ตอนที่ 91 เป็นศัตรูกับคนทั้งโลก

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 91 เป็นศัตรูกับคนทั้งโลก

ตั้งแต่ที่ระบบนำเสนอโปรเจ็กต์จ่ายเงินสั่งทำ หลินเยวียนก็ไม่ได้รับภารกิจใหม่มานานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนิยายซึ่งได้รับเป็นรางวัล

ในตอนนี้มีภารกิจด้านจิตรกรรมซึ่งกำลังดำเนินการอยู่

ภารกิจนี้ต้องการให้หลินเยวียนทำให้ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมแตะถึงหนึ่งพันคะแนน

แต่เขาน่าจะยังเหลือเวลาหนึ่งเดือนในการทำภารกิจให้สำเร็จ

ถึงอย่างไรก็แค่ขลุกอยู่ในชมรมจิตรกรรมของวิทยาลัย ความเร็วในการเพิ่มขึ้นของค่าความโด่งดังก็เรียกได้เพียงว่าอยู่ในระดับกลาง

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หลินเยวียนจึงอยากเขียนนิยายเรื่องยาวต่อไป มีแค่สองตัวเลือก

ตัวเลือกแรก รอให้ภารกิจด้านจิตรกรรมสำเร็จ รับกล่องสมบัติ ดูว่าจับได้นิยายหรือไม่

ตัวเลือกที่สอง สั่งทำโดยตรงกับระบบ

ตัวเลือกแรกนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ถ้าเปิดออกมาไม่ได้นิยายจะทำยังไง

จากสถิติของกล่องสมบัติที่ผ่านมา คล้ายกับว่าอัตราส่วนที่จะเปิดได้เพลงนั้นมากที่สุด

ตัวเลือกหลังนั้นง่ายกว่า เพียงแค่ควักเงินจ่าย อย่างน้อยหลินเยวียนก็มีอิสระในการเลือกประเภท

เขาไม่ได้รีบร้อนตัดสินใจ

ถึงอย่างไรเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสก็เพิ่งจบลง นามปากกาน้อยๆ อย่างฉู่ขวงก็ต้องมีพักกันบ้าง

ช่วงเวลาต่อจากนี้ หลินเยวียนจะใช้เวลาเพลิดเพลินกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย

ตอนกลางวันตั้งใจเรียน กินอาหารทั้งสามมื้อพร้อมกับเจี่ยนอี้และซย่าฝาน ช่วงว่างจากการเรียนก็รีบปรี่ไปสอนวาดภาพที่ชมรมจิตรกรรม…

หลินเยวียนชื่นชอบช่วงเวลาแบบนี้

วันเวลาเช่นนี้ดูคล้ายกับว่าน่าเบื่อ แต่ความจริงแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นเหมือนเดิมไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง บางครั้งบางคราวก็มีกิจกรรมนอกหลักสูตรมาสอดแทรกอยู่บ้าง

ตัวอย่างเช่นการแข่งขันบาสเกตบอลที่เจี่ยนอี้เอ่ยถึงเมื่อเดือนก่อน

ก็เหมือนกับการตัดสินหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งก่อน วิทยาลัยศิลปะฉินโจวจัดกิจกรรมอยู่บ่อยครั้ง แต่ละคณะต่างก็เข้าร่วมกันอย่างคึกคักมาก เพราะวิทยาลัยมักจะมีรางวัลกองโตที่ทำให้ไม่มีใครปฏิเสธได้ลง

นี่เป็นจุดเด่นของบลูสตาร์

ในสถานที่ซึ่งให้ความสำคัญกับศิลปะอย่างบลูสตาร์ ผลงานอันโดดเด่นในสถาบันการศึกษาจะถูกเก็บบันทึกไว้ ใครบ้างที่ไม่อยากสร้างเกียรติประวัติที่ดีที่สุดก่อนจบการศึกษา

หลินเยวียนเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยาก

หน้าที่การงานของเขามั่นคงมาก หัวหน้าในบริษัทก็เห็นความสำคัญของตนมาก

หลินเยวียนรู้สึกว่าหลังจากที่ตนเรียนจบน่าจะไม่มีความเสี่ยงว่าจะตกงานสักเท่าไหร่

ฉะนั้นการแข่งขันบาสเกตบอลไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหลินเยวียน

อันที่จริงต่อให้หลินเยวียนอยากเข้าร่วมการแข่งขัน ก็มีคุณสมบัติไม่เพียงพอ

ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป น่ากลัวว่าเล่นบาสเกตบอลไปได้แค่ครึ่งเกม หลินเยวียนก็คงลงไปนอนแหม็บ และถูกคนหามส่งโรงพยาบาลแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นในสาขาก็ให้ความสำคัญกับการแข่งขันในครั้งนี้มาก จนเลือกนักบาสเกตบอลฝีมือดีของแต่ละเซคมา รวมเป็นทีมสำหรับร่วมประลอง แถมยังส่งทั้งสาขาการประพันธ์เพลงไปยังสนามกีฬา เพื่อเชียร์เหล่านักกีฬาสาขาการประพันธ์เพลงด้วย

น่าเสียดายที่เชียร์ไปได้ไม่ถึงสองวัน

สาขาการประพันธ์เพลงก็ตกรอบซะแล้ว

นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงที่เข้าร่วมการแข่งขันเดินคอตกออกไปอย่างเศร้าสร้อย

ผู้ชายซึ่งอยู่แถวหลังของหลินเยวียนพึมพำว่า “โชคไม่ดีเกินไปหน่อย รอบสองก็จับฉลากเจอสาขานาฏศิลป์เลย”

ตอนอยู่ปีหนึ่งก็เคยมีการจัดแข่งขันบาสเกตบอล ในตอนนั้นสาขานาฏศิลป์ก็ได้รางวัลชนะเลิศ

ทีมนี้ไม่มีใครอยากเจอในรอบแรกๆ หรอก แต่ดันวนมาเจอกับสาขาการประพันธ์เพลงซะได้

หลินเยวียนกลับไม่ได้รู้สึกอะไร

แน่นอนเขาเองก็รักในศักดิ์ศรีสาขาของตน ตัวอย่างเช่นหนังสือพิมพ์กระดานดำในครั้งก่อน หลินเยวียนลงมือเองก็เพราะศักดิ์ศรีของสาขา

แต่ถึงอย่างไรคนสายศิลปะก็มีความถนัดเฉพาะทางของตน

กีฬาอย่างบาสเกตบอล สาขาการประพันธ์เพลงรับมือไม่ไหวจริงๆ

ทว่าถึงแม้สาขาการประพันธ์เพลงจะตกรอบไป เพื่อนๆ ร่วมสาขาก็ไม่ได้สนใจการแข่งขันอีก แต่หลินเยวียนกลับยังคงติดตามการแข่งขันต่อไป

ไม่ใช่เพราะเขาสนใจบาสเกตบอล

แต่เพราะเขาคอยเชียร์เจี่ยนอี้อยู่ในบรรดาผู้ชม

โดยเฉพาะการแข่งขันในช่วงบ่าย!

สาขาศิลปะการแสดงที่เจี่ยนอี้อยู่นั้น กำลังจะแข่งรอบชิงชนะเลิศกับสาขานาฏศิลป์!

สาขาศิลปะการแสดงของเจี่ยนอี้ฝีมือดีมาก ถล่มทีมอื่นมามากมาย หนึ่งในนั้นรวมไปถึงสาขาการขับร้องของซย่าฝานด้วย

ฉะนั้นตอนกินอาหารกลางวัน ซย่าฝานก็มองเจี่ยนอี้อย่างหัวเสีย “นายชนเพื่อนตัวเล็กตัวน้อยในสาขาการขับร้องของฉันซะยับเลยนะ!”

เจี่ยนอี้อมยิ้มตาหยี “ฉันก็เป็นเพื่อนตัวเล็กตัวน้อยของเธอเหมือนกันน้า”

ซย่าฝานหันไปมองหลินเยวียน “สาขาการประพันธ์เพลงเหมือนจะตกรอบไปแล้ว”

หลินเยวียนพยักหน้า

เจี่ยนอี้ได้ยินเช่นนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมา พูดพลางตบอก “สาขานาฏศิลป์เล่นสกปรก ตอนบ่ายพวกพี่จะล้างแค้นให้สาขาการประพันธ์เพลงของน้องเอง”

“ล้างแค้นให้ตัวเองมากกว่าล่ะมั้ง”

ซย่าฝานกลอกตา “นายไม่ได้บอกเหรอว่าปีที่แล้วสาขาศิลปะการแสดงตกรอบก็เพราะสาขานาฏศิลป์ ปีนี้เลยอยากเอาคืน”

เจี่ยนอี้ “…”

อันที่จริงเขาตั้งสาขานาฏศิลป์ไว้เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง ดังนั้นเขาถึงถูมือรอเฝ้าการแข่งขันในช่วงบ่ายมานานแล้ว

……

การแข่งขันบาสเกตบอลตื่นเต้นเร้าใจขึ้นเรื่อยๆ เพราะทีมที่ทะลุเข้าสู่รอบท้ายๆ นั้นแข็งแกร่งกันมาก โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสาขานาฏศิลป์และสาขาศิลปะการแสดงที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้ที่ชื่นชอบบาสเกตบอลในวิทยาลัยด้วย

ช่วงบ่าย

หลินเยวียนและซย่าฝานไปที่สนามกีฬาแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วงชิงที่นั่งแถวหน้าซึ่งมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว การแข่งขันของเจี่ยนอี้ พวกเขาย่อมต้องคอยให้กำลังใจเพื่อนรักอย่างเต็มที่

“เมล็ดแตงโม…ป็อปคอร์น…โคล่า…”

ทันทีที่ขึ้นมา ซย่าฝานก็เสนอขนมขบเคี้ยวให้หลินเยวียน

ชั่วขณะนั้น หลินเยวียนรู้สึกเหมือนตนอยู่ในโรงหนังมากกว่าสนามกีฬา

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

การแข่งกันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ผู้ชมแทบจะนั่งเต็มความจุของสนามกีฬา มีทุกสาขาและทุกชั้นปี มีบางสาขาพากันมาอย่างเนืองแน่น ในสนามครึกครื้นเกินบรรยาย

“พวกเจี่ยนอี้ลงสนามแล้ว”

ซย่าฝานพูดพลางดื่มโคล่า

หลินเยวียนกำลังกินป็อบคอร์นเต็มปาก ตอบไปแค่ ‘อื้ม’ อย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำ

หลังจากที่พิธีกรสาธยายเรื่อยเปื่อยไปสักพักหนึ่ง การแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ทั้งหลินเยวียนกับซย่าฝานต่างก็ไม่รู้เกี่ยวกับบาสเกตบอล

เสียงตะโกนและผิวปากของผู้คนโดยรอบนับไม่ถ้วนไม่ได้มีผลต่อการกินของทั้งสองคนเลย

ช่วงเวลาที่เหลือจากการกิน ทั้งสองก็เหลือบไปมองเจี่ยนอี้บ้าง แล้วก็หันไปมองคะแนน

“ผลแพ้ชนะเดายากแฮะ”

เมื่อกินจนอิ่มแล้ว ซย่าฝานก็ชักจะยุกยิกอยู่ไม่สุข

หลินเยวียนแทะเมล็ดแตงโมพลางพยักหน้า

มีคนปรบมือ พวกเขาก็ปรบมือตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อพบว่าเป็นการปรบมือหลังจากที่สาขานาฏศิลป์ทำแต้มได้ ทั้งสองก็เก็บมือลงเงียบๆ

“พักครึ่ง”

พิธีกรตะโกนลั่น

ทั้งสองทีมเริ่มพัก

หลินเยวียนถาม “จะเอาน้ำไปให้เจี่ยนอี้มั้ย”

ซย่าฝานส่ายหน้า “สาขาพวกเขาเตรียมน้ำไว้ลังนึงแล้ว…”

หลินเยวียนพยักหน้า ก้มหน้าก้มตาแทะเมล็ดแตงโมต่อไป

ทันใดนั้น ซย่าฝานก็ลุกพรวดขึ้นมา “สู้กันแล้ว”

หลินเยวียนนึกว่าเริ่มแข่งครึ่งหลังแล้ว

แต่ผลคือเมื่อเข้าเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าซย่าฝานถึงกับถกแขนเสื้อขึ้น พุ่งเข้าไปยังสนามกีฬา “กล้ารังแกเพื่อนฉัน คอยดูแม่จะอัดมันให้น่วมเลย!”

หลินเยวียนถึงตั้งสติได้ในตอนนั้น

ไม่ใช่ครึ่งหลังเริ่มแล้ว แต่สองทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันทะเลาะกันแล้ว คล้ายกับว่าเหม็นขี้หน้ากันมาตั้งแต่ในเกมเมื่อครู่แล้ว

เขารีบลุกขึ้นยืน วิ่งตามเข้าไป

“เมื่อกี้นั่นมันท่านเทพไม่ใช่เหรอ”

ที่นั่งริมทางเดิน จงอวี๋นักศึกษาสาขาจิตรกรรมซึ่งกำลังดูการแข่งขันอยู่ก็ชะงักไป เขาผู้ซึ่งเรียกตนเองว่าเป็นศิษย์เอกของหลินเยวียน ไม่น่าจะจำคนผิดหรอกมั้ง

“เฮ้ย”

นักศึกษาสาขาจิตรกรรมทั้งกลุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างจงอวี๋ก็พยักหน้าด้วยความงงงัน “ท่านเทพจริงด้วย”

ในสนามบาสเกตบอล

เจี่ยนอี้กำลังคลุกวงในกับคนอื่น เมื่อเห็นซย่าฝานกับหลินเยวียนก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง “ซย่าฝานเธอไปคอยกันหลินเยวียนข้างๆ เร็ว”

“ก็ได้ ก็ได้…”

ชั่วขณะนั้นซย่าฝานถึงตั้งสติได้ ว่าหลินเยวียนร่างกายอ่อนแอมาก

เธอรีบดึงหลินเยวียนถอยหลัง ทว่าทั้งสองข้างก็ยังคงวุ่นวาย กำลังหลักของสาขานาฏศิลป์คนหนึ่งตรงเข้ามาผลักหลินเยวียน จนหลินเยวียนเซถอยหลังไปหลายก้าว และเกือบล้มลงกับพื้น

“ไอ้นี่ยังมาช่วยอีกเหรอ”

สวี่ชางจ้องหลินเยวียนเขม็ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต เขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเจี่ยนอี้ ดังนั้นเขาเองก็รู้จักหลินเยวียน เพียงแต่ไม่เคยพูดคุยกับอีกฝ่ายก็แค่นั้น

แต่จ้องไปจ้องมา สวี่ชางก็รู้สึกแปลกชอบกล

บรรยากาศผิดปกติไป

เขาหันไปมองรอบข้าง สีหน้าพลันชะงักค้าง ม่านตาหดวูบ

จู่ๆ สนามกีฬาอันโอ่โถงก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน สาขานาฏศิลป์อย่างพวกเขาเปรียบเสมือนเรือเล็กในห้วงมหรรณพกว้างใหญ่ ถูกกลุ่มคนมหาศาลปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา!

อากาศโดยรอบหนักอึ้ง

คนพวกนี้จ้องตนเขม็ง

สวี่ชางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก รู้สึกว่าลำคอแห้งผาก เสียงของเขาสั่นเครือขึ้นมา ทำได้เพียงเค้นรอยยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นแลดูย่ำแย่ยิ่งกว่าร้องไห้ซะอีก

“มะ มะ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง…”

เพื่อนร่วมทีมมองไปยังสวี่ชาง แววตาเต็มไปด้วยความสับสน ราวกับกำลังถามว่า สรุปแล้วนายไปทำอะไร คนถึงได้จ้องนายเยอะขนาดนี้

สวี่ชางเองก็สับสนเหมือนกัน

ฉันเป็นใคร…ฉันมาทำอะไรที่นี่

พี่ๆ ทุกท่าน นี่มันอะไรกันครับเนี่ย

ฉันก็แค่ผลักหลินเยวียนเบาๆ เองไม่ใช่เหรอ ทำไมพริบตาเดียวก็รู้สึกเหมือนจะโดนคนทั้งโลกหยุมหัวล่ะเนี่ย

………………………………………..