประนอมตอนนี้ แล้วฉันต้องเสียรายได้จากธุรกิจไปมากแค่ไหน”
หลินเซี่ยมองดูหน้าตาขลาดเขลาของหลินจินซาน รู้ว่าเขาเป็นเพียงลูกน้องที่นายสั่งให้มาทำธุระ ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจเสียเอง
เธอพูดว่า “งั้นช่วยโทรหาเจ้านายของคุณให้หน่อยสิ เดี๋ยวฉันจะคุยกับเขาเอง”
“เจ้านายงานยุ่งมาก เขามีธุรกิจในมือหลายอย่างที่ต้องจัดการ ไม่มีเวลาคุยกับเธอแน่”
ประเด็นสำคัญคือถ้าเขาโทรหาพี่เฉิง นี่ไม่เท่ากับบอกว่าเขาไร้ความสามารถในการจัดการสิ่งต่าง ๆ หรอกเหรอ?
“งั้นเจ้านายคุณคิดจะทำอะไรกับร้านนั้นกันล่ะ? บอกฉันมาตามตรงเถอะ ด้วยกำลังทรัพย์อันน้อยนิดของฉัน ฉันเอาปัญญาที่ไหนไปขโมยธุรกิจของพวกคุณ?” หลินเซี่ยถามหลินจินซาน
“เถ้าแก่ใหญ่ของเรามีแผนว่าจะเปิดห้องเต้นรำในตึกสองชั้นที่คุณเช่าอยู่ และจะทำร้านข้าง ๆ เป็นร้านขายเทปและวิดีโอ”
“โอ้”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินจินซาน เธอก็ยิ่งไม่อยากย้ายร้านไปจากถนนสายนี้ ทั้งห้องเต้นรำและร้านเครื่องเสียงเป็นสถานที่ที่คนหนุ่มสาวผู้มีหัวสมัยใหม่นิยมแวะมาเยี่ยมชม ถ้าเธอได้เปิดร้านตัดผมของตัวเองที่นี่ ในอนาคตเมื่อพวกเขาเปิดห้องเต้นรำ ก็จะดึงดูดผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาให้เข้าไปใช้บริการร้านของเธอ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่ากิจการจะเงียบเหงาอีกต่อไป
แต่คนตรงหน้าก็เป็นพี่ชายของเธอ เธอไม่อยากทำให้เขาได้รับความลำบากใจจริง ๆ
“ช่างเถอะ ฉันไม่ทำให้คุณลำบากใจแล้วก็ได้ ยังไงหน้าร้านอีกที่หนึ่งก็ยังว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าพรุ่งนี้เจ้าของร้านกลับมา เราค่อยไปถามว่าเขายินดีโอนกรรมสิทธิ์ผู้เช่าไหม? แต่ถ้าไม่เราค่อยมาหารือกันทีหลัง”
คนเหล่านี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องในกิจการความบันเทิง เธอต้องแสวงหามิตรเข้าไว้ ไม่ทำให้พวกเขาขุ่นเคือง
คนที่กล้าเปิดกิจการห้องเต้นรำ นอกจากจะมีทรัพยากรทางการเงินที่มหาศาลแล้ว เขายังต้องมีเส้นสายการติดต่อที่มากพอ ถ้าไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าหน้าที่ ร้านเครื่องเสียงและห้องเต้นรำไหนเลยจะเปิดได้อย่างยาวนาน
เรื่องนี้ยังเป็นเหมือนกันทุกยุคทุกสมัย
“คุณจะยอมถอยเหรอ?” ดวงตาของหลินจินซานสว่างขึ้น
“เปล่า ฉันแค่คิดว่าในเมื่อเราทุกคนต้องการทำธุรกิจร่วมกัน งั้นก็ควรผูกมิตรไว้แทนที่จะสร้างศัตรู ไว้เรามาหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันโดยดีดีกว่า”
“เย็นมากแล้ว รีบกลับบ้านเถอะ ฉันเองก็ต้องกลับบ้านเหมือนกัน พรุ่งนี้ไว้ค่อยคุยกันอีกที” หลินเซี่ยก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็หันกลับมามองเขาแล้วโบกมือให้
หลินจินซานมองหญิงสาวซึ่งหันมาโบกมือให้เขา ในใจพลันเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นและโบกมือให้เธอพร้อมกับกล่าวคำอำลา
ตั้งแต่ออกจากบ้านมา นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินใครบางคนบอกเขาว่า “เย็นมากแล้ว รีบกลับบ้านเถอะ”
โดยเฉพาะตอนที่เขายังอยู่ที่บ้านเกิด ทุกวันก่อนเวลากินข้าว แม่ของเขาจะมาตะโกนเรียกเขาให้กลับไปกินข้าวด้วยกันที่บ้าน
พออยู่ไกลบ้าน ก็ไม่มีใครสนใจเรียกเขาอีกต่อไป
ทันใดนั้นหยดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาจากหางตาของหลินจินซาน
เขาคิดถึงบ้านเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่กลับบ้านจนกว่าตัวเองจะได้ดี
…
หลินเซี่ยกลับบ้านด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
เธอประหลาดใจมาก ด้วยไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับหลินจินซานที่นี่
เธออยากบอกข่าวดีกับหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนด้วยความกระตือรือร้นใจจะขาด แต่ในขณะที่เธอกำลังจะเขียนจดหมาย เธอก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์กว่าปลายทางจะได้รับ ถึงเวลานั้นถ้าหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนเก็บของออกจากบ้านมาแล้ว จดหมายทั้งหมดก็จะตกไปอยู่ในมือของหลินเอ้อร์ฝู
บางทีมันอาจเร็วกว่าถ้าเธอโทรไปหาโจวเจี้ยนกั๋ว เพื่อฝากเขาไปบอกข่าวดีให้พวกเธอฟัง
เฉินเจียเหอยังไม่เลิกงาน วันนี้หลินเซี่ยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เธอฮัมเพลงในลำคอและวางแผนว่าจะทำอาหาร
เมื่อเฉินเจียเหอกลับมา หลินเซี่ยก็เล่าให้เฉินเจียเหอฟังว่ามีคนมาขอซื้อตึกที่พวกเขาเพิ่งจะทำสัญญาเช่าร้านไปในราคาที่สูงลิ่ว
“ฉันไม่อยากปล่อยให้มันหลุดมือจริง ๆ ฉันบอกพวกเขาไปแล้วว่าสัญญาที่ลงนามมีผลทางกฎหมาย ถ้าพวกเขายังยืนกรานที่จะผิดสัญญา ฉันคงต้องฟ้องร้องจริงจัง”
เฉินเจียเหอดูเคร่งขรึม “เกรงว่าน่าจะยาก เพราะเจ้าของบ้านคนใหม่ก็ออกปากแล้วว่าพวกเขายินดีจะจ่ายค่าเสียหายให้คุณ เท่ากับว่าพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าต่อไป ถ้าเจรจาแล้วไม่เป็นผลจริง ๆ งั้นก็ยอมรับค่าเสียหายจากพวกเขาแล้วไปหาเช่าร้านที่อื่นกันเถอะ”
“ยังมีเรื่องบังเอิญอีกเรื่อง สหายพี่ชายที่มาเจรจาเรื่องค่าเสียหายกับฉัน ปรากฏว่าเขาชื่อหลินจินซาน ชื่อเดียวกันกับพี่ชายในบ้านเกิดของฉันที่ฉันไม่เคยเจอหน้ามาก่อน”
“จริงเหรอ? คุณถามหรือยังว่าบ้านของเขาอยู่ที่ไหน?” เฉินเจียเหอมองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจ อดคิดไม่ได้ว่าบังเอิญเสียจริง
หลินเซี่ยตตอบกลับ “ฉันลองถามดูแล้ว เขาบอกว่าเขามาจากเชินเฉิง แต่ฉันได้ยินว่าสำเนียงของเขาเหมือนมาจากทางซีเป่ยอย่างชัดเจน”
วันนี้เธอสามารถยืนยันตัวตนของหลินจินซานได้อย่างแม่นยำ ตราบใดที่เธอบอกว่าบ้านเกิดของตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วเปิดเผยประสบการณ์ชีวิต รวมถึงบอกชื่อสมาชิกในครอบครัวของเธอได้อย่างชัดเจน เท่านี้หลินจินซานก็ยอมปริปากแล้ว
ถึงอย่างนั้น เธอกลับไม่ยอมบอกเขาไปตามตรง
หลินจินซานไม่เคยเขียนจดหมายถึงครอบครัวของเขาเลยหลังจากที่เขาออกจากบ้านไป แสดงว่าเขามีเหตุผลบางอย่างจึงไม่ต้องการติดต่อกับครอบครัว ถ้าจู่ ๆ เธอก็เล่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเองให้เขาฟัง และบอกว่าหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนกำลังจะย้ายมาอยู่ที่ไห่เฉิง จะเป็นอย่างไรถ้าหลินจินซานคิดจะหลบเลี่ยงพวกเธอ ถ้าเขาหนีไปอีกครั้ง คราวนี้การได้เจอเขาอีกครั้งจะยิ่งเป็นเรื่องยาก
เฉินเจียเหอมองเธอแล้วพูดว่า “ช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อย หัวรถจักรคันใหม่ยังอยู่ในขั้นตอนการแก้ไขจุดบกพร่อง ชั่วโมงการทำงานเลยยาวนานกว่าปกติ และผมอาจต้องทำงานล่วงเวลาตอนกลางคืน ถ้าคุณเจรจากับพวกเขาไม่ลงตัว ผมจะขอให้ถังจวิ้นเฟิงไปช่วยคุณจัดการอีกแรง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจัดการเองได้ พรุ่งนี้คุณช่วยโทรหาคุณลุงหน่อย ถามถึงสถานการณ์ฝั่งแม่ฉัน ถ้าการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานของทางตำรวจเสร็จสิ้น ฉันอยากให้พวกหล่อนเดินทางมาที่นี่โดยเร็วที่สุด”
เธออยากทำให้หลิวกุ้ยอิงประหลาดใจ
“ได้”
เฉินเจียเหอดูเหนื่อยล้ามาก แต่ก็ยังถือจานเข้าไปล้างหลังกินข้าวเสร็จ แต่หลินเซี่ยหยุดไว้
“ฉันล้างเองค่ะ คุณไปพักผ่อนเถอะ”
พอเธอออกมาหลังจากล้างจานเสร็จ เฉินเจียเหอก็นอนหลับไปบนเตียงแล้ว
ไม่ได้ถอดรองเท้าออกด้วยซ้ำ
หลินเซี่ยถอดรองเท้าและถุงเท้าออกให้เขา ด้วยกลัวว่าจะเป็นการปลุกให้เขา ดังนั้นเธอจึงไม่ถอดเสื้อผ้าให้ แต่ค่อย ๆ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเขาแทน
จากนั้นก็หยิบถุงเท้าเข้าห้องน้ำไปซัก แล้วเอาไปตากให้แห้ง
สุดท้ายก็หยิบชุดลายพรางทหารของหู่จือมารีด
เด็กคนนั้นต้องอยากใส่ชุดนี้ไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนเมื่อเปิดเทอมแน่
…
เสิ่นเสี่ยวเหมยกลับไปอยู่ที่บ้านของพ่อแม่ เฉินเจียซิ่งพยายามไปง้อหล่อนหลายครั้งแต่ไม่เคยได้อะไรกลับมา มีเพียงการยื่นคำขาดแค่คำเดียวจากหล่อนว่าถ้าตระกูลเสิ่นมีหลินเซี่ย หล่อนก็จะไม่อยู่ที่นั่น
ตอนแรกหล่อนคิดว่าตราบใดที่มีถังหลิงอยู่ใกล้ ๆ หล่อนก็สามารถยืมดาบฆ่าคนได้
สิ่งที่ทำให้หล่อนงงเป็นไก่ตาแตกก็คือท่าทางที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของถังหลิง หล่อนกลายเป็นคนเก็บตัวทันทีหลังจากเผชิญหน้ากับหลินเซี่ย
ถ้าเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ยอมกลับ หน้าที่การงานของเฉินเจียซิ่งก็จะคาราคาซังไม่รู้จบ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขอกำลังเสริม ขอให้โจวลี่หรงไปที่ตระกูลเสิ่นด้วยกัน
เดิมทีเขาต้องการให้เฉินเจิ้นเจียงพ่อของเขาออกหน้า แต่เฉินเจิ้นเจียงกลับไล่ตะเพิดท่าเดียว
หลังมื้อเย็น โจวลี่หรงและเฉินเจียซิ่งก็ไปที่ประตูบ้านตระกูลเสิ่นพร้อมกับของขวัญเต็มมือ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่หลินมีปมอะไรในใจนะถึงต้องการพิสูจน์ตัวเองแล้วไม่ยอมกลับบ้าน
รู้สึกเวทนาป้าจังค่ะ ต้องตามไปง้อสะใภ้ให้ลูกชายถึงบ้านแม่เขา
ไหหม่า(海馬)