บทที่ 92 ฝ่าบาททรงโกรธเคือง

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“เจ้าสาม คุณหนูเฮ่อเหลียนยื่นมือของนางมาแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่รับดอกไม้คืนไปเล่า ดอกอิงฮวานั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใดเลย” มู่หรงฮองเฮามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ “โชคดีที่เวยเวยคนนี้มีสามัญสำนึกที่ดี และเข้าใจว่าเจ้าไม่เคยเข้าร่วมงานชมดอกไม้มาก่อน จึงไม่รู้ความหมายของดอกอิงฮวาสีขาว” หลังจากพูดจบ นางก็มองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย และยิ้มให้อย่างจริงใจ “ใช่หรือไม่ เวยเวย”

“เพคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวไปข้างหน้า และมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนจะพูดอย่างสง่างามและกล้าหาญ “องค์ชายสามเพคะ ดอกไม้นี้ฝ่าบาทมอบให้กับคนอื่นเถิดเพคะ”

นางไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับเขาเลย

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเขา ไม่ว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใดก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ

นางเคยได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้ อดีตฮ่องเต้เคยกดดันให้องค์ชายสามแต่งงานอยู่หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน

แต่องค์ชายสามไม่เคยเหลียวมองหญิงสาวคนใดเลย

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อดีตฮ่องเต้ต้องจัดการปัญหาด้วยวิธีนี้ และให้เขาเลือกพระชายาในงานชมดอกไม้เช่นนี้นั่นเอง

ตอนนี้ดูแล้ว องค์ชายสามคงขี้เกียจเกินกว่าจะต่อกรกับอดีตฮ่องเต้แล้ว

เขาเผชิญหน้ากับอดีตฮ่องเต้และตั้งเงื่อนไขข้อหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเงื่อนไขข้อนั้นคืออะไร

ไม่ว่าอย่างไร การคัดเลือกพระชายาของเขาก็เป็นแค่คำสั่งจากอดีตฮ่องเต้เท่านั้น

ในสายตาของเขา ผู้หญิงแต่ละคนนั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย

สิ่งที่พวกนางสามารถทำได้มากที่สุด ก็คือช่วยเขาให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ได้เท่านั้น

และเหตุผลที่เขาเลือกนาง อาจเป็นเพราะว่าเขาต้องการจะทำให้อดีตฮ่องเต้โกรธก็เท่านั้น

เฮ่อเหลียนเวยเวยเชื่อว่าเขาไม่ได้เต็มใจจะมอบดอกไม้ให้กับนาง หากนางไม่ใช่ ‘ผู้หญิงไร้ค่า’ และ ‘อัปลักษณ์จนเกินจะทนได้’ เขาก็คงไม่สามารถยั่วโทสะอดีตฮ่องเต้ให้ไม่พอใจได้นั่นเอง

และเขาก็จะไม่สามารถทำให้ผู้คนตกตะลึงได้ด้วยคำพูดเหล่านั้น

บางที ตอนนี้เขาอาจจะกำลังรู้สึกเสียใจอยู่ก็เป็นได้

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน ขณะมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางยินดีกับเขาด้วยที่สามารถเลือกใหม่ได้อีกครั้ง จริงๆ แล้ว เหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายต่างก็ต้องการที่จะแต่งงานกับเขาทั้งสิ้น แม้ว่าจะเป็นในความฝันของพวกนางก็ตาม โดยเฉพาะเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์…

“ไม่ต้องการดอกไม้นี้หรือ” ริมฝีปากเย้ายวนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มเสียทีเดียวท่าทีของเขาดูเยือกเย็น ราวกับเป็นลมจากทิศเหนือที่พัดมาในฤดูหนาว มันหนาวเหน็บไปถึงกระดูก

เงาทมิฬที่ยืนอยู่ข้างหลังเขารู้สึกร่างกายแข็งเกร็ง

เขารู้ดีว่านายท่านของเขากำลังโกรธ

คนอย่างฝ่าบาท เวลาโกรธ เขาจะยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม และรอยยิ้มนั้นก็จะเยือกเย็นและแผ่ซ่านไปถึงกระดูก ทำให้ผู้คนตัวสั่นสะท้าน

เขาไม่ได้ยินฝ่าบาทพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มานานมากแล้ว

แต่ครั้งนี้ นายท่านของเขาคงจะต้องรู้สึกโกรธมากจริงๆ

และผลที่จะตามมาจากความขุ่นเคืองใจของฝ่าบาทนั้น…

เงาทมิฬไม่กล้าคิด ฝ่าบาทไม่เคยใช้วิธีนุ่มนวลเลยสักครั้ง และบางครั้งมันก็โหดร้ายทารุณอย่างรุนแรง

แม้ว่าเขาจะมีท่าทีไม่แยแสอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีอารมณ์โกรธเคือง

บุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นได้กระตุกหนวดเสือของนายท่านคนนี้อย่างน่าระทึกขวัญจริงๆ…

“สิ่งที่ไม่เป็นที่ต้องการนั้น จะมีค่าอะไรอีกเล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดต่อ ภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องมองมา หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกไปจนถึงกระดูก เขาก็ขยับนิ้วมือของตนเอง และบดขยี้ดอกอิงฮวาสีขาวในฝ่ามือทีละน้อย จนแหลกละเอียดเป็นผุยผงอยู่ที่พื้น

เสียงรอบข้างหยุดลงอย่างกะทันหัน ฮองเฮามองใบหน้าด้านข้างของเขาที่ดูเคร่งขรึมและโหดเหี้ยมจนรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก หัวใจของนางเต้น ‘ตุบๆ’ อย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นแววตาอันคมกริบและเยือกเย็นจนอุณหภูมิติดลบคู่นั้นแล้ว นางก็นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่

ในปีที่ฮองเฮาต้องจัดการกับแม่ผู้ให้กำเนิดของเขา นางยังไม่รู้สึกกดดันขนาดนี้เลย และยิ่งนางมองดูเขาบ่อยขึ้นเท่าไหร่ นางก็มักจะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ทุกครั้งไป

เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วมองตนเอง ดวงตาของนางเหลือบขึ้นเล็กน้อย คำพูดของเขามันหมายความว่าอย่างไรกัน

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสวมเสื้อคลุมสีดำเหมือนแต่ก่อน นอกจากแหวนหยกดำตรงนิ้วโป้งแล้ว ก็ไม่มีเครื่องประดับที่ไม่มีความจำเป็นชิ้นอื่นอีก ความมืดมิดราวกับราตรีกาลตัดกับผิวหนังของเขา จนทำให้ชายผู้นี้ดูเย็นชาและสง่างามยิ่งขึ้น

ท่ามกลางความเงียบงัน ผมหยักศกสีดำยาวของเขาที่เป็นระเบียบนั้น ก็ยาวสยายลงมาถึงช่วงเอว ท่าทีที่ดูสมบูรณ์แบบของเขานั้นราวกับเป็นแม่น้ำอันเยือกเย็นในคืนเดือนหงายที่เหน็บหนาว จนผู้คนตัวสั่นเทาอย่างอดไม่ได้

เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะละสายตาของตนเองออกไป แต่เขาเคลื่อนไหวได้เร็วกว่านาง และทันใดนั้น เขาก็ดึงแขนของนางไว้แน่น แล้วนิ้วเรียวยาวของเขาก็จับคางของนางขึ้น บังคับให้อีกฝ่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของเขา

ดวงตาที่เย็นเยียบราวกับลำธารในช่วงฤดูหนาวคู่นั้นช่างดูลึกซึ้งและเงียบสงบ ราวกับบ่อน้ำโบราณที่ไม่มีก้นบ่อ หากใครถูกสายตาคู่นี้จ้องมอง คนๆ นั้นก็จะต้องถูกครอบงำ

ดูเหมือนว่าครั้งนี้ เขาจะไม่ได้ทำตามวิธีการในแบบของเขา

ทันใดนั้น ก็มีเสียงหอบดังขึ้นมาภายในลานกว้าง

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้มีใบหน้าที่ซีดขาวไร้สีเลือดอยู่แล้ว จู่ๆ ก็ราวกับว่าขาดอากาศหายใจ นางกำผ้าเช็ดหน้าสีขาวไว้ในมือแน่น พร้อมกับขบริมฝีปากของตนเองจนเกือบจะเลือดออก

แม้แต่ดวงตาของฮองเฮาเองก็เบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ

แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดูจะไม่แยแสสิ่งใด เขาทำราวกับว่าไม่มีคนอื่นอยู่รอบๆ

จากนั้น ชายหญิงทั้งสองคนก็ต่างจ้องตากันอยู่เช่นนั้น

ในช่วงเวลานั้นเอง ก็เหมือนว่าอากาศจะหยุดนิ่ง

ภายใต้ความเงียบงันที่มีเสียงหอบหายใจออกมาเป็นหมื่นๆ เสียง

ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เห็นภาพลวงตา และรู้สึกว่าภายใต้ท้องฟ้าในโลกใบนี้เหลือเพียงแค่เขาและนางเท่านั้น

หัวใจของนางเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ และเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ… ชายคนนี้คิดจะทำอะไรกัน

“ไม่อยากเป็นชายาของข้าหรือ”

เฮ่อเหลียนเวยเวยมึนงง และตอบกลับไปตามมารยาท “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ”

“มิบังอาจ…” เขาหัวเราะหึ ความแข็งแกร่งของฝ่ามือของเขานั้นไม่ได้อ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย จนทำให้ใครๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายที่เย็นเฉียบไปถึงกระดูก

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องพูดย้ำคำพูดของนาง

จากนั้น นางก็ได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกข้างๆ หูของตน “ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เจ้าไม่กล้าทำหรอก”

นางแค่ไม่อยากมีความสัมพันธ์เช่นนั้นกับเขา

แม้แต่จะเป็นแค่คำโกหกก็ตาม

นางช่างเป็นลูกแกะน้อยที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีจริงๆ

เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางหลีกเลี่ยงและไม่ต้องการที่จะยั่วยุชายคนนี้มาตลอด เพราะก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์เคยบอกเอาไว้ว่า นางจะมีเรื่องกับใครก็ได้ แต่อย่ามีเรื่องกับชายคนนี้

แน่นอนว่านางไม่คิดเลยว่าตนเองที่ตั้งใจเพียงแค่มาร่วมงานเลี้ยงเท่านั้น กลับได้รับการคัดเลือกจากเขาเช่นนี้

ตอนนี้ ท่าทีของเขาทำให้ร่างกายของเฮ่อเหลียนเวยเวยแข็งทื่อเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่ได้พูดคุยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน นางก็เห็นถึงความจองหองและเย่อหยิ่งของเขา เขาบริสุทธิ์และสูงส่งราวกับเป็นเทพเจ้าที่จุติมาบนโลก นางยังได้เห็นตอนที่เขาเมา แล้วมีท่าทีเกียจคร้าน และมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ แต่นางก็นึกไม่ออกเลยว่า หากชายคนนี้โกรธเคืองขึ้นมา เขาจะทำอะไรที่น่าตกใจได้บ้าง

หรือบางทีนี่อาจจะเป็นตัวตันที่แท้จริงของเขาก็เป็นได้

ปกติแล้ว เขามักจะซ่อนเร้นมันไว้อย่างดี ดังนั้น ทุกคนจึงเกือบจะเข้าใจผิดว่าองค์ชายสามเป็นคนบริสุทธิ์และสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และจิตใจของเขาก็ไร้ซึ่งอารมณ์ทั้งความสุขหรือความโกรธเคืองใดๆ

อย่างไรก็ตาม วันนี้ นางสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองของเขา ราวกับเป็นฝนน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก จนทำให้ผู้คนราวกับถูกแช่แข็งไปทั้งตัว แม้แต่เลือดในร่างกายก็ยังแข็งตัวไปด้วย…

“มันเป็นการคัดเลือกของข้า แต่เจ้ากลับพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบ…” ดวงตาอันเย็นชาของเขาก้มต่ำลงไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างตั้งใจ ภายในดวงตาคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความพยายามยับยั้งชั่งใจ ความอยากเอาชนะ และอยากครอบครองโลกใบนี้ น้ำเสียงของเขาฟังดูชัดเจนและเย็นชา อย่างไรก็ตาม สิทธิในการตัดสินใจเลือกก็อยู่ในกำมือของเขา “ตบปาก”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเปิดฝ่ามือของตนเองออกเล็กน้อย ดอกอิงฮวาสีขาวที่อยู่ในมือของเขาร่วงลงพื้นเป็นผุยผงทันที ทำให้ทุกคนต่างก็สั่นสะท้าน

เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็รู้สึกโกรธเช่นกัน ความขุ่นเคืองใจนั้นก่อให้เกิดเปลวไฟในดวงตาของนาง นางพูดจาไร้ความรับผิดชอบเช่นนั้นหรือ

นางก็แค่ไม่ได้ตอบรับเขาก็เท่านั้น

และนางแทบจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะปฏิเสธเขาเลยด้วยซ้ำ

เมื่อได้ยินดังนั้น มุมปากของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็แสยะยิ้มยินดีกับหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้หญิงคนนั้นก็แค่นังแพศยาคนหนึ่งที่ยืนกับฝ่าบาทอย่างหน้าไม่อายเช่นนั้น นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้ายิ่งนัก

นางอยากจะเห็นจริงๆ ว่าครั้งนี้ นังแพศยาคนนั้นจะหนีเอาตัวรอดไปได้อย่างไร