ตอนที่ 95 หยินหยางมิอาจอยู่ร่วม

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 95 หยินหยางมิอาจอยู่ร่วม

เหมิงซานหมิงรับฟังอย่างตั้งใจ พอฟังจบก็เอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิดตรึกตรอง “เป็นบุคคลที่มีความสามารถยิ่งนัก เพียงแต่วิธีการไม่ค่อยซื่อตรงโปร่งใส คนผู้นี้มีทั้งคุณธรรมและความชั่วร้าย! ทว่าในโลกอันโกลาหลวุ่นวาย ซื่อตรงเกินไปก็ไม่อาจผดุงความยุติธรรมได้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำคนมีความสามารถหลุดมือไปคนหนึ่ง แต่มันกลับเป็นการช่วยเหลือท่านอ๋องอย่างมาก เฮ้อ! น่าเสียดายความมานะทุ่มเททั้งหมดของท่านตงกัว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์นับว่าตกต่ำลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว…ท่านอ๋องได้รับความอยุติธรรมเสียแล้ว!”

เขาหันมองป้ายวิญญาณของหนิงอ๋องที่ตั้งอยู่ภายในโถง ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าบุตรชายของหนิงอ๋องผู้สูงศักดิ์จะตกต่ำถึงขั้นต้องพึ่งใบบุญเฟิ่งหลิงปอ เกรงว่าถึงแม้นจะลดศักดิ์ลงไปแต่งกับธิดาเฟิ่งหลิงปอแล้วก็ยังคงถูกผู้อื่นดูแคลนอยู่ดี รู้สึกว่าซางเฉาจงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

หลังจากนั้นซางซูชิงก็เล่าแผนยึดครองจังหวัดชิงซานที่ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงวางขึ้นมาให้เขาฟัง นี่มิใช่เจตนาของตัวนางเอง หากแต่เป็นเพราะซางเฉาจงและหลานรั่วถิงเคยสั่งนางไว้ก่อนออกเดินทาง พวกเขาอยากฟังความเห็นจากเหมิงซานหมิง ก็เหมือนอย่างที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ การส่งสารผ่านปีกทองอาจจะไม่ปลอดภัย เรื่องราวสำคัญบางอย่างไม่สะดวกลงรายละเอียดในจดหมาย

อีกทั้งเหมิงซานหมิงเคยเป็นแม่ทัพเอกใต้สังกัดหนิงอ๋อง มีกลยุทธ์ด้านการศึกในแบบของตนเอง พวกซางเฉาจงจึงอยากขอความเห็นจากเขา

เหมิงซานหมิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ ว่า “กระหม่อมปลีกตัวจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานานมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กระหม่อมเองก็ยากจะบอกอะไรได้ ท่านหญิงโปรดให้เวลากระหม่อมได้ไตร่ตรองหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”

เขาสอบถามเรื่องราวอื่นๆ อีกเล็กน้อย ก่อนจะให้คนพาซางซูชิงไปอาบน้ำพักผ่อน

จากนั้นรถเข็นถูกเข็นไปที่ห้องหนังสือ เหมิงซานหมิงเขียนจดหมายลับฉบับหนึ่งด้วยตัวเอง สั่งให้คนปล่อยปีกทองไปส่งข่าวให้ทางซางเฉาจง แจ้งให้ทราบว่าซางซูชิงมาถึงโดยสวัสดิภาพแล้ว ขอให้ทางซางเฉาจงวางใจ

……

ยามสนธยา หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่มองดูพระอาทิตย์ตกดินอยู่ภูเขามีสีหน้าสงบราบเรียบ ไม่มีผู้ใดทราบว่าภายในใจเขาคิดอะไรอยู่

ซานหู่และชายหนุ่มอีกคนที่มีนามว่าลู่ต้าเซิ่งเดินขึ้นเขามา เข้ามาทำความเคารพหนิวโหย่วเต้าพร้อมกัน “ฝ่าซือ!”

หนิวโหย่วเต้าหันหลังกลับไป เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คืนนี้พวกเจ้าเข้าเวรหรือ?”

ซานหู่เอ่ยตอบ “คืนนี้พวกเราเฝ้ายามกะแรกขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าสั่งกำชับ “พวกเจ้าเฝ้ายามตามหน้าที่ของพวกเจ้าไป แต่จงจำไว้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าจะเห็นหรือได้ยินอะไรก็ห้ามเคาะระฆังเตือนภัยเด็ดขาด”

ทั้งสองพยักหน้ารับ ก่อนมาที่นี่พวกเขาได้รับคำสั่งมาจากด้านล่างภูเขาแล้วว่าให้ทั้งสองเชื่อฟังหนิวโหย่วเต้า

ดวงตะวันสีแดงเคลื่อนคล้อยลงไปในปลายอีกด้านของภูเขา ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสลัวลง

จันทราลอยอยู่บนนภา หนิวโหย่วเต้านั่งบนโขดหินนอกศาลา มือหนึ่งจับกระบี่ไว้ หลับตาสงบนิ่ง คล้ายว่าผล็อยหลับไปอย่างไรอย่างนั้น

สายลมบริสุทธิ์ จันทราส่องสกาว แมลงส่งเสียงระงม มีเสียงร้องของนกเค้าแมวแว่วขึ้นเป็นระยะ มีเสียงซ่าๆ แว่วเลือนรางมาจากทางน้ำตกที่อยู่ห่างออกไป

ราตรีมืดสลัว แสงตะเกียงจากหมู่บ้านตรงเชิงเขาสอดรับกับหมู่ดาวบนฟากฟ้า

หากเป็นเวลาปกติ ชายหนุ่มทั้งสองคงจะพูดคุยเฮฮาฆ่าเวลาระหว่างเฝ้ายามกะดึกอยู่ที่นี่ แต่วันนี้มีหนิวโหย่วเต้าอยู่ด้วย ทั้งสองย่อมต้องรู้สึกอึดอัดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่กล้าเดินเหินวุ่นวาย แล้วก็ไม่กล้าพูดคุยส่งเดช ด้วยกลัวว่าจะรบกวนหนิวโหย่วเต้า

อีกทั้งชายหนุ่มทั้งสองก็ไม่เข้าใจว่าหนิวโหย่วเต้ามานั่งนิ่งๆ อยู่ที่นี่ทำไม

สองชั่วยามผ่านไป ล่วงเข้ายามดึก มีคนอีกสองคนมาเปลี่ยนเวร ก่อนจากไปพวกซานหู่ทั้งสองคนได้กระซิบถ่ายทอดคำสั่งของหนิวโหย่วเต้าให้คนที่มารับเวรต่อรับทราบ

คนที่มารับเวรต่อก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้ามานั่งอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร

เวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงคืน พลันมีเสียงดัง ปัง! ที่อึกทึกครึกโครมผิดปกติแว่วมาจากในถ้ำที่อยู่ไม่ไกล

มีเสียงโครมครามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง คล้ายจะดังมาจากส่วนลึกของถ้ำ เสียงโครมครามที่ลอยออกมาด้านนอกไม่ดังนัก แต่ช่วงกลางดึกเงียบสงัด คนด้านนอกจึงได้ยินอย่างชัดเจน

หนิวโหย่วเต้าที่นั่งนิ่งพลันลืมตาขึ้น ถือกระบี่ลุกขึ้นมา พุ่งทะยานออกไป เคลื่อนกายร่อนลงตรงปากถ้ำ ขณะที่กำลังจะเข้าไป เขากลับพบว่าเสียงโครมครามด้านในเงียบไปแล้ว จึงตะโกนเข้าไปในถ้ำทันที “เจ้าหมี!”

มีเสียงตอบรับของหยวนฟางแว่วลอยมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว “เต้าเหยี่ย จับได้แล้วขอรับ!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง หยวนฟางคุมตัวคนผู้หนึ่งออกมาจากด้านใน เป็นชายชราชุดขาวผมเผ้ากระเซอะกระเซิงคนหนึ่ง

ทว่าชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ในศาลากลับมองไม่เห็นชายชราชุดขาวคนนี้ เห็นเพียงแต่ว่าหยวนฟางที่ออกมาจากถ้ำมีท่าทางแปลกประหลาด คล้ายว่าฉุดดึงอะไรบางอย่างออกมาด้วย

“จับได้แล้วขอรับ!” หยวนฟางที่ออกมาจากถ้ำกล่าวรายงานอย่างดีใจ “ไม่มีฝีมือแล้วยังกล้าทำชั่วอีก เป็นไปตามที่เต้าเหยี่ยคาดการณ์ไว้ เขากำลังออกมาสำรวจทางออกนี้จริงๆ ด้วยขอรับ ข้าแอบอยู่ด้านข้าง เดิมทีคิดไว้ว่าจะรอให้เขาออกมาแล้วค่อยสกัดทางหนีของเขา แต่ผู้ใดจะทราบว่าผีเฒ่าตนนี้กลับระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะคอยตรวจสอบมาตลอดทาง แม้แต่จุดที่ข้าซ่อนตัวอยู่ก็ไม่ปล่อยผ่านเช่นกัน ข้าไม่มีทางเลือก จึงได้แต่ต้องเผยตัวแล้วลงมือทันที”

หนิวโหย่วเต้าใช้เนตรทิพย์พินิจดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นถามว่า “เจ้าทำลายคบเพลิงระหว่างทางใช่หรือไม่?”

ชายชราชุดขาวตอบด้วยความหวาดผวา “ฝ่าซือไว้ชีวิตด้วย! ฝ่าซือไว้ชีวิตด้วย! ข้าน้อยไม่กล้าทำอีกแล้ว!”

หนิวโหย่วเต้าถามอีกครั้ง “พรรคพวกของเจ้าอยู่ไหน?”

ชายชราชุดขาวผงะไปเล็กน้อย ตอบด้วยความหวาดกลัว “ไม่มีพรรคพวก ไม่มีพรรคพวกขอรับ มีข้าน้อยคนเดียว ฝ่าซือ ข้าน้อยไม่กล้าทำแล้วจริงๆ ขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อไป “เจ้าเข้าไปในเส้นทางใต้ดินได้อย่างไร?”

ชายชราชุดขาวเอ่ยตอบอย่างตัวสั่นงันงกว่า “หลายปีก่อนถูกคนตามสังหาร ขณะที่มาซ่อนตัวในภูเขาบังเอิญพบถ้ำแห่งหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมุดเข้าไป…” เขาพล่ามเป็นคุ้งเป็นแคว

หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจจะฟังเขาพล่ามต่อ หันหลังกลับไป ยันกระบี่ไว้บนพื้น เอ่ยสั่งการ “เจ้าหมี กลับไปเฝ้าข้างในต่อ ถ้าพบว่าเขายังมีพรรคพวกอยู่ แต่กล้ามาหลอกลวงพวกเรา ก็จัดการเขาได้ทันที!”

ชายชราชุดขาวกล่าวว่า “ฝ่าซือ ข้าน้อยรับรองขอรับ ไม่มีพรรคพวกจริงๆ หากว่ามี ข้าน้อยยอมให้ฆ่าแกง!”

พลันเกิดเสียงดัง ชิ้ง! หนิวโหย่วเต้าชักกระบี่ออกจากฝัก ประกายแสงเยียบเย็นสายหนึ่งส่องวาบใต้แสงจันทรา

“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนดังก้อง

ฟุ่บ! กระบี่ยาวสาดแสงแล้วหายลับไป กลับเข้าฝักที่ตั้งอยู่บนพื้น หนิวโหย่วเต้าประคองกระบี่หันหลังให้ เหมือนไม่เคยขยับเขยื้อนตัวมาก่อน สีหน้าที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ดูสุขุมเยือกเย็น

หยวนฟางสะดุ้งโหยง คิดไม่ถึงว่าเต้าเหยี่ยจะลงมือสังหารกะทันหัน เขาปล่อยมือจากชายชราคนนั้น เพราะถ้าไม่ปล่อยก็คงไม่เหมาะ เนื่องจากชายชราชุดขาวถูกหนิวโหย่วเต้าฟันขาดเป็นสองท่อนแล้ว มองเห็นเพียงควันที่ลอยม้วนออกมา ไร้ซึ่งโลหิตใดๆ

แต่เมื่อฉากนี้ปรากฏต่อสายตาของชายหนุ่มทั้งสองที่เฝ้ายามอยู่ในศาลา กลับกลายเป็นว่าพอหนิวโหย่วเต้าตวัดกระบี่ฟันพลันมีเสียงกรีดร้องโหยหวนแว่วขึ้นมา จากนั้นคนชุดขาวผู้หนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วล้มลงบนพื้น

ภายใต้แสงจันทร์ ชายชุดขาวที่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนคล้ายยังคงชักกระตุกอยู่ มีควันสีดำผุดออกมาจากร่างที่กองอยู่บนพื้น ซากศพสลายเป็นเถ้าธุลีปลิดปลิวไปอย่างรวดเร็ว เลือนหายไปไม่เหลือร่องรอย

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้คนที่อยู่ในศาลาตัวสั่นระริกทั้งที่ไม่รู้สึกหนาว รับรู้แล้วว่าสิ่งที่หนิวโหย่วเต้าสังหารคืออะไร ไม่คิดเลยว่าบริเวณที่เฝ้ายามเป็นประจำจะมีผีอยู่ พอนึกย้อนไปก็หวาดผวาขึ้นมา

เมื่อเถ้าธุลีปลิดปลิวและควันดับมอดไปหมดแล้ว หนิวโหย่วเต้าที่เอียงคอจ้องมองเหตุการณ์บนพื้นถึงจะเหลียวหน้ามองไปทางหมู่บ้านในหุบเขา สีหน้าสงบราบเรียบ

ในเวลาปกติ เขาไม่ค่อยชอบลงมือต่อสู้ด้วยตัวเอง และไม่ชอบลงมือสังหารผู้ใด เรื่องพวกนี้หากทำมากเข้าจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของตนได้ง่ายๆ เมื่อไรก็ตามที่ยอดนักสู้เคยชินกับความรวดเร็วเรียบง่ายของการไม่ใช้สมองแล้ว พวกเขามักจะควบคุมอารมณ์ชั่ววูบของตนไม่ได้ จึงมักจะชอบใช้กำลังแก้ปัญหาอยู่ร่ำไป

มีประโยคหนึ่งที่เขาพูดอยู่เสมอ ควบม้าย่ำทั่วหล้า ลมก็ดี ฝนก็ช่าง ไม่อาจขัดขวางข้าได้!

เมื่อออกท่องโลก อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น หากปรองดองได้ก็ปรองดองไว้ดีกว่า ถ้าเอาแต่ต่อสู้ฆ่าฟัน สักวันอาจเจอผู้แข็งแกร่งที่สู้ไม่ไหวจนพลาดท่าเอาได้

การที่เขาไม่กระหายเลือด ไม่ชอบต่อสู้ฆ่าฟัน ไม่ได้แปลว่าเขาทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ และไม่ได้แปลว่าเขาทำเรื่องพวกนี้ไม่เป็น!

หยวนฟางไม่ค่อยเข้าใจนัก เมื่อครู่ยังบอกให้เขากลับไปจับตามองว่ามีพรรคพวกอะไรทำนองนั้นหรือไม่อยู่เลย แล้วเหตุใดถึงหันกลับมาสังหารเจ้าผีร้ายตนนี้เสียเล่า? การที่เต้าเหยี่ยเอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ ออกจะน่ากลัวไปเสียหน่อย!

แต่หยวนฟางไม่ได้รู้เลยว่าหากเมื่อครู่ผีร้ายตัวนี้ยอมรับว่ายังมีพรรคพวกอยู่หรือว่าปิดปากแน่นไม่ยอมบอกอะไร หนิวโหย่วเต้าก็คงจะยังไม่ฆ่าเขา หากแต่จะต้องหาทางกำจัดพรรคพวกของเขาให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ใครจะไปรู้ว่าผีร้ายตัวนี้กลับกล้ารับรองถึงขั้นยอมให้ฆ่าตนเองเพื่อยืนยันว่าตนไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิดแน่นอน กระทั่งจะให้หยวนฟางกลับไปเฝ้าก็ยังไม่อาจขู่ขวัญได้ แล้วหนิวโหย่วเต้าจะเก็บเขาไว้อีกทำไม?

สถานการณ์ในเวลานี้แตกต่างไปจากตอนที่เขาเลือกเก็บหยวนฟางไว้ ตอนนี้หนิวโหย่วเต้าไม่มีใจจะมานั่งจัดการอย่างค่อยเป็นค่อยไป และไม่มีเวลาสำหรับค่อยๆ ศึกษาว่าลักษณะนิสัยใจคอของผีตนนี้เป็นเช่นไร แล้วก็ไม่มีเวลาออกไปค่อยๆ ตามหาด้วย ประกอบกับหยินหยางมิอาจอยู่ร่วม จึงตัดสินใจสังหารทิ้งไปเสีย!

หยวนฟางหันกลับไปมองถ้ำแห่งนั้น ลองสอบถามดู “เต้าเหยี่ย ข้าต้องไปเฝ้าด้านในต่อหรือไม่ขอรับ?”

“ไม่ต้องแล้ว” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นก็กวักมือเรียกคนที่อยู่ในศาลา

ชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ในศาลารีบวิ่งเข้ามาหา ทำความเคารพทั้งที่ในใจยังหวาดผวาอยู่ “ฝ่าซือ!”

หนิวโหย่วเต้าสั่งการว่า “ใครก็ได้ ไปขอให้แม่ทัพหลัวพาคนมาที่นี่สักสี่ห้าคนที”

“ขอรับ!” ทั้งสองตอบรับ ปรึกษาหารือกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีคนหนึ่งรีบวิ่งลงเขาไป

ไม่นานนักก็มีแสงคบเพลิงวูบไหวอยู่ในหมู่บ้านตรงเชิงเขา จากนั้นเคลื่อนขบวนขึ้นมาบนเขา ใช้เวลาเพียงไม่นาน หลัวอันก็พาคนมาสิบกว่าคน หยวนกังก็ตามมาด้วยเช่นกัน

คนที่ไปแจ้งข่าวได้บอกเล่าสถานการณ์เมื่อสักครู่แล้ว หลัวอันจึงทราบแล้วว่าทางนี้เพิ่งปราบผีไปตัวหนึ่ง

“ฝ่าซือ มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?” หลัวอันประสานมือสอบถาม

หนิวโหย่วเต้าชี้ไปทางปากถ้ำ “รบกวนแม่ทัพหลัวจัดกลุ่มลูกน้องไปขนก้อนหินมาที ปิดกั้นปากถ้ำนี้ไว้ก่อน จัดเวรยามมาคอยเฝ้าสักสองสามคนเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน”

หลัวอันลองสอบถามดู “ฝ่าซือสังหารผีร้ายแล้วมิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มน้อยๆ เอ่ยไปว่า “ป้องกันไว้ก่อนน่ะ หากภายในหนึ่งเดือนนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็น่าจะไม่มีอะไรแล้ว”

เขาทำเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันจริงๆ ไม่ว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลังหรือไม่ เขาก็ต้องระวังไว้ก่อน ช่วงที่เก็บตัวเพื่อบรรลุสภาวะเป็นช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นจะไม่มีพลังพอป้องกันอะไรได้ ถ้าเกิดปัญหาแล้วมีสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก็จะได้ล่าถอยได้สะดวก อีกหนึ่งเดือนให้หลังรอจนเขากลับสู่สภาวะปกติแล้ว ถึงเจอปัญหาก็สามารถรับมือได้

เมื่อเห็นเขาเอ่ยเช่นนี้ หลัวอันจึงรับปาก “ขอรับ”

“เช่นนั้นก็รบกวนท่านแม่ทัพด้วย เจ้าหมี เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ รอให้ปิดปากถ้ำเสร็จแล้วค่อยตามลงเขาไป” หนิวโหย่วเต้ากำชับหยวนฟาง

หยวนฟางพยักหน้ารับ ทราบเจตนาของเขา หากยังมีภูตผีสัญจรอยู่ มนุษย์ธรรมดาจะมองไม่เห็น แต่เมื่อปิดปากถ้ำไว้ หากมีภูตผีเข้าออกจะเกิดเสียงอึกทึกครึกโครม มนุษย์ธรรมดาก็จะสามารถรับรู้ได้เช่นกัน ตอนนี้จำเป็นต้องให้เขามาช่วยจับตาดูเอาไว้ก่อน

หนิวโหย่วเต้าประสานมืออำลาหลัวอัน จากนั้นหันหลังก้าวจากไป หยวนกังลงเขาไปพร้อมกับเขา

เมื่อลงเขาไปก็พบเหมิงซานหมิงและซางซูชิงที่กำลังรอฟังข่าวเพราะเห็นคนแห่ขึ้นไปบนภูเขา เหมิงซานหมิงย่อมต้องกล่าวทักทายไปตามมารยาทก่อน จากนั้นก็ซักถามถึงสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่เพราะดึกมากแล้ว จึงไม่ได้คุยกันต่อ ให้คนนำทางทั้งสองไปพักผ่อนก่อน

สถานที่พักผ่อนย่อมจัดเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว พอทั้งสองเข้าห้องไป หยวนกังก็รินน้ำชาถ้วยหนึ่งวางไว้ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า

พอจิบน้ำชาให้ชุ่มคอแล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สถานการณ์ของที่นี่เป็นยังไงบ้าง?”

หยวนกังรายงานว่า “อยู่กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ แต่เพราะมีเวลาน้อยไปหน่อย ก็เลยยังตรวจสอบอย่างละเอียดไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ทราบจำนวนคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ แต่มีคนพิการมือเท้าใช้งานไม่ได้อยู่มาก ประเมินจากแผลเป็นแล้วน่าจะได้รับบาดเจ็บจากสงครามเหมือนกันหมด ทั้งหมดน่าจะเป็นกองกำลังเก่าของหนิงอ๋องที่หลบมาใช้ชีวิตสันโดษอยู่ที่นี่ แถมยังมีช่างฝีมืออีกไม่น้อยด้วย ส่วนใหญ่จะอยู่กันเป็นครอบครัว สรุปแล้วคือที่นี่ดูเหมือนฐานลับสำหรับผลิตอาวุธสงครามมากกว่า”

……………………………..