บทที่ 55 กลับมาท้าประลอง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 55 กลับมาท้าประลอง

ไร้เดียงสาเสียนี่กระไร

เมื่อมองไปยังหลีจิ่นเหยาที่ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย คนอื่น ๆ ในสำนักอสูรสวรรค์รวมทั้งจี้หลิงอวิ๋นต่างคิดในใจโดยพร้อมเพรียงกัน

“ไม่ได้!”

จี้หลิงอวิ๋นส่ายหน้าก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“จิ่นเหยา ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงผู้นำของบรรดาศิษย์สำนักอสูรสวรรค์ เหตุใดจึงมีอุดมคติที่แสนจะธรรมดาสามัญเช่นนี้?”

“ท่านอาจารย์ ผู้ฝึกตนของสำนักอสูรสวรรค์ดำเนินชีวิตได้ตามใจปรารถนา ไม่ต้องสนใจจริยธรรมทางโลก เพื่อความสบายใจและเสรีภาพอันยิ่งใหญ่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านบอกกล่าวกับข้าตอนแรกที่เข้ามาในสำนักหรอกหรือ?”

หลีจิ่นเหยาถามกลับ

“ใช่ ข้ากล่าวเช่นนั้นจริง”

จี้หลิงอวิ๋นนึกโกรธเคืองขึ้นมาจนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด

“ทว่าเป้าหมายหลักในอุดมคติของเจ้าเกี่ยวกับเสรีภาพอย่างไร?”

“ทำอย่างไรได้เจ้าคะ ตั้งแต่ข้าอ่านนวนิยายที่ศิษย์น้องแปดนำมาให้หยิบยืม ข้าก็เฝ้าใฝ่ฝันอยากเป็นภรรยาที่ดีของสามี เป็นแม่ที่ดีของลูกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

หลีจิ่นเหยาเอ่ยถึงสาเหตุอย่างตรงไปตรงมา ไม่สนใจศิษย์น้องแปดคนดังกล่าวที่กำลังกรีดร้องจากด้านหลังเลยแม้แต่น้อย

จี้หลิงอวิ๋นจ้องเขม็งไปยังศิษย์ผู้นั้นทันที เป็นเชิงบอกว่า ‘ไว้ข้าค่อยคิดบัญชีกับเจ้าภายหลัง’ ก่อนจะกล่าวต่อไป

“จิ่นเหยา บรรดาบุรุษที่ต้องพบเจอในภายภาคหน้าอาจไม่ใช่คนดีเด่อะไร ในอนาคตอาจต้องเสียใจเพราะเขา… เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องเผชิญกับความเสียใจในอนาคต ดังนั้นอาจารย์จึงไม่อาจยอมรับความฝันใฝ่ข้อนี้ได้”

“อืม… ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”

หลีจิ่นเหยากะพริบตาปริบ ก่อนกล่าวต่อไปด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

“เช่นนั้นข้าจะรอต่อไปอีกสักหลายร้อยปี อย่างไรเสียหลายร้อยปีหลังจากนี้ ท่านอาจารย์ก็ไม่อาจควบคุมข้าได้อีกแล้ว”

“หึ่ม! จิ่นเหยา! เจ้า…”

มือจี้หลิงอวิ๋นสั่นระริกยันปลายนิ้ว เดิมทีคิดจะด่าทออีกฝ่ายว่าเจ้าศิษย์ทรยศ ทว่าต่อให้นางจะปฏิเสธคำกล่าวของหลีจิ่นเหยา หรือแม้ว่าหลีจิ่นเหยาจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาปราศจากมารยาท แต่นั่นล้วนเป็นความจริง ตามการคาดการณ์ของจี้หลิงอวิ๋น บางทีในอีกสองร้อยถึงสามร้อยปีข้างหน้า ตนอาจถูกศิษย์สายตรงที่พร่ำสอนมากับมือเอาชนะก็เป็นได้

“ฮ่า ๆ ดี ๆ ศิษย์ของสำนักอสูรสวรรค์รุ่นใหม่เหล่านี้ช่างน่าสนใจเสียจริงเชียว”

ขณะที่บรรยากาศโดยรอบเริ่มหนักอึ้ง ตลบอบอวลไปด้วยความน่าอึดอัดใจ เสียงหัวเราะอันห้าวหาญก็ดังขึ้นจากด้านหน้าประตูหอบรรยาย

นั่นใครกัน?! เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่รู้ตัวเลยสักนิดทั้งที่เขาเข้ามาใกล้ในระยะประชิดเช่นนี้?!

จี้หลิงอวิ๋นตื่นตระหนกจนรีบหันขวับกลับไปมอง และแล้วนางก็ต้องตกใจเสียจนดวงตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า

“ทะ… ท่านอาจารย์?!”

ชายเรือนผมดำสนิท สวมเสื้อคลุมทำจากขนสัตว์ มีกระบี่ทรงยาวเหน็บห้อยไว้ตรงบั้นเอว พร้อมส่งยิ้มมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเจิดจรัส ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสดใสทรงพลัง

“ว่าไง เสี่ยวหลิงอวิ๋น อาจารย์บรรลุผ่านความหายนะของห้วงนิพพานสำเร็จแล้วล่ะ!”

“บ้าเอ๊ย! หวงฝู่เฟิงประสบความสำเร็จในการบรรลุผ่านความหายนะแห่งนิพพานแล้วอย่างแท้จริง!”

ภายในห้องโถงใหญ่ของสำนักกระบี่ชิงหมิง เจวี๋ยอวิ๋นจื่อพับจดหมายเก็บกลับลงในซองที่เปิดผนึกออก พลันเงยหน้ามองเหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิงด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ตอนนี้เกรงว่าสถานะของสำนักอสูรสวรรค์ในกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารอาจจะเพิ่มสูงขึ้นอีก”

ผู้อาวุโสสองถอนหายใจ

“กว่าสามพันปีนับตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิต้าชาง ที่ผู้ฝึกตนสายมารคนหนึ่งสามารถบรรลุในระดับขั้นสูงสุดเป็นรายแรก… จะว่าไปแล้ว หลังจากนั้นข้าไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนสายมารทะยานขึ้นสู่โลกเซียนมาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะทะยานขึ้นสู่โลกเซียนเป็นรายที่สอง?”

“อย่าเพิ่งกล่าวถึงเรื่องนี้เลย ด้วยนิสัยของหวงฝู่เฟิง ตอนนี้มีความสามารถอันเฉียบแหลมเป็นเลิศ อีกทั้งยังมีพละกำลังมหาศาล เขาต้องเลือกสำนักผู้ฝึกตนสายธรรมสักแห่งเพื่อบุกเข้ามาประลองก่อนจะทำลายจนราบคาบแน่”

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อหันมองทางซ้ายที ทางขวาที

“พวกเจ้าคิดว่าภายในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน เขามีแนวโน้มว่าจะไปเยี่ยมเยียนสำนักใดเป็นที่แรก?”

เหล่าผู้อาวุโสต่างหันมองหน้ากัน ผู้อาวุโสสามลุกขึ้นยืนก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ

“ข้าจะไปเสริมกำลังค่ายกลพิทักษ์ยอดเขาเอาไว้”

ยังไม่ทันที่เขาจะเดินผ่านประตูห้องโถงออกไป ยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักกระบี่ชิงหมิงพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นแว่วเสียงหัวเราะอันห้าวหาญพลันดังขึ้นจากทางประตู

“หวงฝู่เฟิงมาเยือนตามคำเชิญแล้ว! ตาเฒ่าจู๋เฟิงอยู่ที่ไหน?!”

“อืม…”

ผู้อาวุโสสามเดินกลับไปสมทบกับศิษย์พี่ศิษย์น้องตามเดิม

“ดูเหมือนว่าคงไม่ทันการณ์เสียแล้ว”

“โธ่ ครั้นเอ่ยถึงก็โผล่หน้ามาถึงที่เลยเชียว! พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา*[1]!”

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อลอบสบถเสียงต่ำ ก่อนจะจำใจเงยหน้าขึ้นพร้อมออกคำสั่ง

“เชิญผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักอสูรสวรรค์เข้ามาในห้องโถงใหญ่!”

หลังจากนั้นไม่นาน ชายในชุดคลุมหนังสัตว์ก็ได้รับคำเชิญให้เข้ามาในห้องโถงใหญ่ของสำนัก ด้วยความเคารพและระมัดระวังจากศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิง

ทันทีที่เข้ามาในห้องโถง เจวี๋ยอวิ๋นจื่อทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ประสานมือคารวะชายตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้

“โอ้ ไม่ได้พบเจอกันนานทีเดียว อาวุโสหวงฝู่ เหตุใดถึงไม่ปล่อยให้อสนีบาตลงทัณฑ์ขณะที่พยายามก้าวข้ามภัยพิบัติไปเสีย? ช่างไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์พื้นฐานเอาเสียเลย”

แม้ว่าคำพูดของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อจะไม่น่าฟังเท่าไรนัก แต่ความเป็นจริงแล้วนับว่าสมเหตุสมผล แม้ว่าความแข็งแกร่งของภัยพิบัติที่ลงทัณฑ์ผู้ฝึกตนในระหว่างข้ามผ่านไปอีกหนึ่งระดับจะขึ้นอยู่กับความสามารถหน้างานเป็นหลัก แต่การกระทำความดีและการสั่งสมคุณธรรมให้มากก็ถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้ความโชคดีได้ ดังนั้นผู้ฝึกตนจำนวนมากจึงปฏิบัติตนด้วยความชอบธรรม อีกทั้งช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่น

นอกจากพวกเขาต้องการที่จะประพฤติดีอย่างจริงใจแล้ว แรงกดดันที่ได้รับจากทัณฑ์สวรรค์ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้ฝึกตนตั้งใจกระทำความดี

แต่ผู้ฝึกตนสายมารนั้นต่างออกไป อยากทำสิ่งใดก็ทำตามใจปรารถนา ไม่มีกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานใดมาบังคับ กลุ่มคนจำพวกนี้คือคนที่ดำเนินชีวิตอยู่กับปัจจุบันเป็นหลัก และเพราะแนวปฏิบัติเช่นนี้จึงไม่เคยกังวลสิ่งใด ผู้ที่ทำความดีเพียงน้อยนิด แต่ทำสิ่งชั่วร้ายเป็นส่วนใหญ่ โอกาสจะถูกดึงดูดจึงมีมากไม่แพ้กัน

เกือบเก้าในสิบส่วนของผู้ฝึกตนสายมารที่ข้ามผ่านความหายนะแห่งห้วงนิพพาน ล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด เพราะในเวลานั้นปีศาจเพลิงแห่งแสงอสนีบาตและพสุธาต่างเบียดเสียดกันบีบรัดอยู่บนศีรษะของผู้ฝึกตนสายมาร ราวกับสรวงสวรรค์จะถล่มทลายลงมาสังหารให้จงได้

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเคยได้ยินไป๋ชิวหรานเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ปรมาจารย์เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นไป๋ชิวหรานเพิ่งจะบรรลุเข้าสู่ขั้นกลั่นลมปราณซึ่งไม่มีปลายทางสิ้นสุด ปรมาจารย์เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงมีศัตรูคู่อาฆาตซึ่งอยู่ในสำนักโลหิตเทวะเช่นเดียวกันกับเขา

ทว่าวิธีการของปรมาจารย์เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงในการจัดการกับศัตรู คือขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายบรรลุระดับขั้นการฝึกตน เนื่องจากตระหนักดีว่าสภาวะจิตใจของผู้ฝึกตนสายมารในสมัยนั้นมักจะอ่อนแอกว่าผู้ฝึกตนสายธรรมในระดับเดียวกัน หากต้องการกำจัดศัตรูจากสำนักโลหิตเทวะเพื่อสะกดกลั้นการบรรลุไปอีกระดับขั้น ก็ต้องสะกดข่มพลังดั้งเดิมของตนในฐานะมนุษย์

ในไม่ช้าภัยพิบัติแห่งมารตนนั้นก็มาถึง เขาเตรียมบุกทะลวงผ่านไปอีกระดับขั้นเพื่อดูดซับพลังปราณ ต่อต้านความทุกข์ทรมานที่ได้รับจากทัณฑ์สวรรค์ เป็นเวลาเดียวกันกับที่ปรมาจารย์เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าโจมตี

ในวันที่สงครามกลางมหานครแห่งจักรวรรดิก่อเกิดขึ้น ความหายนะแห่งห้วงนิพพานของมารก็มาถึง ท้องฟ้าเบื้องบนในระยะหลายจั้งถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆสีแดงฉานประหนึ่งเลือด ในที่สุดมารตนนั้นก็สิ้นชีพลงภายใต้การจู่โจมจากทัณฑ์สวรรค์และด้วยน้ำมือของปรมาจารย์เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิง

ทว่าตามคำบอกเล่าของไป๋ชิวหราน ในวันนั้นแม้ว่าปรมาจารย์เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงจะไม่ได้ใช้กระบี่ประจำกายในการสังหาร แต่มารตนนั้นถูกฝังให้จมหายไปใต้พื้นธรณีด้วยอสนีบาต ความรุนแรงในวันนั้นเพียงพอที่จะฝังกลบคนทั้งเมืองไปพร้อมกันกับเขาได้

“หึ แม้ไม่ได้พบเจอกันมาระยะหนึ่ง แต่ฝีปากยังเราะร้ายไม่แปรเปลี่ยน ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดหลิงอวิ๋นถึงเกลียดชังเจ้านัก”

หวงฝู่เฟิงกล่าวตอบด้วยท่าทางหยิ่งทะนงไม่แยแส

“ฝีปากฉาวโฉ่ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าร่ำเรียนมาจากผู้ใดกันแน่ ระวังเถิด สักวันหากออกไปจากสำนักแห่งนี้โดยไร้ซึ่งคนคุ้มกะลาหัวอาจถูกคนอื่นฆ่าตายเอาได้”

“ฮึ่ม! เกรงว่าผู้ที่พึงระวังตัวควรเป็นเจ้าเสียมากกว่านะ”

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกล่าวพลางแสยะยิ้มเย้ยหยัน

“เจ้าจงสำรวจมองโดยรอบให้ถี่ถ้วน ตอนนี้ยังอยู่ในห้องโถงใหญ่ของสำนักกระบี่ชิงหมิง แม้จะเป็นผู้นำแห่งบรรดาผู้ฝึกตนสายมาร แต่เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งเจ็ดสามารถร่วมมือกันสร้างค่ายกล จากนั้นจะสังหารเจ้าให้ตายตกไปอย่างไม่ยากเย็น”

“โอ้ คำพูดช่างดึงดูดยั่วยวนใจเหลือเกิน หลายปีมานี้ข้าเองใคร่รู้ว่าฝีมือของเจ้าพัฒนาขึ้นมากน้อยไปเพียงใด?”

หวงฝู่เฟิงเอื้อมมือไปจับด้ามกระบี่ของตนทันที แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจและปล่อยผ่านไปเสีย

“ช่างมันเถอะ ครั้งนี้ข้าตั้งใจมาพบผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงเพื่อประลองกับเขา แล้วจู๋เฟิงหายหัวไปหลบอยู่ที่ใดเสียแล้ว?”

“เจ้ามาผิดเวลาแล้วล่ะ เฮ้อ ผู้อาวุโสสูงสุดยังเก็บตัวอย่างสันโดษอยู่ในสถานที่ปลีกวิเวกห่างไกล เพื่อเตรียมตัวก้าวข้ามผ่านความหายนะแห่งห้วงนิพพานเช่นเดียวกัน”

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อยกขาขึ้นนั่งในท่าไขว่ห้างพลางเอ่ยตอบ

“เจ้าควรจะกลับไปรอคอยอีกสักสิบถึงยี่สิบปี แล้วค่อยมาที่นี่อีกครั้งก็ยังไม่สาย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! หมายความว่าอย่างไร นี่เขายังไม่ประสบความสำเร็จในการข้ามผ่านความหายนะแห่งห้วงนิพพานอีกงั้นรึ?!”

หวงฝู่เฟิงเผยรอยยิ้มสาแก่ใจบนใบหน้า

“ครั้งนี้ข้าเป็นฝ่ายชนะ! ต้องฉลองด้วยสุราจอกใหญ่เสียแล้ว ก๊ากกกก!”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เจ้าชนะแล้ว”

เจวี๋ยอวิ๋นจื่อโบกมือตัดบทอย่างนึกรำคาญ

“ในสำนักกระบี่ชิงหมิงไม่มีสุราสักไห ให้คนสำนักอสูรสวรรค์ของเจ้ารับหน้าที่นี้แทนเถอะ”

“อืม เรื่องร่ำสุราเฉลิมฉลองค่อยว่ากันคราวหลัง”

หวงฝู่เฟิงไม่ขอตัวลาจากไปในทันที กลับเหยียดยิ้มขณะเอ่ยถาม

“ในเมื่อจู๋เฟิงอยู่ในช่วงเก็บตัวอย่างสันโดษ แล้วบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเล่า? ข้าได้ยินซูเซียงเสวี่ยบอกว่าเจ้านั่นเพิ่งลงจากยอดเขาเมื่อไม่นานมานี้จริงรึ?”

“โอ้ ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”

เจวี๋ยอวิ๋นจื่ออุทานพลางจับจ้องไปยังหวงฝู่เฟิงด้วยสายตาอันแฝงด้วยเลศนัยแปลกประหลาด

“ตอนแรกคิดว่าเจ้าคงมาที่นี่เพื่อขอคำชี้แนะ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าไม่ได้มาขอคำชี้แนะแต่อย่างใด… ดี ในเมื่อฝักใฝ่หมัดเมาถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าจะสานฝันให้สมใจปรารถนา ตอนนี้ท่านอาจารย์ลุงอยู่บนยอดเขาชีซิง เจ้ารีบไปพบเขาเถิด”

[1] เป็นสำนวนซึ่งมีที่มาจากวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก มีความหมายว่า เมื่อเรากำลังพูดถึงบุคคลใดอยู่ บุคคลนั้นก็มาถึงพอดี