บทที่ 71 ไล่ออกจากบ้าน

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 71 ไล่ออกจากบ้าน

ในระหว่างทางที่กำลังกลับบ้าน ภายในหัวใจของเจียงหว่านมีจุดสงสัยเป็นอย่างมาก ทว่ากลับละล้าละลังอยู่นาน และสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปากออกไป มู่เซิ่งเป็นไอ้ขยะหรือเปล่านั้น หรือสรุปแล้วอยู่ในสถานะไหนกันแน่นั้น เธอไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม เพราะเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้กับเธอเอง

ขอเพียงแค่เจียงหว่านทราบว่ามู่เซิ่งไม่ได้มีใจคิดร้ายต่อเธอหรือตระกูลเจียงเท่านั้นก็พอแล้ว

ผ่านเขตซีไห่ของเมืองเจียงหนานมา เจียงหว่านจึงทำให้ความเร็วของรถค่อย ๆ ช้าลง ก่อนจะสบตามองออกไปนอกหน้าต่างจากในตัวบ้าน

“กำลังมองอะไรอยู่หรือครับ? หรือวิตกว่าจะทำงานในลำดับต่อไปหลังจากนี้ได้ไม่ดีหรือ?”

มู่เซิ่งเปิดปากเอ่ยถาม

“ไม่ใช่อยู่แล้วค่ะ ฉัน ฉันกำลังมองเขตคฤหาสน์ที่อยู่ใจกลางที่สุดของซีไห่ค่ะ” ใบหน้าของเจียงหว่านมองตรงก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นมา

โครงการการถมทะเลสำเร็จลุล่วงไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งนานแล้ว ซีไห่เป็นคฤหาสน์ที่อยู่ติดทะเลมากที่สุด เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เคยอยู่ที่นี่ ทั้งยังเป็นบ้านที่ราคาสูงที่สุดของเจียงหนานอีกด้วย เกรงว่าตระกูลชั้นหนึ่งเองก็มีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปพักอาศัยได้

“ถ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ เกรงว่าคุณปู่และเจียงมู่หลงพวกเขาก็คงดูถูกฉันไม่ได้แน่ ห่างจากซีไห่ใกล้กันแค่นี้เองค่ะ หลังจากนี้พอฉันไปทำงานก็ไม่ต้องลำบากมากขนาดนั้นอีกแล้วด้วยเหมือนกัน”

มู่เซิ่งสบตามองคฤหาสน์เขตซีไห่ ก่อนจะเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ที่นี่เป็นเขตที่กำลังก่อสร้างของมู่ซื่อ กรุ๊ปครับ และหลายตึกในนั้นก็ถูกซื้อไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังตกแต่งภายในกันอยู่ ผมกะว่าจะมอบมันให้กับคุณครับ”

“คุณพูดว่าอะไรนะคะ?”

เจียงหว่านสบตามองมู่เซิ่งหนึ่งหน ก่อนจะเอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “มอบให้ฉันหรือคะ? คุณทราบหรือเปล่าคะว่าคฤหาสน์ของเขตนั้นมันแพงมากเท่าไหร่? หนึ่งตารางเมตรสิบกว่าล้าน และบ้านหนึ่งในนั้นก็ถูกประมูลแล้วด้วย รวมมีสระว่ายน้ำแล้วมากกว่าพันตารางเมตร ราคาหลายร้อยล้าน คุณทราบหรือเปล่าคะว่ามันหมายความว่าอย่างไร?”

หลายร้อยล้านสำหรับคนธรรมดาแล้วนั้น บางทีสิบกว่าชาติก็ยากที่จะทำยอดเงินให้ทะลุเป้าได้ ทว่าสำหรับมู่เซิ่งในตอนนี้แล้ว มันถือว่าไม่มากเลยจริง ๆ ค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาก็สามารถมีถึงพันล้านแล้ว ขอเพียงแค่เขายินยอมเท่านั้น ร้อยล้านหมื่นล้านก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเช่นเดียวกัน

ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาซื้อคฤหาสน์นี้ไปเรียบร้อยตั้งนานแล้ว

“ไปกันเถอะครับ”

มู่เซิ่งยกยิ้มพลางกล่าว

ในเมื่อเจียงหว่านไม่เชื่อ เขาเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องบังคับอะไรเช่นเดียวกัน รอตอนส่งมอบบ้านหลังจากตกแต่งเสร็จแล้ว เจียงหว่านก็ย่อมที่จะทราบเอง

ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้าน พึ่งจะเข้าประตูไปเมื่อครู่นี้นี่เอง ก็มองเห็นจ้าวหลินกำลังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ที่ห้องรับแขกเสียแล้ว

เพียงแค่มองบรรยากาศนี้ มู่เซิ่งก็ทราบแล้วว่าเรื่องราวไม่ปกติ

ดังคาด จ้าวหลินผุดลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเธอสองคนไปร่วมงานเลี้ยงเพื่อนร่วมรุ่นกันมางานเดียว แล้วทำไมพึ่งจะกลับมากันเอาป่านี้?”

“มีเรื่องทำให้เสียเวลานิดหน่อยค่ะ คุณแม่ ทำไมคุณแม่ยังไม่พักผ่อนหรือคะ?” เจียงหว่านไม่ได้ตอบกลับ ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างไม่ได้คิดอะไรมากนัก

“ลูกสาวฉันไม่พูด หรือว่านายเองก็ไม่มีอะไรจะพูดด้วยเหมือนกันหรือ?”

สายตาของจ้าวหลินจ้องเขม็งไปบนร่างของมู่เซิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะเอ่ยด้วยโทสะว่า “ไอ้ขยะ ให้โอกาสนายได้เป็นฝ่ายพูดตรง ๆ หนึ่งครั้ง ไม่เช่นนั้นแล้ว อย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจละนะ!”

“จางเหวินเจี๋ยโทรศัพท์มาหาคุณอีกแล้วหรือครับ?” มู่เซิ่งเอ่ยถามอย่างราบเรียบ

ทั้งสองคนติดต่อกันอยู่บ่อยครั้ง เรื่องการขอแต่งงานหรือมอบของขวัญในตอนก่อนหน้านี้ก็เป็นจางเหวินเจี๋ยที่เป็นฝ่ายทักทายมู่เซิ่ง ตอนนี้เรื่องนี้ก็ไม่ได้เดายากมากขนาดนั้น

เห็นท่าทางไม่เฉยเมยของมู่เซิ่งแล้ว จ้าวหลินก่นด่ายกใหญ่ด้วยโทสะว่า “นายนี่มันเป็นไอ้ขยะคนหนึ่งจริง ๆ นายเองก็รู้เหมือนกันใช่ไหม? แต่ก็ยังกล้าให้จางเหวินเจี๋ยคุกเข่าให้นาย? นายก็เป็นแค่ผัวที่แต่งเข้าบ้านเมีย ไปเอาความกล้ามาจากไหน!”

“ตัวเขาทำผิดต่อผม เรื่องคุกเข่าก็เป็นเรื่องที่เขาสมควรที่จะทำแล้วครับ” มู่เซิ่งกวาดสายตามองจ้าวหลินหนึ่งหน ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างราบเรียบ

“ฮะ ๆ เขาจะมาแคร์ไอ้ขยะอย่างนายคนหนึ่งทำไม? ต้องเป็นนายที่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องเขาก่อนแน่ ๆ!” เดิมทีจ้าวหลินไม่เชื่อ

ในตอนนั้นเอง เจียงหว่านก็ก้าวออกมา เอ่ยว่า “คุณแม่ อันที่จริงแล้วเรื่องราวมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณแม่คิดแบบนั้นนะคะ เป็นจางเหวินเจี๋ยที่เกินไปแล้วจริง ๆ ค่ะ มู่เซิ่งถึงให้เขาคุกเข่าขอโทษขอโพย”

“ลูกสาว แม่รู้ว่าหนูใจอ่อน แต่อย่ามาพูดแทนคนไร้ค่าพรรค์นี้!”

จ้าวหลินชี้นิ้วไปยังมู่เซิ่ง ก่อนจะด่ากราดว่า “ไอ้ขยะที่มีคนคลอดแต่ไม่มีคนเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กอย่างนายจะมีดีอะไรได้กัน?”

“ด่าผมได้ครับ แต่อย่าลากแม่ผมมาเกี่ยวข้องด้วย!” จู่ ๆ มู่เซิ่งก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวหลินในทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยือกราวกับที่เก็บน้ำแข็ง

เพราะพ่อแม่เป็นขีดเส้นใต้ภายในหัวใจของมู่เซิ่งตลอดไป!

จ้าวหลินมองเห็นนัยน์ตาที่แฝงจิตสังหารของมู่เซิ่ง จู่ ๆ ก็หดลำคอเข้าหากันทันที ก่อนจะหวนนึกถึงการกระทำของมู่เซิ่งก่อนออกจากบ้าน

ทว่าตอนนี้เจียงหว่านอยู่ข้างกายเธอ จ้าวหลินแสร้งใจกล้า ก่อนจะกล่าวต่อ “นายยังรู้สึกจริง ๆ หรือว่าตัวเองมีเหตุมีผล? หากไม่ใช่เพราะเจียงเจิ้งจื๋อ เดิมทีนายก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในประตูใหญ่บ้านฉัน เดิมทีนายก็ไม่เหมาะที่จะถูกเรียกว่าเป็นลูกเขยฉัน นายมีสิทธิ์อะไรที่ให้จางเหวินเจี๋ยคุกเข่าขอโทษนาย?”

“ฉันจะบอกนายเอาไว้นะ จางเหวินเจี๋ยต่างหากที่เหมาะสมกับเจียงหว่าน ส่วนนายน่ะ เมื่อรอให้เวลาที่กำหนดมาถึงเมื่อไหร่ ก็จะเป็นคนไร้ค่าที่จะถูกไล่ออกจากตระกูลเจียงในทันที!”

“นายถือว่าเป็นตัวอะไรกัน? ตอนนี้รีบโทรศัพท์ไปหาจางเหวินเจี๋ยแล้วกล่าวขอโทษเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

ดวงตาของมู่เซิ่งเย็นยะเยือก ก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าผมไม่ขอโทษละครับ?”

“ถ้าอย่างนั้นนายก็ไสหัวออกไป นี่เป็นบ้านของฉัน นายไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่!” จ้าวหลินชี้ไปที่ประตูใหญ่ โทสะพวยพุ่งอย่างไม่อาจหยุดยั้ง

“ได้ครับ รอหลังจากบ้านที่ผมซื้อให้เจียงหว่านตกแต่งภายในเสร็จแล้ว คุณก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาอยู่ด้วยเช่นกัน”

มู่เซิ่งยกยิ้มอย่างเย็นยะเยือกไปมา อันที่จริงแล้วหากไม่ใช่เพราะเจียงหว่านแล้วละก็ เดิมทีเขาเองก็จะไม่อยู่ที่นี่หรอก

“ถุย นายซื้อบ้านหรือ? นายซื้อได้กับผีน่ะสิ?” จ้าวหลินชี้ไปยังแผ่นหลังของมู่เซิ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดจาเย้ยหยันถากถางไม่หยุด

“มู่เซิ่ง…”

เจียงหว่านกระวนกระวายใจแล้ว อดไม่ได้ที่จะไล่ตามไป ทว่ากลับถูกจ้าวหลินดึงเอาไว้เสียก่อน

“คุณแม่ นี่คุณแม่ทำอะไรคะเนี่ย?”

“ไอ้ขยะนี่กล้ามาต่อปากต่อคำกับแม่ แม่อยากที่จะสั่งสอนให้เขารู้อะไรเสียหน่อยมาตั้งนานแล้ว” เพลิงโทสะของจ้าวหลินยากที่จะดับ แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง กล่าวว่า “เขาคุกคามแม่ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้วนะ ถ้ามีแบบนี้ต่อไปอีก ในบ้านหลังนี้ก็จะไม่มีแม่แล้วใช่หรือเปล่า?”

“แต่ว่าคุณแม่ อันที่จริงแล้วคำพูดของคุณแม่ทำร้ายคนมากเกินไปแล้วจริง ๆ นะคะ คุณแม่จะสามารถไล่มู่เซิ่งออกไปได้อย่างไรกันคะ นี่คุณแม่จะให้เขาอยู่ที่ไหนละคะ?” เจียงหว่านกล่าวติเตียน

“ฮะ ๆ เขาไม่ได้บอกว่าซื้อบ้านแล้วหรือไง?” จ้าวหลินหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา

“แต่คุณแม่เองก็ทำแบบนี้กับเขาไม่ได้เหมือนกันนะคะ อย่างไรเขาก็อยู่ทำงานในบ้านนี้มานานมากขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขา บริษัทของหนูก็คงปิดตัวไปนานแล้วล่ะค่ะ” เจียงหว่านเอ่ยพูดพร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่แดงเรื่อด้วยโทสะ

“เป็นเขาหรือ? ที่สามารถช่วยเรื่องบริษัทของลูกอะไรนั่น?” เดิมทีจ้าวหลินไม่เชื่อ หลังจากนั้นไม่นานนัก ราวกับว่าจู่ ๆ เธอก็หวนคิดถึงอะไรขึ้นมาได้เลยก็ไม่ปาน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “เจียงหว่าน ลูกคงจะไม่ได้ชอบไอ้ขยะนี่ไปแล้วหรอกใช่ไหม?”

“แม่จะบอกลูกนะ นี่ไม่ได้เด็ดขาด! พวกลูกสองคนไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้! ระยะเวลาห่างจากพินัยกรรมของพ่อลูกแค่ครึ่งเดือนเท่านั้นแล้ว รอหลังจากหย่าแล้วลูกก็จะไปคบกับจางเหวินเจี๋ย”

“คุณแม่ หนูจะพูดกับคุณแม่อีกรอบหนึ่งนะคะ หนูไม่ได้ชอบจางเหวินเจี๋ยเลยแม้แต่นิดเดียว” เจียงหว่านเมื่อได้ยินว่าจะหย่าแล้วก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที “มู่เซิ่งเมื่อมาเทียบกันกับเขาแล้วดีกว่าเป็นหมื่นเท่าค่ะ!”

“ได้สิ กระทั่งลูกเองก็กล้าต่อปากต่อคำกับแม่แล้ว แม่ไม่อยู่แล้ว สามีตายแล้ว ลูกเขยก็เป็นไอ้ขยะด้วย ตอนนี้กระทั่งลูกสาวแท้ ๆ เพียงคนเดียวก็จะเป็นศัตรูกับแม่ แม่มีชีวิตอยู่ยังจะมีความหมายอะไรอีก ไม่สู้ตายไปเสียก็ช่างมันแล้ว”

สองมือของจ้าวหลินแบออกในทันที ก่อนจะนั่งลงไปบนพื้นโดยตรง หลังจากนั้นก็เริ่มร้องไห้โวยวายไม่หยุด

ในดวงตาของเจียงหว่านกำลังรื้อไปด้วยหยาดน้ำตา สบตามองจ้าวหลินตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจมา

หรือว่าชีวิตแต่งงานที่มีความสุขของลูกสาวคุณแม่ สำหรับคุณแม่แล้ว มันเกี่ยวข้องแค่กับเรื่องเงินเท่านั้นหรือคะ?

“คุณแม่ ถ้าหากคุณแม่ต้องการที่จะไล่มู่เซิ่งออกไปจริง ๆ ละก็ คุณแม่ก็ไล่หนูไปพร้อมกันด้วยเลยเถอะค่ะ!”

เจียงหว่านทิ้งคำพูดเย็นชาประโยคนี้เอาไว้ ก่อนจะออกจากบ้านไปในทันที