เคล็ดจารึกพิสดารของต้วนหลิงเทียน

มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันเข้าใจแล้วว่าทำไมป๋ายลี่หงถึงได้บอกให้เขาไม่ต้องยิงจุดตายมัน…เพราะป๋ายลี่หงรู้แต่แรกว่าต่อให้เขาไม่ได้ยิงจุดตายสัตว์ร้ายนั่น เขาก็สามารถฆ่ามันได้อยู่ดี!

ไม่ว่าจะอาคมเซียน เพลิงระเบิด หรืออาคมเซียน กัดกร่อน ทั้งหมดป๋ายลี่หงล้วนจารึกมากับมือ

พลังอำนาจของพวกมันตัวป๋ายลี่หงย่อมรู้ดีที่สุด

“ถึงแม้ว่าอาคมเซียนเพลิงระเบิดกับกัดกร่อนจักเป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาวที่มีอานุภาพสูง…อย่างไรก็ตามด้วยพลังฝึกปรือหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบของเจ้า ก็สามารถจัดการได้แค่สู่เซียนขั้นต้นเท่านั้น”

ป๋ายเลหงพลันกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนออกมา

อาคมเซียนนั้น จำต้องใช้ปราณแท้เป็นตัวขับเคลื่อนกระตุ้นใช้

เมื่อปราณแท้แข็งแกร่งมากพอ ก็ย่อมกระตุ้นพลังอำนาจสูงสุดของอาคมออกมาได้

หากปราณแท้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็เพียงกระตุ้นใช้พลังอำนาจของมันได้บางส่วนเท่านั้น

อาคมเซียนระดับ 1 ดาวนั้นแม้จะใช้งานได้ดี แต่ก็เพียงมีผลกับศัตรูที่พลังฝึกปรือทัดเทียมกันเท่านั้น

หากคิดใช้อาคมเซียนระดับ 1 ดาวเอาชนะศัตรูที่พลังฝึกปรือสูงกว่า เกรงว่าคงเป็นเรื่องยาก

ส่วนอาคมเซียนระดับ 2 ดาวนั้นสามารถใช้ต่อกรกับศัตรูที่พลังฝึกปรือเหนือกว่าได้

อย่างไรก็ตามทั้งนี้ทั้งนั้นยังขึ้นอยู่กับพลังฝีมือพื้นฐานของผู้ใช้กับอีกฝ่ายด้วย

เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ที่ยังพึ่งเป็นหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ

ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้ม่านตาพิสดาร ก็ยากที่จะมีผู้ฝึกตนในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์เอาชนะเขาได้อีกต่อไป ถึงแม้อีกฝ่ายจะใช้อาคมเซียนระดับ 2 ดาว

นั่นเพราะเขาเป็นตัวตนผิดแปลกที่สามารถเอาชนะศัตรูข้ามระดับได้อย่างง่ายดาย หากไม่มีการใช้อาคมเซียนช่วยเหลือ

อย่างไรก็ตามอาคมเซียนระดับ 3 ดาวนั้น สามารถทำให้ผู้ใช้สามารถต่อกรข้ามระดับได้ถึง 2 ขั้น!

ตัวอย่างเช่นหากผู้ใช้เป็นหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ หากเปิดใช้อาคมเซียนระดับ 3 ดาวล่ะก็ สามารถสู้กับสู่เซียนขั้นต้นได้อย่างไม่แพ้พ่าย

เมื่อทะลวงผ่านไปถึงหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ ก็ยังพอต่อกรกับสู่เซียนขั้นกลางได้อย่างไม่เสียเปรียบ!

พลังของอาคมเซียนนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของปราณแท้

ยิงปราณแท้มีระดับสูงเท่าไหร่ มันยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แน่นอนว่าถึงจะทรงพลังเพียงใดแต่อามคมเซียนเองก็ยังมีขอบเขตอันจำกัด และหลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับระดับของอาคมเซียนแล้ว…

หากเป็นอาคมเซียนระดับ 2 ดาว มันสามารถคุกคามได้แค่ตัวตนครึ่งก้าวเซียนเท่านั้น ไม่อาจระคายผิวของตัวตนระดับเซียนได้เลย…มีเพียงอาคมเซียนระดับ 3 ดาวเท่านั้นที่จะคุกคามตัวตนระดับเซียนได้

และหากคิดจะทำร้ายตัวตนในขอบเขตเซียนด้วยอาคมเซียนระดับ 3 ดาวให้ได้ล่ะก็ อย่างน้อยๆผู้ใช้จะต้องบรรลุสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบเสียก่อน

จากสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบไปยังขอบเขตเซียนนั้น ถูกคั่นไว้ด้วย 2 ขีดขั้น

ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนั้นไม่นับรวม เพราะกล่าวไปแล้วมันก็ยังอยู่ในช่วงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เท่านั้น

ครึ่งก้าวเซียน มันก็แค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ที่ใกล้บรรลุเซียนเฉยๆ

แน่นอนว่าความแตกต่างระหว่างขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่กับขอบเขตเซียนนั้น มันมากมายมหาศาลกว่าหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ไปยังสู่เซียนมากมายนัก

‘ด้วยอาคมเซียนระดับ 3 ดาว ที่ใช้ปราณแท้ของข้าขับเคลื่อนตอนนี้ น่าจะมีผลแค่กับพวกสู่เซียนขั้นต้นเท่านั้น’

ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น ลอบคิดในใจ ‘ดูเหมือนว่าข้าต้องรีบยกระดับพลังฝึกปรือให้เร็วที่สุด…ขาดอีกแค่นิดเดียวข้าก็จะทะลวงถึงหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่แล้ว…ถึงตอนนั้นให้เป็นสู่เซียนขั้นกลาง ข้าก็มั่นใจว่าเอาชนะมันได้!’

แน่นอนว่าเป็นการเอาชนะสู่เซียนขั้นกลางโดยที่ไม่ต้องเปิดใช้ม่านตาพิสดาร

สำหรับตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญนั้นต้วนหลิงเทียนไม่กล้าคิด

เพราะเมื่อบรรลุถึงสู่เซียนขั้นกลาง มันจะมีความสามารถพิเศษอย่าง ‘ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรา’ ให้ฝึกฝนใช้ออก ต่อให้เขามีม่านตาพิสดาร แต่ก็ต้องจ่ายออกด้วยพลังวิญญาณหมดตัวกระทั่งยังต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง…

อนิจจาปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรานั้น สามารถจู่โจมเขาได้ทันทีในเวลาแค่เสี้ยวพริบตา

‘เส้นแบ่งระหว่างสู่เซียนขั้นกลาง กับขั้นเชี่ยวชาญมันมากมายนัก’

จุดนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้

“ขอบคุณท่านมากศิษย์พี่”

ต้วนหลิงเทียนเก็บเกาทัณฑ์ดับตะวันกลับไป ค่อยกล่าวขอบคุณป๋ายลี่หงจากใจ เขารู้ดีว่าอาคมเซียนระดับ 3 ดาวทั้ง 2 ป๋ายลี่หงต้องทุ่มเทกายใจไปมากมายเท่าใด

อีกทั้งอาคมเซียนทั้ง 2 ชนิดนี้ นับว่าเป็นอะไรที่เข้ากันได้กับอาคมเซียนเจาะทะลวงนัก!

“เจ้าข้าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ยังต้องมากพิธีกล่าวขอบคุณไปทำอะไร”

ป๋ายลี่หงส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวถามด้วยความกระตือรือร้น “ว่าแต่ศิษย์น้อง แล้วเรื่องเคล็ดวิชาจารึกพิสดารเล่า…ในช่วงสิบวันที่ผ่านมาเจ้าศึกษามันไปถึงไหนแล้ว?”

“ก็พอได้นะ…เอาเป็นว่าข้าน่าจะใช้เคล็ดจารึกพิสดารนั่น จารึกอาคมเซียนได้แล้วล่ะ”

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ

ป๋ายลี่หงได้ยินเช่นนั้น ก็ถึงกับอึ้งเป็นไก่ตาแตก

มันพึ่งส่งป้ายหยกบันทึกเคล็ดวิชาจารึกพิสดารให้ต้วนหลิงเทียนไปเมื่อ 10 วันก่อน…

ทว่า 10 วันต่อมา…ต้วนหลิงเทียนกลับบอกว่าสามารถใช้เคล็ดวิชาจารึกพิสดาร จารึกอาคมเซียนได้แล้ว?

เรื่องนี้จะไม่ให้มันประหลาดใจได้อย่างไรไหว!?

“ศิษย์น้องไป! พวกเรารีบกลับ!!”

กล่าวจบคำโดยที่ไม่ทันรอให้ต้วนหลิงเทียนตอบสนองอะไร ป๋ายลี่หงพลันสะบัดมือแผ่พลังไร้สภาพมาฉาบคลุมทั่วร่างต้วนหลิงเทียน หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนกลับสำนักจันทร์จรัสแสง ปรี่ตรงไปยังฝ่ายในเร่งกลับคฤหาสน์ด้วยความเร็วสูงสุด!

มันร้อนใจอยากเห็นเคล็ดจารึกพิสดารจากต้วนหลิงเทียนแทบตายแล้ว!

เคล็ดจารึกพิสดาร ที่มันลำบากลำบนมาเกือบทั้งชีวิตแต่ก็ไม่อาจสัมผัสได้แม้ปลายขน

อนิจจาศิษย์น้องที่มันรับมาแทนอาจารย์ ใช้เวลาแค่เพียง 10 วันกลับสามารถจารึกอาคมเซียนโดยใช้เคล็ดจารึกพิสดารนั่นได้!

คฤหาสน์ของป๋ายลี่หง ย่อมมีห้องส่วนตัวอันเงียบสงบ เพื่อไว้ใช้จารึกอาคมเซียนโดยเฉพาะ

ในขณะที่มันทำการจารึกอาคมเซียนนั้น จำต้องใช้สมาธิอย่างสูง หากวอกแวกเพียงครั้งอาคมที่จารึกอยู่ก็มีโอกาสล้มเหลวสูง

ตอนนี้ในห้องหับอันเงียบสงบ ก็มีเพียงต้วนหลิงเทียนกับป๋ายลี่หงอยู่สองคน

บนโต๊ะกลางห้องปรากฏดาบเล่มหนึ่งตั้งไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นศาสตราเซียน

ด้านข้างดาบ ปรากฏภาชนะบรรจุไว้ด้วยของเหลวประหลาดบางอย่าง

ของเหลวนี้มองแล้วแปลกตานัก บ้างก็มีสีแดงบ้างก็เปลี่ยนไปเป็นสีเหลือง

“ศิษย์น้อง…เจ้าบอกว่า เจ้าสามารถจารึกอาคมเซียนแสงเลื่อนลอยได้ด้วยวัตถุดิบจำนวนเล็กน้อยเพียงเท่านี้จริงๆหรือ?”

ป๋ายลี่หงมองไปยังของเหลวประหลาดที่มีสีแดงสลับเหลืองจำนวนน้อยในภาชนะด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

อาคมเซียนแสงเลื่อนลอยนั้นเป็นอาคมเซียนระดับ 1 ดาว

ป๋ายลี่หงย่อมรู้จักอาคมเซียนชนิดนี้ดี เพราะมันเป็นอาคมเซียนระดับ 1 ดาวทั่วๆไป ตัวมันเองก็ฝึกจารึกอาคมเซียนนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ในตอนที่มันพึ่งเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 1 ดาวใหม่ๆ

มันย่อมรู้ปริมาณหมึกอาคมที่ต้องใช้เสมือนหลังมือของตัวเอง

แน่นอนว่าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะย่อมไม่มีทางพอ!

ตอนนี้ศิษย์น้องมันอย่างต้วนหลิงเทียนคิดจาจารึกอาคมเซียนแสงเลื่อนลอยที่มันรู้จักดี ทว่าวัตถุดิบที่มีอยู่นั้นกลับมีราวๆครึ่งนึง..ไม่สิยังน้อยกว่าครึ่งนึงที่มันเคยใช้เสียอีก ราวๆ 1 ใน 3 เท่านั้น!

ถึงแม้มันจะรู้ดีว่าความอัศจรรย์ของเคล็ดจารึกพิสดารนั้นคือลดวัตถุดิบที่ต้องใช้ลง ทว่าพอพบว่าลดไปได้มากถึงขนาดนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกินจริงอยู่บ้าง

“ศิษย์พี่ท่านคอยดูให้ดี”

ต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มอันเต็มไปด้วยความมั่นใจออกมา

ครู่ต่อมามือขวาเขาก็จับปากกาจารึกระดับ 9 ดาวของป๋ายลี่หงไว้ด้วยท่าทางขึงขัง สูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง มือซ้ายก็เอื้อมไปหยิบดาบ

นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาจะจารึกอาคมเซียนด้วยเคล็ดจารึกพิสดาร

แน่นอนว่าในระยะเวลา 10 วันที่ผ่าน เขาจำลองการจารึกอาคมเซียนไว้ในหัวหลายสิบครั้ง

เช่นนั้นแล้ววันนี้ก็เพียงกระทำไปอย่างที่เคยกระทำเท่านั้น

มือขวาต้วนหลิงเทียนที่จับปากกาจารึกระดับ 9 ดาวของป๋ายลี่หงพุ่งไปดั่งอัสนี จุ่มลงในหมึกอาคม!

หมึกอาคมนั้นเป็นชื่อเรียกของๆเหลวที่ถูกกลั่นมาจากวัตถุดิบทั้งหลายเพื่อจารึกอาคม

ปากกาจารึกระดับ 9 ดาวดั่งแมลงปอบินโฉบผิวน้ำ เพียงแตะจุ่มลงไปเบาๆ ก็ตวัดขึ้นมาก่อนจะพุ่งจรดขีดลงไปยังดาบในมือซ้าย!

ทันใดนั้นบนใบดาบก็ปรากฏรอยขูดลึกเป็นทาง!

มือขวาที่จับปากกาต้วนหลิงเทียนเมื่อจรดลงไปแล้ว ก็เคลื่อนไหวต่อเนื่องไม่หยุด ลวดลายทั้งอักขระซับซ้อนมากมายเริ่มถูกสลักลงบนใบดาบ

หมึกอาคมเองก็ถูกจ่ายลงไปในรอยขูดดังกล่าว มองไปคล้ายสายน้ำที่กำลังไหลไล่มาในรางน้ำอันแห้งขอด

การกระทำทุกอย่างของต้วนหลิงเทียนมันต่อเนื่องลื่นไหลคล้ายดั่งเมฆเคลื่อนคล้อย!

ทว่าป๋ายลี่หงนั้นตกตะลึงพรึงเพริดไปพักใหญ่แล้ว!

เพราะมันตระหนักเรื่องน่าสะพรึงได้ประการหนึ่ง ความเร็วในการจารึกอาคมของต้วนหลิงเทียนรวดเร็วนัก ยังรวดเร็วยิ่งกว่ามันหลายส่วน! ‘นี่น่ะหรือคือเคล็ดวิชาจารึกพิสดาร!? นี่ศิษย์น้องจ่ายออกด้วยพลังวิญญาณมหาศาลปานใดกันถึงประคองสภาวะพลัง ทั้งลำเลียงน้ำหมึกนั่นได้ต่อเนื่อง…แถมยังรวดเร็วถึงเพียงนี้!? ศิษย์น้องนับว่าเกิดมาเพื่อเคล็ดวิชานี้จริงๆ!!’

ใจป๋ายลี่หงสะท้านจนเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ท่วมท้นไปด้วยความตื่นเต้น

เร็ว!

เร็วเกินไป!

มองความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียน ใจป๋ายลี่หงหลงเหลือเพียงคำเดียวเท่านั้น

‘ความต่างระหว่างเคล็ดจารึกอาคมธรรมดา กับเคล็ดจารึกพิสดารมันมากมายขนาดนี้เลยหรือ!?’

ตอนต้วนหลิงเทียนจารึกไปกว่าครึ่ง ใจของป๋ายลี่หงก็เสมือนจมจ่อมอยู่ในห้วงภวังค์

“เรียบร้อย…”

ในขณะที่ใจป๋ายลี่หงยังเหม่อลอยอยู่นั้น เสียงต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นดึงสติของมันกลับมาทันใด คนยังยืนขึ้นพร้อมยื่นดาบมาทางมัน “ศิษย์พี่ท่านลองใช้อาคมแสงเลื่อนลอยในดาบนี่ดูสิ ว่าผลของมันอ่อนด้อยลงรึเปล่า…”

“อะไร? เสร็จแล้ว?”

ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนป๋ายลี่หงแน่นิ่งไปพักหนึ่งด้วยความตกใจ ยังโพล่งถามออกมาตาปริบๆ

ต้องทราบด้วยว่าตัวมันหากคิดจะจารึกอาคมเซียนแสงเลื่อนลอยนั้น ยังต้องใช้เวลาไปกว่า 2 เค่อ

ทว่าศิษย์น้องของมันกลับทำสำเร็จได้ในเค่อเดียว!

ยังไม่ถึงครึ่งนึงของเวลาที่มันใช้ด้วยซ้ำ!

มันเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวนะ!

สูดลมหายใจเข้าลึกๆจนหน้าอกพองใหญ่ไม่ไม่กี่รอบ ป๋ายลี่หงก็ระงับอาการตื่นตระหนก รับดาบมาจากต้วนหลิงเทียนและเริ่มทดลองใช้อาคมแสงเลื่อนลอยบนดาบทันที

“มะ ไม่ลด…ผลกระทบมิได้ลดลง!!”

ป๋ายลี่หงหายใจถี่รัวกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “เคล็ดวิชาจารึกอาคมช่างเป็นเคล็ดวิชาที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก…เสียดายที่ข้าคงไร้วาสนากับมันอย่างสิ้นเชิง พลังวิญญาณข้ามิได้มีมากมาย ทั้งยังไม่อาจควบคุมมันให้เชี่ยวชาญช่ำชองเช่นศิษย์น้องได้…”

การควบคุมใช้พลังวิญญาณนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของจิต!

ป๋ายลี่หงนั้น เห็นชัดว่ามันขาดพรสวรรค์เช่นนี้

ไม่เพียงแต่มันทำไม่ได้ เกรงว่าปรมาจารย์จารึกเซียนส่วนใหญ่ก็ทำไม่ได้

วาจาของป๋ายลี่หง ทำให้ต้วนหลิงเทียนใจชื้นขึ้นมาทันที

ถึงแม้เขาจะจำลองภาพการจารึกอาคมเซียนในหัวมาหลายครั้งแล้ว แต่จะอย่างไรก็ตามนี่เป็นการลงสนามจริงครั้งแรก

ดังนั้นถึงแม้เขาจะมีความมั่นใจ แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่บ้าง

“ศิษย์พี่ นี่ปากกาจารึกท่าน”

ในขณะที่ป๋ายลี่หงยังเปิดใช้อาคมเซียนแสงเลื่อนลอย สร้างแสงสว่างออกมาเป็นสายธาร วาดวนไปเวียนมาราวเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่ ต้วนหลิงเทียนก็ยื่นส่งปากกาจารึกระดับ 9 ดาวคืนมา

อย่างไรก็ตามป๋ายลี่หงเพียงหยุดมองปากกาจารึกระดับ 9 ดาวนั่นครู่หนึ่ง ไม่ได้รับคืนไป

มันหลับตาวูบหนึ่งทั้งเผยยิ้มขบฟัน คล้ายตัดสินใจอะไรได้

“ศิษย์น้อง ปากกาจารึกด้ามนี้เจ้าเก็บเอาไว้ใช้เถิด…เดี๋ยวศิษย์พี่ค่อยไปหาซื้อด้ามใหญ่ยามไปเมืองหานเหอ”

ป๋ายลี่หงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซึมๆ กล่าวออกอย่างยากลำบากอยู่บ้าง “เจ้าสำเร็จเคล็ดวิชาจารึกพิสดารของท่านอาจารย์ ปากกาจารึกด้ามนี้สมควรเป็นเจ้าที่รับสืบทอด”

“ศิษย์พี่…หากไม่ใช่เพราะท่านข้ายังมีโอกาสพบพานเคล้ดจารึกพิสดารของท่านอีกเหรอ..ปากกาจารึก 9 ดาวนี่ท่านได้มาด้วยโชคชะตาและวาสนาของท่าน หากข้าสามารถรับมาได้กระทั่งของรักของท่าน ข้าก็ไม่คู่ควรเป็นศิษย์น้องของท่านแล้ว”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ส่ายหน้าปฏิเสธออกมาด้วยความจริงจัง