ตอนที่ 107 เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินเซี่ย
ตอนที่ 107 เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินเซี่ย
เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งเห็นพ่อไล่ตามแม่ของตนไป จึงมองไปยังผู้เฒ่าเสิ่นและเลือกที่จะอยู่ต่อ
เซี่ยหลานไม่ได้ไว้หน้าพวกเขาต่อหน้าคนนอกเลยสักนิด ทำให้ผู้เฒ่าเสิ่นเสียหน้าไม่น้อย ในเวลานี้สีหน้าของเขามืดครึ้มลงอย่างยิ่ง
โจวลี่หรงเองก็กระอักกระอ่วนเช่นกัน และไม่ต้องการสอดจมูกเข้าไปยุ่งเรื่องครอบครัวของคนอื่น
หล่อนทำลายความเงียบด้วยการเอ่ยกับเสิ่นเสี่ยวเหมยว่า “เสี่ยวเหมย ฉันหวังว่าเธอจะกลับไปมีชีวิตที่ดีกับเจียซิ่ง พี่ใหญ่ของเธอย้ายไปอาศัยอยู่ข้างนอกแล้ว จะไม่กระทบต่อชีวิตเธอแน่นอน”
เสิ่นเสี่ยวเหมยโกรธมาก “แม่คะ ฟังจากน้ำเสียงของแม่แล้ว แม่คงจะเห็นด้วยกับการที่พี่ใหญ่และหลินเซี่ยแต่งงานกันสินะ? ลืมไปแล้วหรือว่าผู้หญิงเลวคนนั้นตบฉันในวันนั้นที่เรากลับบ้านเกิด ใบหน้าของฉันครึ่งหนึ่งบวมเพราะฝีมือหล่อน แถมหล่อนยังดึงผมของฉันออกไปอีกเป็นกำ ความอัปยศอดสูที่ฉันได้รับมาจนกระทั่งตอนนี้ยังไม่ได้ถูกเอาคืนอย่างสาสม แต่ที่แม่พูดมาตอนนี้คือต้องการให้ฉันกลับไปสงบศึกคืนดีกับหล่อน ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ”
เมื่อสักครู่นี้ เซี่ยหลานแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ตระกูลเสิ่นเข้าไปยุ่งเรื่องของหลินเซี่ย ทั้งยังขอให้โจวลี่หรงปฏิบัติต่อหลินเซี่ยให้ดี
เซี่ยหลานแสดงท่าทีของตนออกมาชัดถึงเพียงนั้นแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงเริ่มหมดความมั่นใจ
หล่อนก็ว่าอยู่ว่าทำไมช่วงหลังมานี้ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายพ่อถึงปฏิบัติต่อภรรยาของเขาดีนัก ทั้งถ่อมตัวและคอยเอาอกเอาใจอยู่เสมอ
ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อน ความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างเปราะบางขนาดไหน
ที่แท้ก็เป็นเพราะลูกพี่ลูกน้องของหล่อนเคยสงสัยว่าลูกสาวของเขาเกิดจากภรรยาของเขากับผู้ชายคนอื่น และเมื่อตอนนี้ความจริงปรากฏ ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนก็เริ่มรู้สึกผิด จึงทำเพื่อชดเชยให้ภรรยาของเขา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนย่อมต้องฟังภรรยาของเขาเป็นแน่
ครั้นไม่มีใครให้พึ่งได้นอกจากต้องพึ่งตัวเอง หล่อนจึงเอ่ยกับโจวลี่หรงว่า “แม่คะ ฉันเองก็ทำเพื่อพี่ใหญ่เช่นกัน หลินเซี่ยไม่ได้แต่งงานกับพี่ใหญ่ด้วยความจริงใจเลย หล่อนแค่มีความตั้งใจอื่น ฉันพูดมากี่ครั้งแล้วพวกคุณก็ไม่เชื่อฉัน ในใจของหล่อนยังหลิวจื้อหมิงอยู่เต็มอก ทั้งสองเพิ่งพบกันเมื่อไม่กี่วันก่อนด้วยซ้ำ แถมหล่อนยังขอร้องให้หลิวจื้อหมิงพาหล่อนหนีไปด้วย”
หล่อนไม่ได้โกหกเรื่องพวกนี้เลย
“อะไรนะ?” สีหน้าของโจวลี่หรงพลันแปรเปลี่ยน
ให้หลิวจื้อหมิงพาหนีไป?
หัวใจของโจวลี่หรงเต้นรัว
เสิ่นเสี่ยวเหมยพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ค่ะ หลิวจื้อหมิงเป็นคนพูดด้วยตัวเอง ใช่ไหมอวี้อิ๋ง?”
เสิ่นอวี้อิ๋งเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วราวกับกระต่ายขาว “ค่ะ ตอนที่พี่จื้อหมิงพูดเรื่องนี้ ฉันก็อยู่ที่นั่น เขาบอกว่าว่าหลินเซี่ยอยากอยู่ที่บ้านของพี่จื้อหมิงด้วย”
“แม่คะ พี่ใหญ่ไม่เคยมีความรักมาก่อน เขาถูกเกลี้ยกล่อมด้วยวาจาหวานหูของหลินเซี่ย รอดูเถอะค่ะ ในไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่ง หลินเซี่ยจะทรยศต่อพี่ใหญ่ในความสัมพันธ์นี้ และทำให้ตระกูลเฉินต้องเสียหน้า”
ใบหน้าของโจวลี่หรงพลันน่าเกลียดผิดไปจากปกติ สายตาสงบนิ่ง
เมื่อในตอนที่หลินเซี่ยอยู่ที่บ้านเกิด หล่อนยืนยันอย่างเด็ดขาดกับพวกเขาว่าได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหลิวจื้อหมิงมานานแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าไปพัวพันกับเขาอีก
หล่อนและเฉินเจียเหออยู่ด้วยกันมานานจนกลายเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ ไม่ใช่แค่ในนาม หลังจากกลับมาในเมืองแล้วจะรื้อฟื้นความรู้สึกเก่า ๆ กับอดีตคนรักอีกครั้งได้อย่างไร?
หากสิ่งที่เสิ่นเสี่ยวเหมยพูดเป็นเรื่องจริง และหลินเซี่ยมีความคิดนี้อยู่จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเฉินเจียเหอจะถูกสวมหมวกเขียวเอาหรอกหรือ?
เมื่อคิดว่าลูกชายจะกลายเป็นตัวตลกของเขตอาศัยในโรงงานยานยนต์ โจวลี่หรงก็พลันรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาจากฝ่าเท้า
ลูกชายที่น่าภูมิใจเช่นนี้จะถูกผู้หญิงสวมเขาไม่ได้
โจวลี่หรงล้มเหลวในการโน้มน้าวเสิ่นเสี่ยวเหมยให้กลับบ้าน แต่กลับได้รู้ว่าหลินเซี่ยกำลังจะทรยศเฉินเจียเหอ
การแต่งงานของลูกชายทั้งสองล้วนเต็มไปด้วยปัญหา หล่อนเหนื่อยหน่ายกับเรื่องนี้จริง ๆ
ช่วงนี้หล่อนไม่ได้ไปที่เขตอาศัยในโรงงานยานยนต์เลย ทั้งยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางฝั่งของเฉินเจียเหอเป็นอย่างไรบ้าง
สาเหตุหลักที่หล่อนไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยอีกก็เพราะว่าพี่สามของตระกูลนั้นสนับสนุนเฉินเจียเหอ
สำหรับโจวลี่หรงแล้ว มันก็เหมือนมีอะไรมาขวางกั้นอยู่ในลำคอ
หล่อนไม่ต้องการให้เฉินเจียเหอต้องทนทุกข์ทรมานจากเรื่องสะเทือนอารมณ์ใดอีก
และถึงแม้ว่าหล่อนจะเข้าไปยุ่งเรื่องของเฉินเจียเหอ แต่มันก็อาจจะไร้ประโยชน์
เมื่อผู้เฒ่าเสิ่นได้ยินคำว่า “ทรยศในความสันพันธ์ เสียหน้าเสียเกียรติ” เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว…
ในตอนนั้น อารมณ์ของเขาเหมือนกับโจวลี่หรงในตอนนี้ทุกประการ
ใช่แล้ว หลายปีที่ผ่านมา การเห็นเด็กคนนั้นก็เหมือนมีหนามทิ่มแทงใจ…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กสาวโตขึ้น รูปร่างหน้าตาก็ยิ่งฉายชัดมากขึ้น
เขาคิดว่าเสิ่นเถี่ยจวินลูกชายของเขาคงรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เขารู้สึก
เขาเลือกที่จะเงียบเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าไปใกล้ชิดกับเด็กคนนั้น
บางครั้งเขาเลือกที่จะเข้าข้างเสี่ยวเหมย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าหล่อนทำผิดจนเรื่องนั้นวกกลับเข้าหาตัวก็ตาม
แต่เมื่อใดก็ตามที่หลินเซี่ยทำผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็มักจะลงโทษก่นด่า ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอ
เขาเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้น แต่เมื่อคิดว่าครอบครัวของตัวเองอาจจะกำลังเลี้ยงดูลูกของคนอื่น มารร้ายในใจของเขาก็เริ่มส่งเสียง ไม่มีทางที่เขาจะทำให้เธอดูดี
ใครกันจะคาดคิดว่าในตอนนี้สิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปในทิศทางที่น่าทึ่งเช่นนี้
พวกเขาทุกคนทำผิดต่อเซี่ยหลาน
ทั้งยังเลี้ยงดูลูกของคนอื่น
โชคชะตาช่างเล่นตลกกับผู้คนเสียจริง เด็กที่ถูกอุ้มผิดมากลับมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับน้องสาวศัตรูหัวใจของเสิ่นเถี่ยจวิน
“เสี่ยวโจว เธอกลับไปก่อนเถอะ ให้เสี่ยวเหมยอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันแล้วกัน” ผู้เฒ่าเสิ่นหนุนหลังเสิ่นเสี่ยวเหมย ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เขายังคงไม่เห็นด้วยที่จะให้เสิ่นเสี่ยวเหมยและหลินเซี่ยเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กัน
“เสี่ยวเหมย ฉันหวังว่าเธอจะลองคิดดูอย่างรอบคอบ ย้อนกลับไปในเวลานั้น เธอกับเจียซิ่งได้รักกันอย่างอิสระเสรีจนได้อยู่ด้วยกัน อย่าปล่อยให้ชีวิตของคนอื่นมาส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเธอเลย”
หลังจากที่โจวลี่หรงพูดจบ หล่อนก็เอ่ยกับเฉินเจียซิ่งว่า “เจี่ยซิง ลูกคอยอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวเหมยเถอะ”
เฉินเจียซิ่งเข้าใจและพยักหน้ารับ “ครับแม่ อย่างนั้นเดินทางกลับดี ๆ นะครับ”
หลังจากที่โจวลี่หรงกลับไป ผู้เฒ่าเสิ่นก็ไปพักผ่อนเช่นกัน ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือเพียงสามคน คือ เสิ่นเสี่ยวเหมย เฉินเจียซิ่ง และเสิ่นอวี้อิ๋ง
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองไปยังเฉินเจียซิ่งพลางบ่นว่า “ฉันคิดว่าแม่ของคุณแค่อยากให้เราหย่ากันเสียอีก”
เฉินเจียซิ่งรีบอธิบาย “ไม่หรอก สิ่งสำคัญคือพี่ใหญ่ของผมเป็นเหมือนอุจจาระในชักโครกที่ทั้งแข็งและเหม็นไปแล้ว เขาไม่รับฟังคำพูดของใครเลย เขาหลงใหลในตัวหลินเซี่ยจนกระทั่งคำพูดของแม่เขาก็ไม่ฟัง”
“แต่หลินเซี่ยไม่ได้แต่งงานกับพี่ใหญ่ของคุณด้วยความจริงใจเลยสักนิด พี่ใหญ่ของคุณแค่ถูกหลอกด้วยถ้อยคำหวานหูของหล่อน” เสิ่นเสี่ยวเหมยกล่าว
“ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ก็ลองถามอวี้อิ๋งดู หลิวจื้อหมิงบอกว่าหลินเซี่ยอยากให้เขาแต่งงานกับหล่อน แถมยังบอกว่าอยากอยู่ที่บ้านตระกูลหลิว แต่พ่อแม่ของหลิวจื้อหมิงไม่เห็นด้วย”
เสิ่นอวี้อิ๋งรีบพยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ พี่จื้อหมิงกลับมาแล้วพูดอย่างนั้น”
“ได้ยินแล้วใช่ไหม? ฉันพูดมานานแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นแต่งงานกับเฉินเจียเหออย่างไม่บริสุทธิ์ใจ หล่อนมีหลิวจื้อหมิงอยู่อยู่เต็มอกมาโดยตลอด ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะลืมเขาได้อย่างรวดเร็ว”
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองเฉินเจียซิ่งด้วยความรังเกียจและพูดอย่างเย็นชา “ครอบครัวของคุณมันไม่มีสมอง ไม่มีใครเชื่อคำพูดของฉันเลย รอให้พี่ชายของคุณถูกสวมหวกเขียวก็แล้วกัน”
เมื่อเฉินเจียซิ่งได้ยินถ้อยคำของเสิ่นเสี่ยวเหมย หัวใจของเขาพลันเต้นรัว
หากพี่ใหญ่ซื่อบื้อของเขาถูกเด็กผู้หญิงคนนั้นสวมเขาให้จริงจะน่าขายหน้าขนาดไหน
ครอบครัวเฉินของพวกเขาก็จะเสียหน้าเช่นกัน
เขาไม่สามารถอยู่เฉยได้ในเรื่องนี้
เสิ่นอวี้อิ๋งมองไปที่เฉินเจียซิ่งที่กำลังคิดหามาตรการรับมือ และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “อาเขย คนนอกอย่างพวกเราพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ต้องให้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วเชื่อจึงจะโน้มน้าวใจได้”
เสิ่นเสี่ยวเหมยพยักหน้า “อวี้อิ๋งพูดถูก ต้องเห็นเองถึงจะเชื่อ”
“เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้คุณกลับไปที่บ้าน แล้วบอกแม่ รวมถึงปู่ย่าตายายของคุณถึงเรื่องนี้ ให้พวกเขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินเซี่ยด้วยตาของพวกเขาเอง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะยังปล่อยให้หลินเซี่ยเข้ามาในรั้วบ้านได้อีก”
จากนั้นเสิ่นเสี่ยวเหมยจึงกล่าวกับเสิ่นอวี้อิ๋ง “อวี้อิ๋ง พรุ่งนี้เช้าเธอไปหาหลิวจื้อหมิงเพื่อขอให้เขาช่วยร่วมมือกับเราอีกครั้งนะ”
“ค่ะ”
“เอาล่ะ ไปนอนได้แล้ว”
……..
ในตอนเช้า ก่อนที่เฉินเจียเหอจะไปทำงาน เขาพูดกับหลินเซี่ยซึ่งยังคงหลับอยู่ว่า “จริงสิ เช้านี้ประมาณสิบเอ็ดโมง คุณต้องอยู่ที่บ้านนะ จะมีคนมาส่งเครื่องใช้ไฟฟ้า”
“อะไรเหรอคะ?” หลินเซี่ยยังคงนอนอยู่ เธอขยี้ตาแล้วเอ่ยถามพร้อมกับหาวออกมา
“สามสิ่งสำคัญสำหรับการแต่งงาน” เฉินเจียเหอตอบ
หลินเซี่ยรีบลุกขึ้นทันที แล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “คะ? คุณซื้อของเหรอคะ? สามสิ่งสำคัญอะไรกัน?”
เฉินเจียเหอซึ่งสวมชุดทำงานของเขาแล้ว ก้มมองดูหญิงสาวที่ยังคงง่วงงุนบนเตียงพลางเอ่ยเบา ๆ “ทีวีสี เครื่องซักผ้า และจักรเย็บผ้า คุณชอบตัดเย็บเสื้อผ้านี่ ถ้ามีจักรเย็บผ้าก็จะสะดวกขึ้นมาสักหน่อย และเราจะซื้อตู้เย็นกันเมื่อถึงฤดูร้อน”
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินว่าเซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เธอทั้งรู้สึกประทับใจทั้งกังวลเกี่ยวกับราคา “ถ้าอย่างนั้นก็แพงมากเลยใช่ไหม?”
ในยุคนี้ ทีวีสีและเครื่องซักผ้าเป็นสิ่งที่หายากและราคาไม่ถูก
“ผมฝากเพื่อนซื้อจากเมืองเชินเฉิง ราคาจึงค่อนข้างถูก บังเอิญว่าช่วงสองสามวันนี้พวกเขามาส่งสินค้าที่เมืองไห่เฉิง ผมจึงให้เขาเอาของขึ้นบนรถบรรทุกสินค้าไว้ วันนี้จะมีคนมาส่งให้ครับ”
เฉินเจียเหอดึงผ้าห่มคลุมให้เธอแล้วพูดว่า “ประมาณสิบเอ็ดโมง คุณก็รอที่บ้านนะ วันนี้ผมกลับมาช่วงเที่ยงไม่ได้ หลังจากของมาส่งแล้ว ให้พวกเขาขนเข้าบ้านให้เลย ส่วนเรื่องที่ร้าน หากอีกฝ่ายมีท่าทางแข็งกร้าวก็ไม่ต้องไปขัดแย้งกับพวกเขา อย่าสร้างความขัดแย้งกับพวกเขา ชี้ให้เห็นถึงเรื่องเงินค่าปรับ แล้วเราค่อยคิดหาทางอื่นกัน”
หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”
“ผมไปก่อนนะ”
“วันนี้หู่จือจะกลับมาหรือเปล่า?” หลินเซี่ยถามอีกครั้งคะ
“ผมจะพาคุณไปรับเขาหลังเลิกงาน”
เฉินเจียเหอปิดประตูก่อนจะออกไปเพื่อให้เธอนอนต่ออีกหน่อย
หลินเซี่ยไม่กล้านอนต่อ เธอยังคงกังวลต่อร้านที่ถูกเฉียนต้าเฉิงและหลินจินซานบุกเข้ามายึดไว้
หลังจากที่เฉินเจียเหอออกไปแล้ว เธอจึงลุกขึ้นจากเตียง ไม่ได้นอนต่ออีก
ในขณะที่เธอกำลังล้างหน้า ก็พลันมีเสียงเรียกจากหน้าประตู
เป็นเสียงของลุงหนิว
หลินเซี่ยเปิดประตูเห็นสีหน้าตากระปรี้กระเปร่าของลุงหนิว เธอจึงยิ้มและถามว่า “ลุงหนิว อยากจะฝึกเต้นเหรอคะ?”
ลุงหนิวตอบกลับมา “เปล่าหรอก เสี่ยวหลิน ที่ลานบ้านข้างนอกมีคนตามหาเธออยู่”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เหล่าตัวอิจฉานี่ก็ยุยงอยู่เรื่อย ๆ เลยน้า เดี๋ยวรอดูเซี่ยเซี่ยเอาคืนก่อนเถอะ
ไหหม่า(海馬)