บทที่ 98 มีใจกตัญญู แต่ดูเหมือนจะมีไม่มาก
บทที่ 98 มีใจกตัญญู แต่ดูเหมือนจะมีไม่มาก
หลีรุ่นมองไปยังหัวไชเท้าขนาดใหญ่แล้วอุทานออกมา “องค์หญิงช่างน่าทึ่งเสียจริง”
ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะมีพรสวรรค์ในการเพาะปลูกเป็นพิเศษ อายุแค่สามขวบปีกลับทำได้ถึงเพียงนี้ หลังจากเติบโตขึ้นแล้วไม่รู้ว่าจะทำได้ถึงขนาดไหน
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของเขาแสดงความภาคภูมิใจออกมา
ราชครูหลีเองก็แย้มยิ้มกว้าง ตั้งแต่ฝ่าบาทของพวกเขามีองค์หญิงน้อยก็ดูจะมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาก
“ท่านพ่อ เช่นนั้นเสี่ยวเป่าจะออกไปก่อนนะเพคะ ท่านจะได้คุยกับท่านราชครูหลีต่อ”
หลังจากส่งของให้เสร็จแล้ว เสี่ยวเป่าก็หันหลังเตรียมออกไป แต่ราชครูหลีรั้งเอาไว้
“องค์หญิงเก้า กระหม่อมมาเพื่อพบท่านพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่า “???”
นางยืนนิ่ง ก่อนจะเงยใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นมอง แล้วถามออกมาเสียงหวาน
“ท่านราชครูมาหาเสี่ยวเป่าด้วยเรื่องอันใดหรือ”
ราชครูหลีกล่าวด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“กระหม่อมมาพบองค์หญิงเก้า ก็เพราะจะบากหน้ามาขอเฉ่าเหมยที่องค์หญิงทรงมอบให้คราวที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้งแรกเสี่ยวเป่ามอบเฉ่าเหมยให้ก็ถูกเขากินไปแล้ว หลังจากนั้น เมื่อบังเอิญได้พบเด็กน้อยอีกครั้ง องค์หญิงน้อยก็ยัดเฉ่าเหมยหลายลูกใส่มือเขา
แม้หลีรุ่นจะรู้สึกเขินอายอยู่บ้างที่จะรับของมาจากเด็ก ทว่าเมื่อคิดถึงท่านแม่ที่แก่ชราแล้ว เขาจึงทำตัวหน้าไม่อายรับมันมา ตัดสินใจว่าหลังจากนี้ ค่อยกลับไปหาของขวัญมามอบคืนให้องค์หญิงเก้า
หลังจากนำเฉ่าเหมยกลับไปแล้ว มารดาเฒ่าผู้ไม่มีความอยากอาหารเนื่องจากปัญหาการเคี้ยว สามารถกินมันลงไปสามลูกในคราวเดียว ทั้งยังไม่เต็มใจจะทานอีกสองลูกที่เหลือ หลังจากกินไปแล้วความอยากอาหารก็ดีขึ้นมาไม่น้อย
ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ความอยากอาหารของมารดาเฒ่าย่ำแย่ลง หลีรุ่นคิดว้าวุ่นอยู่นานก่อนจะบากหน้าตนเองมา
แน่นอนว่า เขาย่อมต้องนำของขวัญมาด้วย หากขอร้ององค์หญิงเก้าด้วยมือเปล่า เช่นนั้นเขาคงกลายเป็นคนหน้าไม่อายโดยสมบูรณ์
“ได้สิ~”
เสี่ยวเป่าตอบรับโดยไม่ต้องคิด ตอนนี้เฉ่าเหมยของนางมีจำนวนไม่น้อยที่สุกพร้อมทานทุกวัน
หลีรุ่นรีบกล่าวขอบพระทัย ก่อนจะมอบของขวัญของตนเองให้
“ของเหล่านี้ไม่ได้มีค่าอันใดมากมาย หวังว่าองค์หญิงจะไม่รังเกียจ”
การหาของขวัญสำหรับเด็กเล็กสร้างความยุ่งยากให้เขาเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ เมื่อต้องส่งมอบของขวัญให้เพื่อนรวมงาน เขาล้วนส่งพู่กัน หมึก ตำรา และภาพวาดไปให้ ทว่าองค์หญิงน้อยอายุเพียงแค่สามขวบ ไม่เหมาะที่จะส่งสิ่งเหล่านั้นให้
หลีรุ่นสืบเสาะเรื่องความชื่นชอบขององค์หญิงอย่างละเอียด พบว่าองค์หญิงชอบกิน อัญมณีที่เปล่งประกายระยิบระยับ และเมล็ดพันธุ์แปลก ๆ
ราชครูหลีนับว่าเป็นขุนนางสุจริตผู้หนึ่ง ในบ้านไม่มีเพชรพลอยล้ำค่าอันใด สิ่งล้ำค่าที่สุดของเขาก็คือภาพวาด ภาพเขียนอักษร และตำราจำนวนนับไม่ถ้วน
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแต่หาของกินกับเมล็ดพันธุ์มา
เขาจริงใจเป็นอย่างมาก เพื่อของเหล่านี้ถึงกับไปตลาดเพื่อตามหาซื้อด้วยตัวเอง
เสี่ยวเป่ายังไม่ทันจะรู้ว่าราชครูหลีมอบสิ่งใดให้ ก็พูดออกมาแล้วว่าอย่างไรก็ไม่รังเกียจ
หลังจากนั้น เสี่ยวเป่าก็บอกลาท่านพ่อ แล้วพาราชครูหลีไปยังสวนเฉ่าเหมยของนาง
ก่อนจะถึงพวกเขาต้องเดินผ่านสวนผัก เมื่อได้เห็นพืชผักที่อุดมสมบูรณ์จำนวนมาก ราชครูหลีก็แสดงแววตาหวนคิดถึงขึ้นมา
“ก่อนที่จะกลายเป็นขุนนางในราชสำนัก บ้านของกระหม่อมก็เคยเพาะปลูกสิ่งต่าง ๆ มาไม่น้อย มารดาของกระหม่อมลงมือลงแรงด้วยตัวเอง ปลูกผักขายส่งเงินให้ข้าได้ร่ำเรียนหนังสือ”
เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะ “ท่านราชครูต้องการเมล็ดพันธุ์หรือไม่”
ราชครูหลีกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้กระหม่อมไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องเหล่านี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นให้มารดาของท่านปลูกก็ได้ ท่านบอกว่ามารดาของท่านปลูกผักได้เก่งมาก”
“นางชราแล้ว ตอนนี้สมควรแก่การพักผ่อนเสวยสุข”
เสี่ยวเป่าบ่นพึมพำออกมา “ยิ่งขยับร่างกายต่างหากยิ่งดี”
ราชครูหลีชะงัก ไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดออกมาอยู่ครู่หนึ่ง
แม้มารดาของเขาในตอนนี้จะมีคนคอยดูแลอยู่ทุกวัน ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงอันใดมากมาย แต่ร่างกายของนางกลับไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเมื่ออดีตที่ยังปลูกผักอยู่ที่บ้านเกิด
เพราะความเป็นห่วงของเขา จึงไม่ยอมปล่อยให้มารดาต้องทำเรื่องเหน็ดเหนื่อย
“เหตุใดองค์หญิงจึงกล่าวเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ?”
เสี่ยวเป่ามองเขาด้วยสายตาฉงน “ออกกำลังมาก ๆ ถือเป็นเรื่องดี ท่านราชครูโง่งมนัก แม้กระทั่งเรื่องนี้ก็ไม่รู้”
ราชครู “…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเรียกว่าคนโง่ ซ้ำยังเป็นเด็กสามขวบที่เอ่ยออกมา
ทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด กลับโล่งใจเสียด้วยซ้ำ
“เหตุใดองค์หญิงจึงคิดเรื่องเช่นนี้ได้?” ราชครูหลีอดไม่ได้ที่จะเย้าหยอกนาง
เสี่ยวเป่ายกมือน้อย ๆ ขึ้นมาจับคาง ทำท่าเป็นเด็กน้อยที่แสร้งวางตนเป็นคนแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว
“ท่านราชครูโง่งมอีกแล้ว ผู้ฝึกวรยุทธ์กับบัณฑิต ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ร่างกายแข็งแรงกว่าอยู่แล้ว”
ครั้งนี้ราชครูไม่เพียงไม่โกรธ ทว่ายังหัวเราะออกมาอีกด้วย “กระหม่อมเป็นเช่นนั้นจริง องค์หญิงโปรดมอบเมล็ดพันธุ์บางส่วนให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ได้อยู่แล้ว เสี่ยวเป่ามีเมล็ดพันธุ์เยอะมาก”
“เช่นนั้นก็ต้องขอบพระทัยองค์หญิงเป็นอย่างสูง”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
เมื่อสิ่งของตนเองเป็นที่ต้องการ เด็กน้อยก็มีความสุขมาก นางพาราชครูหลีเข้าไปเลือกเฉ่าเหมยในตะกร้าใบเล็ก หลังจากนั้นก็หยิบเมล็ดพันธุ์ส่วนหนึ่งมามอบให้เขา
“นี่เป็นของท่านทั้งหมด ด้านในถุงนี้เป็นเมล็ดเฉ่าเหมย ส่วนนี่คือเมล็ดถั่วลันเตา และนี่ก็คือ…”
เสี่ยวเป่าแนะนำ หลีรุ่นก็ไม่ได้แสดงท่าทางฟังอย่างขอไปทีเนื่องจากนางเป็นเด็ก แต่ตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก
“องค์หญิงเก้ายังทรงพระเยาว์ แต่กลับรู้เรื่องราวไม่น้อย”
เสี่ยวเป่า “นั่นก็เพราะข้าเป็นองค์หญิงน้อยของท่านพ่อ”
พ่อลูกย่อมเก่งกาจเหมือนกัน!
หลีรุ่นหัวเราะ หลังจากคุยกับเสี่ยวเป่าสักพักหนึ่ง เขาก็ขอตัวกลับไป
หลังจากรอหลีรุ่นจากไปแล้ว เสี่ยวเป่าก็เปิดดูของที่เขามอบให้ พบว่าด้านในมีของกินมากมาย!
มีทั้งขนมอบและของว่างชิ้นเล็กหลากหลายสิ่ง ซ้ำยังมีเป็ดย่างตัวโต หอมอร่อยเป็นอย่างมาก!
นอกจากนี้ยังมีของว่างอีกหลายอย่าง เสี่ยวเป่ากินเข้าไปด้วยความเบิกบานใจ
ชุนสี่ที่กลัวว่านางจะกินมากเกินไปจนย่อยไม่ทัน ก็รีบห้ามปรามเด็กน้อยให้หยุดกินอย่างรวดเร็ว
นอกจากของกิน ราชครูหลีได้มองหาเมล็ดพันธุ์ส่วนหนึ่งด้วย เสี่ยวเป่าหยิบมันขึ้นมาพินิจอย่างละเอียด
“มีเมล็ดแตงโมเพิ่มแล้ว! พรุ่งนี้ข้าจะไปปลูกมัน อันนี้คือ…แตงหวาน แล้วก็ยังมีเมล็ดอิงเถา*[1]กับองุ่นด้วย”
ส่วนใหญ่แล้วเป็นเมล็ดของผลไม้ ทว่าเสี่ยวเป่าก็มีความสุขเป็นอย่างมาก ใช้พลังวิญญาณหล่อเลี้ยงพวกมันทันที
นางไม่หยุดจนกระทั่งพลังวิญญาณใกล้จะหมด จากนั้นจึงใช้ขาสั้น ๆ วิ่งตรงไปยังสวนผักของตนเอง
นางเริ่มทำโน่นทำนี่วุ่นวายทันที
มะเขือเทศถูกนำไปทำซอสมะเขือเทศ ก่อนจะเลือกเฉ่าเหมยเพื่อไปทำน้ำเชื่อมเฉ่าเหมย*[2]
สิ่งของจำนวนมากถูกตระเตรียมไว้ เพราะนางจะไปหาพี่ใหญ่ในวันพรุ่งนี้!
จนกระทั่งเย็นแล้ว เสี่ยวเป่าจึงเดินป้อแป้กลับไปหาท่านพ่อของตน
หมอหลวงจางกำลังพันผ้าพันแผลให้หนานกงสือเยวียน เสี่ยวเป่าเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปจ้องมองตาแป๋ว
หลังจากยืนยันได้ว่า อาการบาดเจ็บของท่านพ่อใกล้จะหายดีแล้ว นางก็ส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริง
“ท่านพ่อจะหายดีแล้ว!”
หนานกงสือเยวียนตอบรับในลำคอ พอเห็นเด็กน้อยดีใจ อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นตาม
ทว่าเพียงพริบตาเดียวเจ้าก้อนแป้งก็เอ่ยออกมา
“หลังจากนี้ถ้าเสี่ยวเป่านอนทับ ท่านพ่อก็จะไม่เจ็บแล้ว”
หนานกงสือเยวียน “…”
มีใจกตัญญู แต่ดูเหมือนจะมีไม่มาก
มุมปากของหมอหลวงจางและฝูไห่กงกงอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมา
เมื่อรู้ว่าไม่เจ็บแล้ว ยามถึงเวลานอน เจ้าก้อนแป้งจึงกลิ้งทับเขาไปมาอยู่สองครั้ง
หลังจากเสี่ยวเป่ากลับมายังพระราชวังก็อยู่ดีกินดี น้ำหนักย่อมเพิ่มขึ้นมา
ถ้าหากว่าเขาไม่ฝึกฝนร่างกายอยู่เป็นประจำ เกรงว่าคงไม่แข็งแรงพอจะให้เจ้าก้อนแป้งที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ ทับ!
[1] อิงเถา คือ เชอร์รี
[2] น้ำเชื่อมเฉ่าเหมย (草莓酱) ในที่นี้ คือ แยมสตรอว์เบอร์รี