ตอนที่ 361 – โรงน้ำชา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 361 – โรงน้ำชา

เผชิญกับการเชื้อเชิญของหลิงอวิ๋นเฮ่อ โม่เทียนเกอครุ่นคิดสามตลบ ยังคงไม่มีคำตอบที่แน่นอน

ถึงแม้ว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อจะพูดมาดีมาก แต่รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ จะตกลงอย่างนี้ก็เสี่ยงเกินไป

สำหรับเรื่องนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อรู้สึกเสียดายมาก แต่ก็แจ้งต่อโม่เทียนเกอด้วยมารยาทอันดีว่าขอให้นางคิดทบทวนดี ๆ

โม่เทียนเกอรับปาก นางมิใข่ว่าจะไม่ไปแน่ ๆ ถึงอย่างไรศักดิ์ฐานะของหลิงอวิ๋นเฮ่อก็เป็นอย่างนี้ สมมติว่าเขากลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเยี่ยน การมีมิตรภาพกับเขาจะสะดวกขึ้นมากที่อวิ๋นจง ถึงเขาจะไม่ได้เป็นเจ้าสำนัก ปัจจุบันนี้นางอยู่ตัวคนเดียวที่อวิ๋นจง การรู้จักกับผู้อาวุโสของสำนักจิ่วเยี่ยนหนึ่งคนก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก

หลังจากบอกลาหลิงอวิ๋นเฮ่อ โม่เทียนเกอก็ออกจากถ้ำพำนัก ไปยังตลาดของเมืองเทียนเสวี่ย

ไม่ว่าจะตกลงหรือไม่ตกลง นางย่อมต้องมอบคำตอบอย่างหนึ่งให้หลิงอวิ๋นเฮ่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ไปสอบถามข้อมูลในเมืองเทียนเสวี่ยก่อน ดูว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นจริงหรือเท็จ มีค่าให้ไปเสี่ยงอันตรายจริง ๆ หรือไม่

ตลาดของเมืองเทียนเสวี่ยตั้งอยู่ใจกลางเมืองเทียนเสวี่ย นางถือแผนที่แผ่นนั้นในมือ นอกจากสัญลักษณ์ถ้ำพำนักสกุลหลิงที่เป็นเท็จแล้ว อย่างอื่นล้วนเป็นจริง โม่เทียนเกอหาตำแหน่งของตลาดเจอตามแผนที่อย่างราบรื่น

ตลาดของเมืองเทียนเสวี่ยก็เป็นของสกุลหลิง โม่เทียนเกอเพิ่งเหยียบย่างเข้าตลาดก็เห็นตัวอักษรหลิงขนาดยักษ์โบกสะบัดตรงประตู ในเมื่อเมืองเทียนเสวี่ยส่วนใหญ่ล้วนเป็นพื้นที่ของสกุลหลิง เช่นนั้นตลาดเป็นของสกุลหลิงก็ปกติมาก นี่เป็นแหล่งรายได้ศิลาวิญญาณปริมาณมาก ตระกูลฝึกเซียนที่มีกิจการประจำสกุลใด ๆ ล้วนจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจตลาด

ส่วนเป้าหมายการเดินทางของโม่เทียนเกอก็คือโรงน้ำชาของเมืองเทียนเสวี่ย

โรงน้ำชาที่เรียกกันนี้ค่อนข้างมีอยู่ทั่วไปทั้งอวิ๋นจง บทบาทของมันคืออำนวยความสะดวกให้ผู้ฝึกตนทำความรู้จักกับสหาย สอบถามข่าวสาร เริ่มแรกที่โม่เทียนเกอเห็นสัญลักษณ์ของโรงน้ำชาบนแผนที่ นางยังไม่ค่อยเข้าใจ หลังจากถามหลิงอวิ๋นเฮ่อแล้วจึงรู้บทบาทของโรงน้ำชา

ด้วยเหตุนี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ่งมั่นใจว่านางมิใช่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจง โม่เทียนเกอก็ยอมรับอย่างกำกวมว่าตนเองเป็นผู้ฝึกตนของทวีปอื่นโพ้นทะเล ส่วนจะเป็นเซียวหยางหรือว่าหยวนโจวก็แล้วแต่หลิงอวิ๋นเฮ่อจะเดา เขาจะต้องเดาไม่ออกว่านางมาจากเทียนจี๋ ถึงอย่างไรเทียนจี๋กับอวิ๋นจงก็มีทะเลใต้ขวางกั้น แสนกว่าปีมาแล้วที่ไม่มีการติดต่ออันใดต่อกัน

โรงน้ำชาของเมืองเทียนเสวี่ยดูแล้วเป็นเพียงร้านค้าที่ค่อนข้างซอมซ่อ แต่ว่าธงอักษรชาที่แขวนสูงด้านบนพลิ้วไหวพริบพราว ดูไม่ธรรมดาเลย

ที่อวิ๋นจง ธงอักษรชาของโรงน้ำชามีลักษณะเฉพาะมากมาย ความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังวิญญาณที่ใส่เข้าไปเป็นสัญลักษณ์บอกระดับของโรงน้ำชา ถ้าหากมีเพียงพลังวิญญาณอ่อน ๆ นั่นแสดงว่าหลัก ๆ แล้วต้อนรับผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณ หากธงอักษรชาเป็นอุปกรณ์วิญญาณ นั่นก็หมายความว่ามีผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังชุมนุม หากเป็นอุปกรณ์เวท จะสามารถพบผู้ฝึกตนก่อเกิดตานในโรงน้ำชา แน่นอนว่าธงอักษรชาก็สามารถเป็นอาวุธเวท เช่นนั้นหมายความว่าในโรงน้ำชามีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่นั่งประจำการ แต่โม่เทียนเกอคิดดูก็รู้ว่านี่เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น อาวุธเวท ถึงระดับการฝึกเซียนของอวิ๋นจงจะสูงกว่าเทียนจี๋อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้สูงจนอาวุธเวทจะแขวนอยู่ข้างนอกสุ่มสี่สุ่มห้ากระมัง?

ธงอักษรชาของโรงน้ำชาเมืองเทียนเสวี่ยเบื้องหน้านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นอุปกรณ์เวท นี่แสดงว่า ในโรงน้ำชาสามารถหาพบผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน

นี่ก็ไม่ประหลาด เมืองเทียนเสวี่ยอยู่ใกล้สำนักจิ่วเยี่ยน เป็นฐานหลักของสกุลหลิงแห่งสำนักจิ่วเยี่ยน ผู้ฝึกตนระดับสูงในระแวกใกล้เคียงย่อมไม่น้อย

แต่โม่เทียนเกอยังคงไม่ได้เผยระดับการฝึกตนอันแท้จริง เพราะว่าเรื่องที่นางอยากสอบถามเกี่ยวข้องกับเรื่องภายในสำนักของสำนักจิ่วเยี่ยน ฐานะผู้ฝึกตนก่อเกิดตานกลับจะไม่สะดวกสักหน่อย

“ผู้อาวุโสท่านนี้ ท่านมาผู้เดียวหรือขอรับ” เพิ่งจะมาถึงปากประตูโรงน้ำชาก็มีผู้ฝึกตนระดับต่ำยกม่านประตูขึ้นทันที ชักจูงนางเข้าไปอย่างเอาใจใส่ถึงสิบส่วน

เข้าประตูไปแล้ว โม่เทียนเกอเงยหน้ามองไปรอบ ๆ รู้สึกเพียงสายตาเบื้องตากระจ่างแจ้ง เข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง

ภายนอกดูเป็นเพียงร้านค้าสามัญ ส่วนภายในกลับมีห้องโถงใหญ่ขนาดเท่าลานกว้าง

ในห้องโถงใหญ่จัดวางโต๊ะเก้าอี้ตัวยาวหลายตัว กั้นไว้ด้วยไม้ดอก ดูไม่เป็นระเบียบอย่างสวยงาม กว้างขวางสว่างไสว มีผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนใกล้เคียงกันมากมายนั่งเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน ร่วมวงพูดคุยหัวเราะ

โม่เทียนเกอกวาดมองหนึ่งรอบ ค้นพบว่าในนี้ที่มีมากที่สุดก็คือผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณไม่ได้มากมายเลย ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานย่อมน้อยที่สุด คาดว่ามีเพียงประมาณสิบคน อีกทั้งล้วนอยู่ในห้องข้าง

“ผู้อาวุโส ท่านมาผู้เดียวหรือขอรับ” ผู้รับใช้ที่ต้อนรับนางถามอีกครั้ง

โม่เทียนเกอดึงสติกลับมา พยักหน้าให้เขา “มิผิด”

ผู้รับใช้นี้เผยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ ถามต่อว่า “เช่นนั้นท่านมาเสาะหาพวกพ้องหรือว่าพบปะกับสหายเล่าขอรับ”

เสาะหาพวกพ้อง? โม่เทียนเกอคิด ๆ ดูแล้วคาดว่าคือการเสาะหาผู้ฝึกตนร่วมระดับไปผจญภัยด้วยกัน นางตอบว่า “อยากจะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ฝึกตนร่วมระดับ”

“อ้อ อย่างนี้เอง” ผู้รับใช้นี้แนะนำ “ค่าธรรมเนียมของโรงน้ำชาพวกเราคือหนึ่งศิลาวิญญาณ หากท่านดำเนินการเองจะไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายอื่นอีก หากท่านต้องการให้แนะนำผู้อาวุโสหรือว่าเสาะหาผู้คนหรืออื่น ๆ ก็จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม”

โม่เทียนเกอพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว หยิบศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนยื่นให้เขา ผู้รับใช้นี้แลกเป็นแผ่นป้ายแขวนเอวหนึ่งแผ่นยื่นให้ทันที เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสท่านตามสบาย หากมีธุระค่อยเรียกพวกเราใหม่”

โม่เทียนเกอส่งเสียงตอบรับ สุ่มหาที่นั่งว่าง ๆ ในห้องโถงใหญ่ ผู้รับใช้นั้นนำชามาให้แล้วจากไป

โม่เทียนเกอนั่งบนที่ว่างติดผนัง จิบชาช้า ๆ ด้วยตัวคนเดียว สายตากวาดมองคนอื่น ๆ ในห้องโถงเป็นครั้งคราว

ผู้ฝึกตนในนี้ดูจะกระตือรือร้นกว่าที่เทียนจี๋มาก นางเห็นกับตาว่าผู้ฝึกตนที่ไม่ได้รู้จักกันเลยสองคนหลังจากเริ่มสนทนากันก็พูดคุยกันอย่างออกรสมาก วิชากั้นเสียงของผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัญหากับนาง นางได้ยินอย่างชัดเจนว่ามีผู้ฝึกตนพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการฝึกตน ประสบการณ์บางอย่างที่เทียนจี๋ถือเป็นความลับ มีเพียงสหายที่สนิทสนมอย่างยิ่งหรือว่าผู้ร่วมสำนักจึงจะพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน พวกเขากลับไม่เก็บงำสักนิด

นางแอบคิดในใจว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ที่อวิ๋นจงแห่งนี้ บรรยากาศของการฝึกตนยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

“สหายเต๋าท่านนี้!” กำลังคิดอยู่ ข้างหูมีเสียงดังขึ้นมา

โม่เทียนเกอหันหน้าไปมอง กลับเป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังขั้นกลางบุรุษฉกรรจ์เปิดฉากสนทนากับนาง “ไม่ทราบสหายเต๋ามาเสาะหาพวกพ้องหรือไม่”

โม่เทียนเกอส่ายหน้าเบา ๆ

บุรุษฉกรรจ์นี้เห็นนางระดับการฝึกตนโดดเด่น ไม่ยอมแพ้อยู่บ้าง ถามอีกประโยคว่า “สหายเต๋าไม่สนใจจะไปเสาะหาสมบัติหรือ พวกเราขาดเพียงคนเดียว”

โม่เทียนเกอส่ายหน้าอีกรอบ ยิ้มบาง ๆ “จ้ายเซี่ยเพียงมาพักผ่อนชั่วครู่ และถือโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ร่วมเส้นทาง”

ได้รับคำตอบปฏิเสธอีกครั้ง บุรุษฉกรรจ์นี้ถึงจะรู้สึกเสียดาย แต่ไม่ได้พัวพันมากมาย กล่าวขออภัยคำหนึ่งแล้วก็จากไป

ถัดจากนั้นมีคนอีกหลายคนมาสนทนาด้วย สองคนในนั้นก็มาเสาะหาพวกพ้อง หลายคนที่เหลือกลับอยากจะแลกเปลี่ยนสิ่งของ โม่เทียนเกอยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ

“สหายเต๋าท่านนี้ จ้ายเซี่ยสามารถนั่งที่นี่ไหม”

ข้างหูมีเสียงดังขึ้นมากอีก โม่เทียนเกอหันหน้าไปมอง ครั้งนี้เป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังขั้นต้นรูปลักษณ์เยาว์วัย มองนางอย่างเขินอายอยู่บ้าง

นางคิดดู นั่งที่นี่ ความหมายของวาจานี้คืออยากจะพูดคุยกับนางกระมัง

สิ่งที่นางรอคือสิ่งนี้ พยักหน้ายิ้มบาง ๆ ทันที “แน่นอน”

เห็นนางท่าทางสุภาพ ชายหนุ่มนี้ยินดีอย่างยิ่ง ระดับการฝึกตนที่โม่เทียนเกอแสดงออกตอนนี้คือสร้างฐานพลังขั้นปลาย สร้างฐานพลังไม่ใช่หลอมรวมพลังวิญญาณ ขั้นต้นกับขั้นปลายแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง ผู้ฝึกตนขั้นปลายคนหนึ่งมีค่าเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นต้นหลายคน

ชายหนุ่มคนนี้นั่งลง ผู้รับใช้ที่เดินอยู่ข้าง ๆ ส่งชามาทันทีแล้วล่าถอยไปอย่างนอบน้อม

“จ้ายเซี่ยแซ่ถาน นาม ตงเฉิน ชาวชิงโจว ไม่ทราบว่าสหายเต๋าเรียกขานว่าอย่างไร” ชายหนุ่มนี้เอ่ยปากอย่างสุภาพ

“ข้าแซ่ฉิน นามเวย มาจากโพ้นทะเล” โพ้นทะเล เป็นคำเรียกที่อวิ๋นจงใช้เรียกทวีปอื่นที่ขว้างกั้นด้วยมหาสมุทรอย่างเซียวหยาง, หยวนโจว นางมาจากเทียนจี๋ พูดตามเหตุผลแล้วก็สามารถพูดได้ว่าเป็นโพ้นทะเล

ถามตงเฉินได้ยินวาจานี้แล้ว แววตาวิบวับขึ้นมา “สหายเต๋าถึงกับมาจากโพ้นทะเล คิอว่าจะต้องรอบรู้กว้างขวางถึงสิบส่วนแล้ว”

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ปฏิเสธ “เพียงเคยไปมาหลายสถานที่”

นางเงยหน้ามองชายหนุ่มคนนี้ เขาอายุเยาว์มาก ท่าทางเพียงยี่สิบต้น ๆ สีหน้าขี้อาย คล้ายกับว่าไม่ชำนาญการคบหากับผู้คน แต่สง่างามมีมารยาท ดูท่ามีการอบรมมาก

โม่เทียนเกอคาดเดาจากประสบการณ์ของตนเอง ชายหนุ่มนี้มีเพียงระดับสร้างฐานพลังขั้นต้น หน้าตาก็ไม่คล้ายกับเคยกินสิ่งของจำพวกยารักษาโฉม การยกมือวางเท้าขาดประสบการณ์ยิ่ง คาดว่าเพิ่งจะสร้างฐานพลัง ไม่แน่ว่าอายุก็แค่ยี่สิบสามสิบปี

คิดอย่างนี้ นางเอ่ยปากถามว่า “สหายเต๋าถานอายุเยาว์ขนาดนี้ เพิ่งจะสร้างฐานพลังสินะ?”

ถามตงเฉินเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “สหายเต๋าฉินรู้ได้อย่างไร” วาจานี้กลับเป็นการยอมรับแล้ว

โม่เทียนเกอยิ้มบาง “ประสบการณ์เท่านั้นล่ะ มีชีวิตนานเข้า สิ่งที่เห็นก็จะมากแล้ว”

“อ้อ……” ได้ยินคำตอบนี้ของนาง ถานตงเฉินกลับดูหลงทางอยู่บ้าง เขาสังเกตผู้ฝึกตนสตรีที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้มานานมากแล้ว นางดูอายุไม่มาก กิริยาอ่อนโยน นั่งอยู่ตรงนี้เงียบ ๆ ถึงจะไม่ได้งดงามถึงสิบส่วน แต่ดึงดูดสายตาของคนอื่นมาก

ผู้ฝึกตนสตรีเช่นนี้ ที่อวิ๋นจงพบเห็นน้อยมาก ระดับการฝึกตนสูงเป็นเรื่องหนึ่ง สิ่งที่หายากคือลักษณะที่สงบสันติถึงสิบส่วน ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอด ทำให้คนเห็นแล้วมีความประทับใจอย่างเยี่ยมยอด

เขาเข้ามาพูดคุยก็เป็นการรวบรวมความกล้าหาญแล้ว เขารู้สึกมาตลอดว่ากูเหนียงท่านนี้ถึงจะมีระดับสร้างฐานพลังขั้นปลายก็น่าจะเยาว์วัยมากถึงจะถูก ไม่แน่ว่าเพียงมีอายุเจ็ดสิบแปดสิบปี เช่นนี้ก็ไม่ได้โตกว่าเขามากมาย…… แต่วาจาเมื่อครู่ของโม่เทียนเกอกลับเป็นการบอกใบ้ว่าตนเองอายุค่อนข้างมาก ทำให้เขาเดาผิด ผิดหวังอย่างยิ่ง

แต่ว่า จะผิดหวังอีกเท่าไร การที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกับสหายร่วมเส้นทางสร้างฐานพลังขั้นปลายคนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วก็เป็นเรื่องที่พบได้หาไม่ได้ ดังนั้น เขาปลุกสติขึ้นมาโดยเร็ว ยิ้มเอ่ยกับโม่เทียนเกอว่า “สหายเต๋าฉินสายตาเฉียบแหลม ข้าเพิ่งจะสร้างฐานพลังไม่นานจริง ๆ ออกมาท่องเที่ยว”

โม่เทียนเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สายตาหยุดบนตัวถานตงเฉิงครู่หนึ่ง ถามอีกว่า “สหายเต๋าถานท่วงท่าไม่สามัญ เป็นศิษย์สกุลใหญ่สินะ”

คำถามนี้ทำให้ถานตงเฉินเผยใบหน้าภาคภูมิใจ เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “มิผิด จ้ายเซี่ยเป็นศิษย์สกุลถานแห่งชิงโจว”

สกุลถานแห่งชิงโจว โม่เทียนเกอไม่ใช่ชาวอวิ๋นจง สำหรับเรื่องนี้ไม่มีความรู้สักนิด แต่เห็นสีหน้าของถานตงเฉินก็คิดว่าน่าจะเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง นางเอ่ยชมคล้อยตามไปว่า “สหายเต๋าถานเป็นศิษย์สกุลใหญ่ อีกทั้งอายุเยาว์มีอนาคต เป็นคนหนุ่มเปี่ยมพรสวรรค์โดยแท้”

“มิกล้า ๆ” ได้ยินนางชม บนใบหน้าถานตงเฉิงเผยรอยยิ้มเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าอยู่ในตระกูลไม่นับเป็นอะไรหรอก สามสิบกว่าปีจึงสร้างฐานพลัง พวกพี่ใหญ่ข้ายี่สิบต้น ๆ ก็สร้างฐานพลังแล้ว ข้ายังห่างชั้นนัก!”

“อ้อ? เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว ยิ้มเอ่ยอีกว่า “สามสิบกว่าปีสร้างฐานพลังก็ถือว่าหายากแล้ว ศิษย์ชั้นนำของสำนักใหญ่คาดว่าก็เพียงเท่านี้กระมัง”

ถานตงเฉินเกาศีรษะอย่างขัดเขิน เปลี่ยนเรื่องไปว่า “ไม่พูดเรื่องข้าแล้ว สหายเต๋าฉิน ท่านเป็นชาวโพ้นทะเล มาที่อวิ๋นจงเราได้อย่างไร ข้ายังไม่เคยพบชาวโพ้นทะเลเลย!”

“ข้ามาท่องเที่ยว” โม่เทียนเกอเอ่ย “เพิ่งมาจากเกาะเป่ยจี๋ ถึงเมืองเทียนเสวี่ยไม่นาน ได้ยินว่าเมืองเทียนเสวี่ยมีดรงน้ำชาก็เลยมาดูสักหน่อย พูดคุยแลกเปลี่ยนกับสหายร่วมเส้นทางของอวิ๋นจงหน่อย ไม่แน่ว่าจะมีส่วนช่วยเหลือต่อการฝึกตนของตัวเอง” นางมองชายหนุ่มคนนี้ ยิ้มบาง ๆ “สหายเต๋าถานในเมื่อเป็นศิษย์สกุลใหญ่ คิดว่าหูตาก็คงไม่สามัญ ไม่ทราบเต็มใจจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ฝึกตนกันหน่อยหรือไม่”

…………………………………