บทที่ 109 เมื่อไฟชีวิต สาดส่องวังสวรรค์

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 109 เมื่อไฟชีวิต สาดส่องวังสวรรค์

คืนนี้ สวี่ชิงได้รับมาเต็มที่

เขาจับหอยโบราณมาประมาณเจ็ดร้อยกว่าตัว

ตอนนี้เมื่อมองไปยังหอยโบราณที่ถูกแช่แข็งแต่ละตัวในถุงเก็บของ สมองของสวี่ชิงก็ปรากฏตำรับพิษที่ใช้ของสิ่งนี้ปรุงร่วมกันถึงหกเจ็ดชนิด และพลานุภาพของทุกชนิดก็ไม่ธรรมดา

‘ยังมีแมงดาพรายปรารถนาของข้าอีก ถ้าผสานเข้ากับหอยโบราณ และถ้าจะให้ดีหากประกอบเข้ากับสมุนไพรเพียบพร้อมหยินหยางบางชนิดเข้าไปด้วย…บางทีอาจจะหลอมเอาผงพิษที่สังหารได้กระทั่งผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานเลยกระมัง’

สวี่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองคิดจะดูมองโลกในแง่ดีไปเสียหน่อย เขาหวนระลึกถึงตอนศึกที่สู้กับบรรพจารย์สำนักวัชระ ความสามารถต้านทานพิษของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก คิดดูแล้วนี่ก็ไม่ใช่ตัวอย่าง

และจากการผสานกันของแมงดาพรายปรารถนากับหอยโบราณ น่าจะหลอมยาที่ดึงดูดสัตว์ร้ายออกมาได้ แน่นอนว่าพอมีหอยโบราณอยู่ จึงสามารถปรับระดับความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของแรงดึงดูดได้

“ดังนั้นข้าต้องการพิษที่แรงกว่า!” ในดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกายเย็น หลังจากเตรียมตัวเสร็จเขาจะหาโอกาสเดินเรือออกทะเล ไปตามหาของมีพิษที่สร้างความแข็งแกร่งให้แก่วิถีพิษของตนเองเสียหน่อย

คิดถึงจุดนี้ เขาก็ถอนสายตาจากถุงเก็บของ หยิบแผ่นหยกสามแผ่นข้างๆ ที่ติงเสวี่ยมอบให้ขึ้นมา หลังจากถ่ายพลังวิญญาณลงไปก็เริ่มอ่าน

ครู่ต่อมา สี่หน้าสวี่ชิงก็ประหลาดไปเล็กน้อย พึมพำออกมาเสียงต่ำ

“สร้างฐานหนึ่งร้อยวัน?”

สวี่ชิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนำแผ่นที่สองมาอ่าน เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปหนึ่งวันเช่นนี้

ขณะที่แสงสายัณห์มาเยือนเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตอีกครั้ง ในที่สุดสวี่ชิงก็เข้าใจเนื้อหาในแผ่นหยกสามแผ่นอย่างทะลุปรุโปร่ง เวลานี้วางทุกอย่างลง นวดขมับเล็กน้อย สายตายังคงเหลือแววพรั่นพรึงอยู่

“เมื่อไฟแห่งชีวิต สาดส่องวังสวรรค์!

“สร้างช่องร้อยวัน เสร็จสิ้นฝึกบำเพ็ญ!”

สวี่ชิงพึมพำ จากเนื้อหาบนแผ่นหยก ผู้บำเพ็ญโลกใบนี้ขณะที่ทะลวงระดับรวมปราณ ในขั้นตอนยกระดับขึ้นสู่สร้างฐาน มีเรื่องที่น่ากลัวอย่างมากอยู่ด้วย

เหมือนว่ามีความชั่วร้ายที่ไม่รู้จักคอยรบกวนการทะลวงพลังบำเพ็ญ

ขณะเดียวกันช่วงเวลาในการสร้างฐานก็นานมาก ถูกขนานนามว่าสร้างฐานหนึ่งร้อยวัน

ไม่ใช่บอกว่าต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยวันจึงจะสำเร็จระดับสร้างฐาน แต่ว่าหากพอเริ่มสร้างฐานแล้ว เวลาที่นานที่สุดคือไม่เกินหนึ่งร้อยวัน และยิ่งเวลานานวันเข้าความน่ากลัวก็ยิ่งมากขึ้นตาม

ส่วนเรื่องที่น่ากลัวคือเรื่องอะไรนั้น แผ่นหยกทั้งสามชิ้นไม่ได้บอกรายละเอียด แต่เหมือนบอกไว้อย่างคลุมเครือว่าขณะที่ผู้บำเพ็ญกำลังสร้างฐาน จะดึงดูดสิ่งประหลาดมา หากพบเข้าส่วนใหญ่คือตาย และมักจะน่าเวทนาแสนสาหัส

ดังนั้น ผู้บำเพ็ญโลกใบนี้ตอนที่สร้างฐาน จะต้องคอยสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของเวลา เหมือนว่ากำลังคอยจ้องขโมยโอกาส และจะให้เจ้าของพบเข้าไม่ได้เด็ดขาด

เพื่อหลีกเลี่ยงการปรากฏตัวของความน่ากลัวนี้ในขณะเดียวกันนั้น ผู้บำเพ็ญทะลวงขั้นก็มักจะเลือกใช้อาวุธเวทพิเศษบางอย่างมาคุ้มครองตนเองให้รอดพ้นอันตราย

อาวุธเวทเหล่านี้พบเห็นได้บ่อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในครอบครองของสำนักหรือตระกูลใหญ่ๆ ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเองก็มี อยู่ในสถานที่ที่มั่นคงปลิดภัย ปกติแล้วศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตหากคิดทะลวงขั้น ก็สามารถยื่นเรื่องขอรับได้

แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็สูงมาก คิดค่าใช้จ่ายตามระยะเวลา หนึ่งชั่วยามก็เท่ากับหนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณ

ส่วนพวกผู้บำเพ็ญไร้สังกัด หรือพวกคนที่ไม่มีสถานที่สำหรับเช่ายืมอาวุทเวทมาคุ้มครอง หากพวกเขาคิดจะสร้างฐานก็จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายที่ใหญ่หลวง

อัตราความตายกับล้มเหลวสูงลิบ ดังนั้นการทะลวงขั้นที่ไม่มีอาวุธเวทคุ้มกัน จึงเป็นวิธีที่ถ้าไม่ถึงที่สุดแล้วจะไม่มีทางเลือกใช้เด็ดขาด

สวี่ชิงคิดไปถึงเสี้ยวหน้าเทพเจ้า ไม่จำเป็นต้องไปวิเคราะห์อะไร สาเหตุที่ขอบเขตการทะลวงขั้นเป็นเช่นนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับองค์ท่านแน่นอน

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาสูดลมหายใจลึก หลับตาทั้งสองลง ในสมองก็เรียบเรียงเนื้อหาของแผ่นหยกทั้งสามต่อ

หลักการสร้างฐาน คือใช้ประโยชน์จากทะเลวิญญาณที่สะสมมาทะลวงเปิดช่องเวทในร่างกาย!

ส่วนช่องเวท ก็คือจุดเก็บวิญญาณแต่ละแห่งที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย ด้านในมีพลังที่ยอดเยี่ยมอยู่ หลังจากเปิดแล้วระดับของพลังชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงไป

ระดับรวมปราณกับสร้างฐานหากมองจากแก่นก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สิ่งที่รวมปราณฝึกบำเพ็ญคือสะสมทะเลวิญญาณ แต่สิ่งที่สร้างฐานฝึกบำเพ็ญ คือคอยเปิดช่องเวทในร่างกายตนเองอย่างต่อเนื่อง

หลังจากรวมปราณขั้นบริบูรณ์ ตอนที่ทดลองเหยียบเข้าสู่ช่วงสร้างฐาน ช่วงแรกสุดคือต้องสัมผัสถึงตำแหน่งและจำนวนของช่องเวทในร่างกายตนเอง

จากนั้นใช้ทะเลวิญญาณในร่างกายเข้าปะทะกับช่องเวทช่องหนึ่งจนมันเปิดออก กลายเป็นช่องเวทช่องที่หนึ่งที่เปิดออกในร่างกาย

พลังวิญญาณจะหลั่งไหลเข้าไปในช่องเวทนี้จนเกิดเป็นกระแสวน ก่อกำเนิดพลังเวทที่เหนือกว่าพลังวิญญาณออกมากระแสหนึ่ง!

รวมปราณในร่างกายคือพลังวิญญาณ สร้างฐานในร่างกายคือพลังเวท!

ระดับของทั้งสองอย่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวลึก

และเนื่องจากพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญมากน้อยไม่เท่ากัน พลังเวทที่เกิดขึ้นจากการเปิดช่องเวทก็แตกต่างเช่นกัน ตอนรวมปราณพลังวิญญาณยิ่งมากเท่าไร พลังเวทก็จะยิ่งเยอะตามเท่านั้น และในข้อได้เปรียบนี้ทุกครั้งที่ช่องเวทปรากฏออกมา หลังจากสะสม ความห่างชั้นก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกเหนือจากนี้ จุดสำคัญของที่นี่ก็คือการสัมผัส

หากคิดจะเปิดช่องเวท จำเป็นต้องหาตำแหน่งของช่องเวทให้เจอก่อน หากคิดจะเปิดให้มากขึ้น ก็จำเป็นต้องสัมผัสจำนวนของช่องเวทให้มากขึ้น บทบาทของลูกกลอนสร้างฐานอยู่ที่นี่นั่นเอง

สิ่งนี้จะตัดสินว่าอนาคตจะเดินไปได้ไกลเท่าไร ดังนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญแล้วจึงสำคัญอย่างมาก

ส่วนไอพลังประหลาดคืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการสัมผัสหาช่องเวท

ในโลกที่กลิ่นอายเทพเจ้ารุกล้ำเข้ามา นอกจากส่วนหนึ่งที่น้อยมากๆ แล้ว ในร่างกายสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ล้วนมีไอพลังประหลาดแฝงไว้ในระดับที่แตกต่างกัน

ถ้าผู้บำเพ็ญตอนสร้างฐานได้รับผลกระทบจากไอพลังประหลาด ช่องเวทก็จะยิ่งซ่อนลึกลงไปอีก

ตามปกติ หากสัมผัสได้แปดสิบช่อง ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

ถ้าหากสัมผัสได้ถึงเก้าสิบช่องก็ถือว่าโดดเด่น เรื่องนี้มีเพียงศิษย์สำนักใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำได้

และการสัมผัสช่องเวทก็เหมือนกับควานหาของในความมืด ดังนั้นจึงมีเรื่องที่น่ากลัวอย่างการถูกจับตามองจากตัวตนประหลาดบางอย่าง

ดังนั้นจึงมีคำพูดที่ว่าสร้างช่องร้อยวัน เสร็จสิ้นฝึกบำเพ็ญออกมา

ส่วนขีดจำกัดของจำนวนช่องเวท คือหนึ่งร้อยยี่สิบช่อง แต่นี่เป็นเพียงขีดจำกัดทางทฤษฎี คนที่ทำได้มีอยู่น้อยถึงน้อยมาก

ในแผ่นหยกเองก็เอ่ยถึงสถานที่ต้นกำเนิดเผ่ามนุษย์อย่างแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นั้นมีแต่คนที่ใช้วิธีการพิเศษทำให้ร่างกายของตนบริสุทธิ์จนไม่มีไอพลังประหลาดเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย จึงจะมีคุณสมบัติไปทดสอบ

แต่ก็จำเป็นต้องมีพลังวิญญาณมหาศาลคอยค้ำจุน ถึงอย่างไรต่อให้ไม่มีไอพลังประหลาด แต่ความแตกต่างทางด้านคุณสมบัติ ก็ยังส่งผลกระทบถึงการสัมผัสด้วย

และคนแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนมีเบื้องหลังกับพลังกายที่น่ากลัวอย่างมาก พวกเขามักจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สำนักใหญ่และตระกูลเก่าแก่จากสถานที่ต้นกำเนิดเผ่ามนุษย์ชุบเลี้ยงออกมาเพื่อเดินในเส้นทางของเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ

แม้เจ็ดเนตรโลหิตจะแข็งแกร่ง แต่ก็แค่ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเท่านั้น มีเพียงพันธมิตรเจ็ดสำนักที่อยู่เหนือขึ้นไป ถึงพอจะเรียกว่าเป็นสำนักยิ่งใหญ่ไพศาลในสถานที่ต้นกำเนิดเผ่ามนุษย์ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้

ดังนั้นในเจ็ดเนตรโลหิตจึงยังไม่มีศิษย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว

“ไม่มีแม้แต่คนเดียว…” สวี่ชิงละสายตาจากแผ่นหยก เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าดำมืด ท้องฟ้าวันนี้ดำมืดกว่าที่ผ่านมา แต่ก็ยังมองเห็นดวงดาวเจิดจ้าส่องสว่างอยู่หลายดวง

มองไปยังดวงดาวเหล่านั้น หัวสมองสวี่ชิงก็ปรากฏคำบรรยายช่วงที่สองของระดับสร้างฐานในแผ่นหยก

ช่วงที่หนึ่งคือ สัมผัสช่องเวท

ช่วงที่สอง ทะลวงช่องเวทที่หนึ่ง สร้างพลังเวท พลังเวทจะไหลเวียนไปทั้งร่าง เปลี่ยนแปลงระดับพลังชีวิต!

จนถึงจุดนี้ จะถือว่าสร้างฐานสำเร็จ

การฝึกบำเพ็ญหลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับวิชาที่แตกต่างกัน จากวิธีการของสำนักต่างๆ ทะลวงช่องเวทไปทีละช่อง หลังจากทะลวงไปสามสิบช่องเวท พลังเวทที่แผ่ออกมาจากทั้งสามสิบช่องเวท จะก่อตัวขึ้นเป็นไฟชีวิตดวงที่หนึ่งของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐาน

หลังจากเปิดไปหกสิบช่องเวท ก็จะก่อขึ้นเป็นไฟชีวิตดวงที่สอง

เก้าสิบช่องเวท ปรากฏไฟชีวิตดวงที่สาม

พอถึงตอนนี้ก็สามารถทดสอบทะลวงขั้นสู่ระดับแก่นลมปราณได้แล้ว ส่วนเรื่องไฟชีวิตดวงที่สี่ จำเป็นต้องมีโอกาสและพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่จึงจะทำได้

และเมื่อไฟชีวิตปรากฏ ต่อให้มีแค่ดวงเดียว ก็เพียงพอที่จะปกคลุมไปทั้งร่าง เหมือนกับเพลิงดารายามค่ำคืน ส่องสว่างไปยังวังสวรรค์

ขณะเดียวกันระดับสร้างฐานที่มีการก่อตัวของไฟชีวิตและไม่มีการก่อตัวของไฟชีวิต เป็นตัวตนที่ต่างชั้นกันอย่างสมบูรณ์

เพราะนี่ข้องเกี่ยวไปถึงความสามารถอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐาน นั่นคือการเปิดสภาวะแสงนภา

สิ้นเปลืองไฟชีวิตอย่างมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ปะทุออกมาพลานุภาพก็น่าตกตะลึงสุดแสน ดังนั้นปกติจะอยู่ในสภาวะมอดดับ มีเพียงตอนที่ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานจะทุ่มสุดกำลังเข้าปะทะเท่านั้นจึงจะจุดมันขึ้นมาได้

เมื่อจุดขึ้นมา พลังต่อสู้ในร่างกายจะเพิ่มสูงมหาศาล สภาวะนี้จะสูงกว่าช่วงปกติอยู่มาก ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าสภาวะแสงนภา

ปกติแล้ว ช่องเวทที่ก่อขึ้นจากทะเลวิญญาณหนึ่งร้อยจั้ง ตอนเปิดช่องที่สามสิบ หลังจากกลายเป็นไฟชีวิตแล้ว จะสามารถรักษาสภาวะแสงนภาได้หนึ่งพันแปดร้อยอึดใจ

ทุกอึดใจล้วนสิ้นเปลืองพลังเวทมหาศาล

สูดชิงสูดลมหายใจลึก สะกดความรู้สึกนึกคิดเรื่องสร้างฐานในสมองลง

ข้อมูลที่ติงเสวี่ยมอบให้ครบถ้วนมาก แต่ด้วยนิสัยระแวดระวังของสวี่ชิง แม้จะเป็นไปได้ว่าไม่ได้หลอกลวง แต่เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด ไว้รอยืนยันภายหลัง

นอกจากนี้ แม้ทะเลวิญญาณก่อนหน้าของเขาจะไปถึงสองร้อยเจ็ดสิบจั้ง แต่สวี่ชิงสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าช่วงนี้ทุกครั้งที่ตนเองฝึกบำเพ็ญลมหายใจ ทะเลวิญญาณล้วนกำลังขยายออก ตอนนี้ไปอยู่ระดับสองร้อยเก้าสิบจั้งแล้ว

และนี่ยังดูห่างจากขีดจำกัดของตนเองอีกไกลโข เคล็ดคีรีสมุทรเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นสวี่ชิงจึงคิดว่าหลังจากตนเองฝึกบำเพ็ญทะเลวิญญาณในร่างกายไปจนถึงขีดจำกัด แล้วค่อยไปต่อยังระดับสร้างฐาน

แต่ว่าการเตรียมตัวส่วนหนึ่งก่อนไประดับสร้างฐาน อย่างเช่นลูกกลอนสร้างฐาน สวี่ชิงรู้สึกว่าสามารถคิดหาวิธีสะสมหินวิญญาณไปซื้อเอาได้

‘แม้ข้าจะไม่มีไอพลังประหลาด แต่ก็ยังต้องเตรียมลูกกลอนสร้างฐานไว้เพื่อความปลอดภัย จะให้ดีที่สุดคือเตรียมไว้สองเม็ด แต่ราคาก็แพงเหลือแสน’ สวี่ชิงเปิดถุงเก็บของ หลังจากคำนวณครู่หนึ่งก็กลัดกลุ้มขึ้นมา ขาดอยู่ไม่น้อยเลย

‘นอกจากนี้การเช่ายืมสถานที่ที่มอบการป้องกันในการสร้างฐาน แม้ค่าใช้จ่ายจะยังคงน่าตกตะลึง แต่แผ่นหยกก็บรรยายไว้ว่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสนับสนุนให้ศิษย์สร้างฐาน สามารถกู้แบบมีดอกเบี้ยในสถานที่สร้างฐานได้ ค่าเช่าหนึ่งร้อยวันตีว่าสามารถใช้รายรับสามปีหลังจากสำเร็จสร้างฐาน จ่ายคืนทั้งต้นทั้งดอกได้’

‘แต่ลูกกลอนสร้างฐานจำเป็นต้องเตรียมเอง…’ สวี่ชิงครุ่นคิด เขาปวดใจกับดอกเบี้ยเงินกู้ หากคำนวณเช่นนี้ ดอกเบี้ยจะสูงเท่าครึ่งหนึ่งของเงินต้นเลย

‘หนึ่งเดือนห้าพันก้อนหินวิญญาณ สามปีก็คือหนึ่งแสนแปดหมื่นก้อนหินวิญญาณ แต่ค่าเช่าหนึ่งร้อยวันคือแสนสองหมื่น ไม่คุ้มเอาเสียเลย” สวี่ชิงถอนหายใจ เขาพบว่าจะสร้างฐานทั้งทียากเย็นเหลือเกิน

ในใจเวลานี้จู่ๆ ก็เข้าใจเลยว่าทำไมนายกองจึงพูดว่า มีศิษย์มากมายล้วนสะกดพลังบำเพ็ญไว้ไม่ไปทะลวงขั้น ล้วนวางเป้าหมายเอาไว้ในการแข่งขันครั้งใหญ่

ตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่หินวิญญาณจะไม่เพียงพอ คงต้องรอจากการแข่งขันเสียแล้ว

ดังนั้นสวี่ชิงจึงเฝ้ารอการแข่งขันครั้งใหญ่แห่งยอดเขาลำดับเจ็ดถัดจากนี้อย่างแรงกล้า

ครู่ต่อมา เขาสูดลมหายใจลึก หลับตาทั้งสองลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ

หนึ่งคืนผ่านไป เช้าตรูวันที่สอง สวี่ชิงที่กำลังฝึกบำเพ็ญอย่างเต็มกำลังตามปกติ จู่ๆ ก็ใจสั่นสะเทือน เปิดตาโพลงเดินออกจากห้องเรือ ขณะที่มองไปบนท้องฟ้า พลังบำเพ็ญในร่างกายเขาก็ไหลเวียน พลังวิญญาณแผ่ออกไปรอบๆ

แทบจะพริบตาที่เขามองไป สายรุ้งยาวเส้นหนึ่งก็บินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือเรือเวทของสวี่ชิง เข้าประชิดในพริบตา

และเหมือนว่าเดิมทีอีกฝ่ายไม่คิดจะหยุดเลย แต่ตั้งใจจะเหยียบเข้ามาในเรือโดยไม่สนเกราะคุ้มกันเรือเวทของสวี่ชิง

ทว่าหลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิงเดินออกมาแล้ว สายรุ้งยาวนี้ก็ส่งเสียงเอ๋ขึ้น หยุดค้างอยู่กลางอากาศเหนือเรือเวท เผยให้เห็นร่างของผู้บำเพ็ญกลางคนคนหนึ่งในนั้น

เป็นชายกลางคนในชุดคลุมเต๋าสีม่วงเข้ม พลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานทั้งตัวชัดเจนมาก เขายืนอยู่กลางอากาศก้มหน้าลงมองสวี่ชิงในเกราะคุ้มกัน ในสายตามีแววประหลาดใจแล่นผ่าน

“คารวะผู้ดูแลหลี่”

สวี่ชิงสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับระมัดระวังอย่างมาก รีบวิเคราะห์การมาถึงของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

เขาจำสถานะของอีกฝ่ายได้ เขาคือผู้ที่เปี่ยมด้วยบารมีที่อยู่ข้างกายผู้อาวุโสเจ้าที่มาพาเจ้าจงเหิงกลับไปเมื่อตอนเกิดเรื่องที่กรมเคลื่อนย้ายวันนั้น

“น่าสนใจ นี่ฝึกบำเพ็ญจนมาถึงรวมปราณขั้นบริบูรณ์ที่พร้อมจะทะลวงขั้นได้ทุกเวลาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยหรือนี่”

ผู้ดูแลหลี่มองสวี่ชิงกลางอากาศ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม ท่าทีดูดีกว่าก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าไม่ต้องคิดมาก ที่มาครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสเจ้าให้มาเชิญเจ้าไปพบ จะไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องยักษ์ลากราชรถที่เจ้ารายงานไปก่อนหน้านี้ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น เจ้าวางใจได้!”

ผู้ดูแลหลี่มองความระแวดระวังของสวี่ชิงออก เขาไม่ใช่ระดับสร้างฐานที่ยกระดับมาจากศิษย์หลัก แต่เป็นคนที่ล่าสังหารจากด้านล่างภูเขาล้มลุกคลุกคลานปีนขึ้นไป ดังนั้นจึงเข้าใจเหล่าลูกหมาป่าด้านล่างภูเขาเป็นอย่างดี

ถ้าหากเป็นศิษย์คนอื่น เขาก็จะไม่สนใจ แต่สำหรับศิษย์ที่พร้อมจะทะลวงขั้นตลอดเวลาและมีความเป็นไปได้มากว่าจะสำเร็จสร้างฐาน ท่าทีของเขาจึงแตกต่างออกไป

————————————–