ตอนที่ 60 หนึ่งพันตำลึง
เฉียวเวยไม่คาดคิดเลยว่าเถ้าแก่หรงจะเห็นด้วยง่ายดายถึงเพียงนี้ ต้องรู้ว่าในรัชสมัยนี้หนึ่งตำลึงมีมูลค่าประมาณหกร้อยหยวนในยุคปัจจุบัน หนึ่งร้อยอีแปะก็คือหกสิบหยวน จะบอกว่าราคาแพงเท่าฟ้าก็มิเกินจริงแต่อย่างใด

ตอนนางเริ่มทำไข่เยี่ยวม้า นางไม่ได้ตั้งใจทำเพื่อธุรกิจ นางเพียงชอบทานก็เท่านั้น สิ่งสำคัญคือในตลาดหาซื้อไม่ได้ ดังนั้นนางจึงหมักไข่ในโถที่บ้านเพื่อสนองความอยากของตนเอง แต่จิ่งอวิ๋นและวั่งซูกลับไม่ชอบรสชาติของมันนัก ทว่าตอนทำนา เฉินต้าเตากับพวกพี่น้องต่างแย่งชิงกัน นางจึงตระหนักได้ว่านี่อาจเป็นโอกาสทางการค้าอย่างหนึ่ง

คำที่นางโพล่งออกมาเมื่อหลายอึดใจก่อนเป็นเพียงการพูดเล่นกับเถ้าแก่หรงเท่านั้น ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาจะตกลงจริงๆ

เงินคือสิ่งเลวทราม แต่หากมีโอกาสได้เงินจงอย่าได้ปฏิเสธ

“เถ้าแก่หรง” เฉียวเวยลากเสียงอย่างเอาแต่ใจ “หนึ่งร้อยอีแปะที่ข้าพูดมิใช่ราคาขายก่อนแบ่งส่วนรายได้ แต่เป็นราคาของที่ข้าขายให้ท่าน”

เถ้าแก่หรงจับประเด็นสำคัญในคำพูดของนางได้อย่างรวดเร็ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าจะขายให้ผู้อื่นด้วยหรือ”

พูดอันใดไร้สาระ! ของที่ผลิตจำนวนมากได้เช่นนี้ แน่นอนว่านางต้องอยากขายให้ทุกที่!

เถ้าแก่หรงผู้อยากครอบครองของเพียงเจ้าเดียวไม่สบอารมณ์ จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง “ข้าดีกับเจ้าไม่พอหรือ เหตุใดเจ้าจึงทำกับข้าเช่นนี้”

เฉียวเวยเกือบจะพ่นน้ำชาออกมาแล้ว!

ท่านอย่าหน้าไม่อายถึงเพียงนี้ได้หรือไม่ พูดราวกับว่านางนอกใจไปมีคนอื่น!

“แม่นางเฉียว…” เถ้าแก่หรงดึงแขนเสื้อของนาง

เฉียวเวยตกตะลึงดั่งถูกสายฟ้าฟาดจนเกรียมนอกนุ่มใน อายุปูนนี้แล้ว ขอร้องท่านอย่าแสร้งทำท่าทางน่ารักใสซื่อได้หรือไม่! รับไม่ได้จริงๆ!

“เจ้าขายให้ร้านของข้าที่นี่เถิด ราคารับซื้อของหนึ่งร้อยอีแปะ แล้วกำไรจากการขาย ข้าแบ่งกับเจ้าห้าส่วนต่อห้าส่วนเป็นเช่นไร” เถ้าแก่หรงกะพริบตาปริบๆ

เฉียวเวยชูนิ้วขึ้นมา “สามส่วนต่อเจ็ดส่วน”

เถ้าแก่หรงขมวดคิ้ว “แม่นางเฉียว เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก!”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว

เถ้าแก่หรงมุ่ยปาก พูดอย่างน่าสงสาร “แต่คิดอีกที ข้าว่าก็ไม่ได้เกินไปเท่าใดนัก…”

การเจรจาธุรกิจประสบความสำเร็จอีกหนึ่งยก เฉียวเวยจึงอารมณ์ดีมาก นางไปพรรคชิงหลงเพื่อเรียกเฉินต้าเตา จากนั้นขึ้นรถม้าของหัวหน้าพรรคเฉินไปตลาดเพื่อซื้อไข่เป็ดสองร้อยฟอง

สาเหตุที่ไข่เค็มในสมัยนี้แพง เพราะสิ่งที่แพงคือเกลือ มิใช่ไข่แต่อย่างใด ซื้อไข่เป็ดเพียงอย่างเดียว ราคาฟองละสองอีแปะ เรียกได้ว่าทั้งดีและถูกมาก

ต้นทุนการผลิตไข่เยี่ยวม้าไม่สูง เกลือ ขี้เถ้า ปูนขาว ด่างกินได้ ชาดำ แกลบและน้ำคือส่วนผสมทั้งหมดแล้ว

ในบรรดาส่วนผสมเหล่านี้ นอกจากชาดำและเกลือ ส่วนผสมอื่นต่างก็ราคาถูก เมื่อคิดคำนวณแล้ว ราคาถูกกว่าไข่เค็มมาก แต่ราคาขายกลับสูงกว่าไข่เค็มถึงห้าเท่า

ไม่สิ หนึ่งร้อยอีแปะคือราคาตั้งต้นที่นางเสนอ หากขายในตลาดจริง เถ้าแก่หรงคงเพิ่มราคาขึ้นอีก

เมื่อผ่านร้านยาแห่งหนึ่ง เฉียวเวยก็เห็นผงหวงตานในตู้

ตะกั่วเหลืองหรือที่เรียกกันว่าผงหวงตาน สามารถล้างพิษ สร้างกล้ามเนื้อ ขับเสมหะได้ ตะกั่วเหลืองในปริมาณที่เหมาะสมจะทำให้ไข่เยี่ยวม้าอร่อยขึ้นอีก ข้อเสียคือมีสารตะกั่ว

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เฉียวเวยก็จากไป

ชาดำซื้อจากร้านของพี่จ้าว เฉียวเวยซื้อสิบชั่ง พี่จ้าวคิดว่านางกำลังจะทำไข่ต้มใบชาจึงให้นางอีกหนึ่งชั่ง เป็นชาดำกับชาเขียวอย่างละครึ่งชั่ง

ขี้เถ้าจากพืชและแกลบไม่สามารถซื้อได้ในตลาด จึงต้องกลับไปหาที่หมู่บ้าน

ในเวลานี้นางไม่ได้ต้องการปริมาณมากนัก ได้ปริมาณเท่าของบ้านป้าหลัวก็เพียงพอแล้ว

เมื่อกลับมาถึงภูเขา เฉียวเวยก็เริ่มหมักไข่เยี่ยวม้า วันนี้เฉินต้าเตามีเวลาว่างจึงมาช่วยนางกับป้าหลัวด้วย

เขามือหนัก ตอนล้างไข่จึงทำไข่แตกไปถึงห้าฟอง เฉียวเวยรู้สึกเสียดายยิ่งนัก

อย่างไรก็ตามมากคนมากแรง พ้นยามบ่ายก็หมักไข่เยี่ยวม้าสองร้อยฟองเสร็จพอดี ควรค่าให้อารมณ์ดียิ่งนัก

หลายวันมานี้จีเหล่าฮูหยินไม่ค่อยอยากอาหาร นางทานของหวานที่ห้องครัวทำมาไม่ลงสักคำ คนก็ห่อเหี่ยวลงไม่น้อย ดูสิ วันนี้ฟ้าใสแดดดีแต่คนกลับซึมเซานอนอยู่บนเก้าอี้หวายตรงระเบียง

หรงมามายกโจ๊กข้าวฟ่างมาหนึ่งชาม “เหล่าฮูหยิน อย่างน้อยก็ควรทานบ้างนะเจ้าคะ!”

จีเหล่าฮูหยินพูดอย่างไร้เรี่ยงแรง “ทานไม่ลง วางไว้ตรงนั้นเถอะ”

“เหล่าฮูหยิน คุณหนูเฉียวมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ในเรือนมาแจ้ง

ดวงตาของจีเหล่าฮูหยินเป็นประกายเล็กน้อย “รีบให้เข้ามาเร็ว!”

เฉียวอวี้ชีถือกล่องอาหารอันประณีตเดินเยื้องย่างเข้ามาแล้วตรงไปหาเหล่าฮูหยิน นางโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “คารวะเหล่าฮูหยิน”

จีเหล่าฮูหยินยิ้มพร้อมกวักมือเรียกนาง “มานั่งนี่มา!”

“เจ้าค่ะ” นางขานรับแผ่วเบา แล้วนั่งบนม้านั่งปักลายข้างเหล่าฮูหยินอย่างนุ่มนวล จากนั้นเปิดกล่องอาหารพร้อมพูดว่า “ร้านนั้นมีขนมใหม่ออกมาอีกแล้ว นี่คือขนมโก๋ซานเย่าไส้พุทราแดงเจ้าค่ะ”

จังหวะที่จีเหล่าฮูหยินกำลังจะเอื้อมมือหยิบ ทันใดนั้นเองหรงมามาก็เข้ามาห้าม หรงมามาบอกด้วยสีหน้าอ่อนโยน “คุณหนูเฉียว หลายวันนี้ม้ามและกระเพาะของเหล่าฮูหยินอ่อนแอ หมอหลวงจังกำชับให้ท่านทานแต่อาหารเหลว ไม่อนุญาตให้ทานหวานและไม่อนุญาตให้ทานอาหารรสเผ็ดเจ้าค่ะ”

ผู้สูงอายุย่อมต้องใส่ใจกับอาหารให้มาก

ใบหน้าของเฉียวอวี้ซีซีดแล้วซีดอีก นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “เป็นความผิดของซีเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์คิดแต่จะเอาใจท่านจนลืมเรื่องอาหารที่ท่านต้องหลีกเลี่ยง”

จีเหล่าฮูหยินโบกมือ “ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า ข้าคุมปากตัวเองไม่ได้เอง” ดวงตายังมองขนมในกล่องไม่วางตา “ข้าทานเพียงคำเดียว”

หรงมามาส่ายหน้า

จีเหล่าฮูหยิน “คำเล็กๆ เท่านั้น”

หรงมามา “ไม่ได้เจ้าค่ะ”

จีเหล่าฮูหยินหันหลังให้อย่างโกรธเคือง

ขณะนั้นสาวใช้นามเสวี่ยเหมยก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดในมือ

จีเหล่าฮูหยินเหลือบมองชามหยกในถาดของนาง แล้วเอ่ยโดยไม่เสียเวลาคิด “ข้าไม่ทาน!”

เสวี่ยเหมยยิ้ม “นี่คือของที่คุณชายตั้งใจหามาให้ท่าน ท่านลองทานสักคำเถิดเจ้าค่ะ!”

เมื่อได้ยินว่าหลานชายเตรียมมาให้ตน จีเหล่าฮูหยินก็ใจอ่อนลงหลายส่วน

เฉียวอวี้ชีเปิดฝาชาม กลิ่นหอมของขึ้นฉ่ายโชยเตะจมูก แล้วยังมีกลิ่นบางอย่างอยู่จางๆ บอกไม่ถูกว่าเป็นกลิ่นสิ่งใด “นี่โจ๊กอะไรหรือ” สีแปลกจริง

เสวี่ยเหมยตอบ “นี่คือโจ๊กไข่เยี่ยวม้าเนื้อเป็ดเจ้าค่ะ”

ทุกคนรู้จักแต่ไข่นก ไข่ไก่ ไข่เป็ด ไข่ห่านและไข่เค็ม นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินชื่อไข่เยี่ยวม้า

จีเหล่าฮูหยินเริ่มสนใจทันที นางตักโจ๊กช้อนหนึ่งส่งเข้าปาก บอกตามตรง รสชาติค่อนข้างแปลก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะทานเป็นช้อนที่สอง…หลังจากทานสองสามช้อนก็เริ่มอยากอาหารขึ้นมา

ไข่เยี่ยวม้าใช้เวลาหมักประมาณหนึ่งเดือน สินค้าชุดแรกต้องส่งให้เถ้าแก่หรงกลางเดือนสาม หลังจากส่งมอบสินค้าเสร็จก็ต้องเริ่มง่วนกับทำนา จังหวะเวลาลงตัวพอดิบพอดี

วันแรกของเดือนสาม เฉียวเวยจ้างพี่น้องพรรคชิงหลงมารดน้ำที่นาเพื่อเจือจางความเค็มในดินให้มากที่สุด ข้าวฟ่างหวานทนต่อเกลือ แต่มันก็มิได้ชอบเกลือ ระดับความเค็มต่ำลงย่อมเป็นประโยชน์ต่อการงอกของต้นกล้า

ช่วงหลายวันนี้เงินของเฉียวเวยไหลออกไม่หยุด นางทำขนมสองร้อยชิ้นต่อวัน รายได้หลังหักส่วนแบ่งเท่ากับสองตำลึง รัชสมัยนี้ส่งเสริมการเกษตรกดพ่อค้าวาณิช เมื่อหักภาษีแล้วจึงเหลือเงินไม่ถึงหนึ่งตำลึง เมื่อหักต้นทุนกันรายจ่ายต่างๆ นานาแล้ว รายได้ก็แทบจะสู้รายจ่ายมิได้

ด้วยสาเหตุนี้แม้นางจะทำงานหนักเพียงใด กระเป๋าเงินของเฉียวเวยก็ลีบแบนลงทุกวัน

“ท่านแม่!” จิ่งอวิ๋นทำการบ้านเสร็จก็เงยหน้ามองเฉียวเวยผู้กำลังอับจนหนทาง “พวกเราไม่มีเงินอีกแล้วใช่หรือไม่”

เฉียวเวยรีบส่ายศีรษะ “ไม่ใช่หรอก!”

จิ่งอวิ๋นขานรับในลำคอ แต่แล้วก็พูดต่อว่า “ท่านอาจารย์ให้ข้าบอกบางอย่างกับท่าน”

“เรื่องอะไรหรือ” เฉียวเวยเอ่ยถาม

จิ่งอวิ๋นจึงว่า “การสอบเสินถงที่จัดขึ้นทุกสามปีกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ท่านอาจารย์บอกว่าข้าเข้าร่วมได้”

เฉียวเวยจัดการสมุดบัญชีจนเรียบร้อย “การสอบเสินถงคือสิ่งใด”

จิ่งอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็อธิบาย “คล้ายกับการสอบเคอจวี่ เป็นการคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ แต่การสอบเคอจวี่เป็นของผู้ใหญ่ ส่วนการสอบเสินถงเป็นของเด็ก ทุกคนที่อายุต่ำกว่าสิบสองปีล้วนเข้าร่วมได้”

ในสมัยโบราณมีการสอบเช่นนี้ด้วยหรือ!

นับว่าได้ความรู้เพิ่มขึ้นแล้ว

เฉียวเวยมองจิ่งอวิ๋น “อายุมากที่สุดคือสิบสองปี แต่ลูกชาย เจ้าเพิ่งอายุห้าขวบเองนะ”

จิ่งอวิ๋นกล่าวอย่างจริงจัง “แต่ข้ารู้จักอักษรมากกว่าพี่อาเซิงเสียอีก”

อาเซิงคือน้องชายของชุ่ยอวิ๋น ผู้ที่สอบผ่านเป็นบัณฑิตถงเซิงเพียงคนเดียวในหมู่บ้าน

เฉียวเวยประหลาดใจ “เจ้าเก่งกว่าอาเซิงอีกหรือ”

จิ่งอวิ๋นพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ “ท่านอาจารย์บอกว่าคนที่ได้อันดับหนึ่งจะได้รับเงินรางวัล”

เฉียวเวยบอกด้วยใจจริง “แม้เป็นเช่นนั้น แต่แม่ส่งให้เจ้าเรียน มิใช่เพื่อให้เจ้าหาเงินให้ครอบครัว แม่หวังเพียงให้เจ้าเป็นผู้มีความรู้ ไม่ต้องเสียเวลายามเยาว์วัยอย่างเปล่าประโยชน์ ภายภาคหน้าจะได้มีวิชาติดตัว เจ้าเข้าใจหรือไม่”

จิ่งอวิ๋นพยักหน้า

“รางวัลเท่าไรหรือ”

“หนึ่งพันตำลึงขอรับ”

เฉียวเวยลุกพรวด “แม่จะไปสมัครให้เดี๋ยวนี้”