ถึงแม้ว่าภาพที่แว่นตาของเอริกะฉายออกมาจะมีขนาดเล็กเพียงแค่ประมาณหนึ่งฝ่ามือแต่ว่ามันก็ทำให้พวกนากาได้เห็นภาพของอลิซที่ถือดาบของเธอที่กำลังเรืองแสงสีเขียวอ่อนออกมาพุ่งตัวเข้าไปขวางอยู่เบื้องหน้าของทหารยามคนหนึ่งก่อนที่ตัวซากรถหุ้มเกราะจะระเบิดออกมาจากภายในอย่างรุนแรงจนทำให้ทั้งอลิซและนายทหารคนนั้นปลิวกระเด็นไปตามแรงระเบิดและถูกเศษซากชิ้นส่วนของตัวรถปักไปตามร่างกายหลายจุด
แต่ถึงอย่างนั้นสภาพของอลิซและนายทหารคนนั้นก็ยังดูดีกว่านายทหารคนอื่นๆ ที่ถูกเศษซากชิ้นส่วนของตัวรถเฉือนเข้าไปจนสูญเสียอวัยวะหรือว่าถูกเปลวไฟคลอกลุกท่วมจนต้องลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นมากนัก
“ทหารยามพวกนั้นเขาแค่คิดจะเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นๆ เองไม่ใช่หรือไงน่ะ! ใครมันเป็นคนทำเรื่องอะไรแบบนี้กัน!?”
“ฉันเข้าใจว่านายไม่พอใจนะนากาคุง แต่ว่ายังไงก็เบาเสียงลงหน่อยสิ อลิซเขายังไม่ฟื้นเลยนะ”
“อ—อ่ะ อื้ม… ขอโทษที…”
นากาที่เผลออารมณ์ขึ้นจนร้องโวยวายออกมาหลังจากที่ได้เห็นสภาพของเหล่าทหารในจุดเกิดเหตุได้แต่ต้องรีบลดเสียงลงไปเพราะคำเตือนของเอริกะ ในขณะที่ทางด้านโมโกะที่เพิ่งจะตั้งสติได้ก็ได้รีบร้องถามเอริกะขึ้นมาในทันที
“แล้วแบบนี้พวกทหารคนอื่นเป็นยังไงกันบ้างล่ะ? ที่นี่มีแค่อลิซคนเดียวเองนี่ที่ถูกหามเข้ามาให้อารอนรักษาน่ะ”
“…ก็เอาเป็นว่าตอนนี้ห้องฉุกเฉินของทางโรงพยาบาลเต็มไปด้วยทหารพวกนั้น… ไม่ก็ส่วนที่เหลืออยู่ของพวกเขาก็แล้วกัน แต่ก็โชคดีนะที่เหมือนว่าอลิซจะห้ามทหารส่วนหนึ่งเอาไว้ได้ทันน่ะไม่งั้นคงจะเกิดความสูญเสียมากกว่านี้อีก”
เอริกะพูดตอบโมโกะกลับไปพร้อมกับลุกยืนขึ้นเพื่อเดินออกไปนั่งทางด้านนอกผ้าม่านและกวักมือเรียกเด็กๆ ทั้งสามคนให้เดินตามมาด้วยเพื่อที่จะได้ไม่เป็นการรบกวนการพักผ่อนอลิซ ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่เผลอตัวทำเสียงดังไปแล้วรอบหนึ่งรีบดันหลังทุกคนให้เดินตามเอริกะออกไปพร้อมกับพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วทำไมคนที่ก่อเหตุถึงต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยล่ะ? เท่าที่ฉันดูแล้วรถคันนั้นมันน่าจะเป็นรถขนนักโทษหรือว่าอะไรจำพวกนั้นไม่ใช่หรอ ในเมื่อพวกนั้นน่าจะได้ตัวนักโทษไปจนหมดแล้วจะมาวางระเบิดทิ้งไว้อีกทำไมกันล่ะ?”
“นั่นสิ มันฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลยนะ ถ้าเกิดว่าพวกนั้นทำให้ทหารยามเจ็บหนักตั้งเยอะขนาดนี้ทางเมืองก็น่าจะยิ่งไล่ล่าตัวหนักขึ้นเพื่อจับกลับมารับโทษไม่ใช่หรอ?”
โมโกะที่ได้ยินข้อสงสัยของนากาได้พูดขึ้นมาด้วยความสงสัยด้วยเช่นกัน เพราะว่าแทนที่กลุ่มคนพวกนั้นจะรีบหนีไปในทันทีที่บรรลุเป้าหมาย พวกเขาก็กลับรีรอเพื่อวางระเบิดหวังที่จะทำร้ายกองกำลังทหารต่ออีกจนน่าจะทำให้ทางเมืองโกรธแค้นมากขึ้นและพยายามคว้านหาตัวพวกเขามากขึ้นซะอย่างนั้น
ซึ่งคำถามของเด็กๆ ทั้งสองคนนั้นก็ทำให้เอริกะที่มีคำตอบอยู่ในใจแล้วได้ตัดสินใจที่จะเดินไปคว้าเอาเหยือกกาแฟของอารอนมาเทใส่แก้วกาแฟและยกมันขึ้นมาดื่มเพื่อคลายความเครียดก่อนจะพูดตอบทั้งสองคนกลับไป
“…ก็มันเป็นเพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะส่งข้อความถึงทางเมืองยังไงล่ะ”
“ข้อความ…?”
“ก็ข้อความที่ว่าพวกเขาไม่ลังเลที่จะฆ่าหรือว่าจะกำจัดคนที่คิดจะเข้ามาขัดขวางเป้าหมายของพวกเขาไม่ว่าพวกคนพวกนั้นจะเป็นอัศวิน ทหาร หรือแม้แต่กระทั่งชาวบ้านธรรมดาแบบอลิซยังไงล่ะ”
เอริกะที่รู้ดีว่าข้อความที่เด็กสาวในชุดผ้าคลุมผู้ที่เป็นหัวหน้าของเหล่าแฟรี่และเหตุโจมตีในครั้งนี้ต้องการจะสื่อไม่ได้มีเพียงเท่านั้นได้ตัดสินใจที่จะเก็บสิ่งที่เธอคิดได้บางส่วนเอาไว้เป็นความลับ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เธอพูดออกมาก็ได้ทำให้เด็กๆ ทั้งสามคนรู้สึกหวั่นๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่ลังเลที่จะฆ่างั้นหรอ…”
“อื้ม… เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยอยากจะให้พวกเธอคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วมกับหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ไดเอน่าจังประกาศไปเมื่อกี้นี้น่ะ เพราะถึงฉันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นอยู่หลายๆ อย่างแล้วก็มีแผนจะมอบอุปกรณ์ต่างๆ ให้เพื่อความปลอดภัยก็เถอะ แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เหตุทะเลาะวิวาทของกลุ่มคนหรือว่าความขัดแย้งระหว่างเมืองธรรมดาๆ แล้วเรื่องมันก็จะมีแต่อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ น่ะ…”
“เอ๋ะ? พี่เอริกะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พี่ไดเอน่าเขาประกาศมาด้วยหรอ? ไหนเห็นพี่นากาเขาบอกว่าพี่เอริกะมัวแต่ยุ่งกับงานจนแทบไม่มีเวลาว่างเลยนี่นา?”
“แหม~ ก็เรื่องที่ไดเอน่าจังเขาประกาศขึ้นมาเมื่อกี้นี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ฉันจัดการอยู่นั่นแหล่ะจ๊ะ เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างไปจากกลุ่มของพวกเธอที่ทำงานให้ฉันมากนักหรอกนะ แค่ว่ากลุ่มที่ไดเอน่าจังได้รับผิดชอบจะไม่ได้ทำงานให้ฉันโดยตรงแต่ว่าจะเน้นไปที่การป้องกันเมืองซะมากกว่าน่ะ”
“อ้าว ถ้างั้นแบบนี้มันก็เหมือนกับว่าไดเอน่าเขาแค่ออกหน้าให้เธอเฉยๆ เลยไม่ใช่หรอ?”
นากาที่ได้ยินคำอธิบายของเอริกะถึงกับอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถามนักประดิษฐ์สาวขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะถึงกับต้องเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะพูดตอบเด็กหนุ่มกลับไป
“มันก็ไม่เชิงหรอกจ้ะ จริงๆ แล้วฉันก็แค่ทำหน้าที่แจกจ่ายงานมาให้ท่านผู้อำนวยการเขาตัดสินใจว่าจะรับงานชิ้นไหนบ้างน่ะ ฉันไม่ได้มีอำนาจตัดสินเด็ดขาดอะไรแบบนั้นหรอก แล้วอีกอย่างนึงถ้าจะให้ฉันที่เป็นนักประดิษฐ์ที่พวกเด็กนักเรียนน่าจะไม่รู้จักกันมาประกาศเองพวกเขาก็คงจะไม่สนใจอะไรสักเท่าไหร่หรอกใช่มั้ยล่ะ”
“อ่า… ที่เธอว่ามามันก็จริงแหล่ะมั้ง…”
นากาได้แต่พยักหน้าตอบเอริกะกลับไป เพราะถึงแม้ว่าเอริกะจะมีชื่อเสียงโด่งดังภายในวังหลวงในหลายๆ แง่มุม แต่ว่าภายในโรงเรียนที่มีแต่พวกเด็กๆ แบบนี้ก็คงจะไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อเสียงของเธอสักเท่าไหร่นัก ส่วนทางด้านโมโกะที่ไม่ค่อยจะสนใจถึงงานที่เอริกะทำสักเท่าไหร่นักและนั่งคิดอะไรสักอย่างมาได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้เป็นคนพูดถามเอริกะขึ้นมาบ้าง
“ว่าแต่รถคันที่โดนระเบิดไปนั่นคือรถขนนักโทษใช่มั้ย ทำไมถึงมีคนพยายามที่จะช่วยพวกเขาออกไปล่ะ หรือว่านักโทษที่อยู่ข้างในนั้นเป็นคนใหญ่คนโตที่ไม่อยากรับโทษหรือไง?”
“นั่นสินะ… เท่าที่ฉันรู้มาก็คือพวกนักโทษที่ถูกขนมาส่วนมากจะเป็นพวกคดียิบย่อยอย่างขโมยของหรือไม่ก็พกพายาต้องห้ามน่ะ แต่ว่ามันก็มีอยู่คนนึงที่เป็นขุนนางของกราวิทัสที่ถูกส่งตัวมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่ด้วยเหมือนกัน”
“นี่ๆ พี่นากา ยาต้องห้ามนี่มันคืออะไรอ้ะ?”
“อืม… ถ้าจำไม่ผิดอาจารย์ที่หมู่บ้านเคยบอกเอาไว้ว่ามันเป็นพวกยาที่พอกินเข้าไปแล้วจะทำให้เสพติดจนขาดมันไม่ได้ล่ะมั้งนะ”
“ใช่แล้วล่ะ แต่เอาจริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ยาที่ห้ามมีในการครอบครองอย่างสิ้นเชิงหรือว่าอะไรพวกนั้นหรอกนะ แค่ว่ายาพวกนี้ส่วนมากแล้วจะต้องได้รับอนุญาตแล้วก็ได้รับคำแนะนำจากพวกแพทย์พยาบาลหรืออะไรพวกนั้นก่อนน่ะ เพราะถ้าใช้อย่างเหมาะสมมันก็ใช้เป็นยารักษาได้อยู่เหมือนกัน”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดของนากาได้ยิ้มตอบเขากลับไปพร้อมกับพูดอธิบายออกมาให้พวกเด็กๆ ฟังเพราะว่าเอาจริงๆ แล้วยาส่วนมากที่อารอนเก็บเอาไว้ในห้องพยาบาลแห่งนี้เองก็นับว่าเป็นยาผิดกฎหมายเหล่านั้นเหมือนกัน
“งั้นสรุปง่ายๆ ก็คือว่าเป็นพวกนักโทษที่พยายามขายยาพวกนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดกฎหมายสินะ?”
“ก็ถ้าเอาตามที่ทางเมืองแจ้งมามันก็ตามนั้นนั่นแหล่ะแต่ว่าที่จริงแล้วเรื่องมันจะเป็นยังไงฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะว่าคดียาพวกนี้มันใส่ความกันได้ง่ายเสียยิ่งกว่าอะไรอีก… แล้วยิ่งหนึ่งในพวกนักโทษเป็นพวกขุนนางแบบนี้ฉันเองก็ไม่คิดอยากจะลองเข้าไปคุ้ยดูด้วย เพราะถ้าเกิดว่าได้รู้อะไรขึ้นมาแล้วฉันก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้น่ะ… เฮ้อ…”
เอริกะพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับส่ายหน้าไปมาและถอนหายใจออกมาเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้โมโกะเข้าใจไปเองว่าเอริกะคงจะแค่ไม่อยากเอาตัวเข้าไปยุ่งกับพวกขุนนางสักเท่าไหร่นัก
“ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่นะ เพราะตอนที่ฉันไปเจอพวกลูกขุนนางมาก่อนหน้านี้มันก็ทำเอาฉันไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับพวกนั้นเลยให้ตายสิ…”
“ฮะฮะ ก็นั่นสินะ…”
นากาที่ได้ยินโมโกะพูดขึ้นมาแบบนั้นก็พอจะนึกออกว่าเพื่อนของเขาคงจะหมายถึงพวกลูกขุนนางหัวสามสีที่เคยเข้ามาหาเรื่องเธอกับเซซิลที่โรงอาหารในวันเปิดภาคเรียนนั่นเอง
ส่วนทางด้านเอริกะที่เห็นว่าพวกเด็กๆ เข้าใจผิดไปไกลนั้นก็ไม่ได้คิดที่จะแก้ความเข้าใจผิดของทั้งสองคนว่าที่จริงแล้วเธอก็แค่ยุ่งมากจนไม่คิดอยากจะได้เรื่องน่าปวดหัวเพิ่มเท่านั้นก็ได้พยายามที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา
“แต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องกองกำลังของพวกนักเรียนที่ฉันให้ไดเอน่าจังรับหน้าไปนี่… ฉันขอพูดตรงๆ เลยนะว่าฉันไม่เห็นด้วยกับการที่คนที่ไม่สามารถใช้วิซได้แบบนายจะไปเข้าร่วมด้วยสักเท่าไหร่เลยน่ะนากา”
“มันก็คงจะเป็นเพราะเรื่องของความปลอดภัยของฉันใช่มั้ยล่ะ… ถ้าจะให้พูดตามตรงฉันเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันนั่นแหล่ะ เพราะถึงถ้าเกิดว่าคู่ต่อสู้มีแค่คนเดียวฉันจะค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถรับมือได้ก็เถอะ แต่ว่าในการต่อสู้แบบนั้นคนที่บุกเข้ามาก็คงจะไม่ได้มาคนเดียวอยู่แล้วสินะ…”
“ใช่… แล้วในสถานการณ์แบบนั้นถ้าเกิดว่านายถูกคู่ต่อสู้ระดมใช้วิซโจมตีเข้าใส่จากระยะไกลนายคงจะหมดหนทางรับมือแล้วก็กลายเป็นตัวถ่วงของทีมหรือว่าได้รับบาดเจ็บร้ายแรงขึ้นมาอย่างแน่นอน… ส่วนอุปกรณ์ที่ฉันสร้างขึ้นมาให้คนของที่นี่ใช้นายเองก็ใช้มันไม่ได้สักอย่างนึงเลยด้วย”
“เฮ้อ… ฉันเองก็เข้าใจล่ะนะว่าเธอเป็นห่วงฉันน่ะเอริกะ แล้วถึงฉันจะรู้ว่ามันคงจะอันตรายก็เถอะ แต่ว่าฉันพอได้เห็นพวกของเด็กผมทองนั่นระเบิดพวกทหารยามทิ้งไปแบบไม่ลังเลแบบนั้นแล้วฉันก็ยิ่งปล่อยให้คอนแนลไปเข้าร่วมคนเดียวไม่ได้ซะด้วยสิ…”
“นั่นสินะ… แต่เอาจริงๆ ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้นก็เถอะ… ถ้าเกิดว่านายตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับไดเอน่าจังเขาจริงๆ ฉันเองก็ไม่คิดที่จะห้ามอะไรหรอกนะ เอาเป็นว่านายใช้เวลาคิดให้เต็มที่ก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไปก็แล้วกัน”
เอริกะที่เห็นว่านากามีท่าทีลำบากใจหลังจากที่ได้ยินเธอพูดเตือนขึ้นมาได้ตัดสินใจที่จะบอกกับเขาไปตามตรง ซึ่งคำพูดของเอริกะที่ฟังดูเหมือนกับว่าเธอไม่ใส่ใจว่าเขาคิดจะทำอะไรลงไปจนฟังดูราวกับว่าเธอเป็นผู้ปกครองที่ปล่อยปละละเลยเด็กในการดูแลนั้นก็ถึงกับทำให้นากาต้องหันไปมองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจเพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเอริกะจะเป็นคนประเภทนั้นได้เลย
แต่ว่าเมื่อนากาได้จ้องมองไปยังดวงตาของเอริกะแล้วเขาก็ได้พบว่าถึงแม้ว่าคำพูดของเอริกะจะฟังดูเหมือนกับว่าเธอไม่สนใจว่าเขาคิดจะทำอะไรเลยแม้แต่น้อยก็ตาม แต่ว่าจริงๆ แล้วเธอก็แค่เคารพในการตัดสินใจของเขาที่เป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งและพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนในสิ่งที่เขาเลือกไม่ว่ามันจะเป็นหนทางแบบไหนต่างหาก
ซึ่งแววตาของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้นากาตัดสินใจได้ในทันทีว่าเขาจะไปเข้าร่วมกับกลุ่มของไดเอน่าเพื่อช่วยปกป้องเพื่อนๆ ของเขาหลายๆ คนที่น่าจะคิดเข้าร่วมกองกำลังป้องกันเมืองด้วยเช่นกัน
“ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าฉันจะลองเข้าร่วมกับไดเอน่าเขาเพื่อดูลาดเลาก่อนแล้วค่อยให้พรีมูล่ากับโมโกะมาตัดสินใจทีหลังว่าจะเข้าร่วมด้วยหรือเปล่าก็แล้วกันนะ เธอคิดว่าแบบนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ถ้าแบบที่นายว่ามาก็น่าจะดีเหมือนกันนะ แต่ว่ายังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ เพราะถึงฉันจะเป็นคนจัดเตรียมอุปกรณ์หลายๆ อย่างให้กับสมาชิกแต่ละคนก็เถอะ แต่ว่าถ้ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ฉันเองก็คงจะยื่นมือหรือว่าส่งคนเข้าไปช่วยได้ลำบากอยู่เหมือนกัน”
“บู่ววววว หนูเองก็อยากจะไปเข้าร่วมกับพี่นากาเขาด้วยเหมือนกันนะ!!”
แต่ทันทีที่พรีมูล่าเห็นว่าเอริกะเห็นด้วยกับความคิดของพี่ชายของเธอนั้นเธอก็รีบพองแก้มของตัวเองและคว้าแขนของนากามากอดด้วยไว้ด้วยท่าทีไม่พอใจจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นได้แต่ต้องหันมาพูดดุน้องสาวตัวแสบของเขาในทันที
“อย่าดื้อสิพรีมูล่า ที่พี่ตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะว่าพี่เป็นห่วงความปลอดภัยของเธอนะ”
“แต่หนูเองก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่นากาเหมือนกันนี่นา!!”
ข้ออ้างที่พรีมูล่าพูดขึ้นมานั้นถึงกับทำให้นากาผงะไปเล็กน้อยและพยายามคิดหาวิธีอื่นขึ้นมาพูดเกลี้ยกล่อมเธอแทน ซึ่งท่าทีของสองพี่น้องที่กำลังเป็นห่วงกันเองนั้นก็ถึงกับทำให้เอริกะหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยและพยายามช่วยนากาพูดเกลี้ยกล่อมเด็กสาวผมชมพูขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“ฮะฮะ นากาเขาก็แค่เป็นห่วงเธอเพราะว่างานนี้มันอาจจะเป็นอันตรายจริงๆ นั่นแหล่ะพริมจัง แถมถ้าเกิดว่าทั้งเธอทั้งนากาตกลงเข้าร่วมกับไดเอน่าจังจนต้องไปประจำอยู่ที่กำแพงกันทั้งคู่แล้วดันเกิดเรื่องขึ้นมาในเมืองใครจะเป็นคนไปปกป้องโมโกะเขาล่ะจริงมั้ย เธอคงจะไม่อยากให้โมโกะเขาต้องพยายามเอาตัวรอดด้วยตัวคนเดียวในสถานการณ์แบบนั้นหรอกจริงมั้ยล่ะ”
“หา!? จะเอาฉันเข้าไปเกี่ยวด้วยทำไมเล่า!?”
“อ่ะ— ที่พี่เอริกะพูดขึ้นมามันก็จริงเนอะ ไม่ต้องห่วงนะโมโกะจัง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเดี๋ยวหนูจะช่วยปกป้องโมโกะจังเอง!”
ในขณะที่โมโกะกำลังโวยวายอยู่ที่เอริกะเลือกใช้เธอขึ้นมาเป็นข้ออ้างนั้น ทางด้านพรีมูล่าก็ได้หันไปมองทางโมโกะด้วยแววตาเป็นประกายและคว้าตัวโมโกะเข้ามากอดเอาไว้พร้อมกับเอามือลูบหัวของเธอเบาๆ เหมือนกับกำลังปลอบเด็กน้อยหลงทางที่กำลังขวัญเสียอยู่จนทำให้โมโกะได้แต่ต้องพยายามสะบัดตัวออกมาจากอ้อมกอดของพรีมูล่าที่มือหนักไม่ใช่น้อยในทันที
“อย่ามาเล่นหัวกันนะยัยบ๊องนี่ ผมฉันเสียทรงหมดแล้ว!!”
“ฮะฮะ อ่ะ— จริงด้วยสินากาคุง ไหนๆ ก็มีโอกาสมาเจอกันแล้วทั้งทีนายเอาเจ้านี่ไปด้วยเลยสิ”
“หืม? เครื่องสื่อสารของฉันที่เธอเอาไปเมื่อตอนนั้นหรอน่ะ?”
นากาที่ถูกเอริกะเรียกตัวเอาไว้นั้นได้ยื่นมือไปรับสิ่งของที่เอริกะยื่นออกมาให้และได้พบว่ามันก็คือเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่เอริกะได้แวะมาเอากลับคืนไปในวันที่เขาต่อสู้กับเนลจนมาลงเอยอยู่ในห้องพยาบาลนั่นเอง
“เครื่องสื่อสารอันก่อนหน้านี้ของนายฉันตรวจเจอว่ามันมีปัญหาอะไรสักอย่างก็เลยต้องเอามันกลับไปซ่อมน่ะ เพราะงั้นตอนนี้นายก็เอาอันใหม่นี่ไปใช้แทนก่อนก็แล้วกัน”
“เออ… จะว่าไปถ้าจะให้พูดถึงเรื่องเครื่องสื่อสารนี่ฉันมีเรื่องอยากจะถา—”
“ปล่อยได้แล้วนะยัยเอ๋อนี่!!”
ในขณะที่นากากำลังจะพูดถามเอริกะขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องของเครื่องสื่อสารที่ทำให้พาเทียซ์สามารถติดต่อมาหาเขาได้นั้นอยู่ๆ โมโกะที่นั่งทนกับการกระทำของพรีมูล่ามาได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้แหกปากร้องขึ้นมาเสียงดังพร้อมกับพยายามสะบัดตัวเองให้หลุดออกมาจากอ้อมกอดของเด็กสาวตัวแสบอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำของเธอก็ไม่ประสบผลสำเร็จสักเท่าไหร่นักจนทำให้เธอได้แต่ต้องร้องเรียกหาความช่วยเหลือจากนากาแทน
“นากามาช่วยจัดการยัยนี่ให้หน่อยสิ!”
“เฮ้อ… หยุดเล่นได้แล้วนะพรีมูล่า พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าเวลาจะแกล้งใครก็อย่าให้มันเลยเถิดจนเกินไปน่ะ”
“โอ๊ยๆๆๆๆ พี่นากาอย่าดึงแก้มมมมมมมม”
“เอาเถอะ… ถ้ายังไงพวกเธอทั้งสองคนก็ไปหาข้าวกินกันก่อนเลยก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวเอาไว้ฉันไปรายงานตัวกับไดเอน่าเสร็จแล้วจะรีบตามไป… ว่าแต่ป่านนี้แล้วข้างนอกนั่นเขาคุยกันเสร็จแล้วหรือยังเนี่ย เอาเป็นว่าฉันขอตัวก่อนเลยก็แล้วกันเพราะไม่งั้นเดี๋ยวจะไปบอกไดเอน่าเขาไม่ทันน่ะ”
นากาพูดบอกโมโกะและพรีมูล่าไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบเดินออกไปทางด้านนอกห้องพยาบาลในทันที ส่วนทางด้านโมโกะนั้นก็ได้แต่ต้องทำตามที่เด็กหนุ่มสั่งเอาไว้แต่โดยดี
“ถ้างั้นพวกเราก็ไปหาอะไรกินกันรอหมอนั่นกลับมากันเถอะพรีมูล่า”
“อ่ะ— เดี๋ยวก่อนสิโมโกะ ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีอะไรจะต้องให้เธอเหมือนกันน่ะ”
“เอ๋ะ? ฉันหรอ?”
โมโกะที่ถูกเอริกะรั้งตัวเอาไว้นั้นได้แต่ต้องพูดถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะถ้าจะให้พูดกันจริงๆ แล้วเธอไม่ค่อยจะได้พูดคุยกับเอริกะมากมายสักเท่าไหร่นักเลยซะด้วยซ้ำ ซึ่งการที่โมโกะถูกเอริกะเรียกตัวเอาไว้นั้นก็ถึงกับทำให้พรีมูล่าได้แต่ต้องเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ
“เอ๋~? นี่พี่เอริกะสร้างอะไรขึ้นมาป้องกันไม่ให้โมโกะจังจับอะไรก็ระเบิดได้แล้วหรอ!?”
“ยัยนี่จะเอาให้ได้เลยใช่มั้ยห๋า!?”
“โอ๊ยๆๆๆๆๆ โมโกะจังอย่าทำร้ายร่างกายกันสิ”
“ฮะฮะ ถึงฉันจะเป็นห่วงเรื่องที่โมโกะจังเขาชอบระเบิดตัวเองก็เถอะ แต่ว่าที่ฉันเรียกเอาไว้ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอกนะ”
เอริกะที่ได้เห็นการหยอกล้อกันของเด็กสาวทั้งสองคนได้หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยและล้วงมือเข้าไปด้านในเสื้อกาวน์ของเธอเพื่อที่จะได้หยิบอะไรบางอย่างออกมาส่งให้กับโมโกะก่อนที่เด็กสาวทั้งสองคนจะได้มีโอกาสแกล้งกันเองอีกครั้ง
“อ่ะนี่ มีคนฝากเจ้านี่มาให้เธอน่ะ”
“เอ๋ะ? ฝากมาให้ฉันหรอ?”
โมโกะที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้ยื่นมือออกไปรับเครื่องประดับที่เป็นสร้อยคอติดคริสตัลวิซสีเขียวที่ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาดมามองดูด้วยความสงสัยก่อนที่ทันใดเองเธอจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเคยเห็นคริสตัลสีเขียวเม็ดนี้มาจากที่ไหนมาก่อน
“คริสตัลเม็ดนี้มัน…”
“คือพอดีว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ผู้ชายคนนึงที่เขาแอบหลบอยู่ที่บ้านของฉันมาได้สักพักนึงแล้วเขาฝากให้ฉันเอาเจ้าคริสตัลนี่มาทำเป็นเครื่องประดับให้เธอหน่อยน่ะ แล้วเขาก็ฝากฉันมาบอกเธอว่า ‘ถ้าเธอคิดจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะเรียนจบหรือว่าอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเขาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ายังไงเธอก็อย่าลืมว่าถ้ารู้สึกเหนื่อยหรือว่าท้อแท้อะไรขึ้นมาเธอก็ยังมีบ้านให้กลับไปพักผ่อนได้อยู่นะ’ น่ะ”
“คุณพ่อ…”
สิ่งที่เอริกะพูดออกมาได้ช่วยมอบคำตอบให้กับคำถามหลายๆ อย่างที่คาใจโมโกะมาสักพักใหญ่ๆ แล้วได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าคุณพ่อของเธอคิดยังไงกับการที่เธอต้องการจะเรียนอยู่ที่นี่กันแน่ และเรื่องที่ว่าพักนี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าถูกอะไรบางอย่างจับตาดูอยู่แทบจะตลอดเวลา รวมถึงเรื่องที่ว่าทำไมคุณพ่อของเธอถึงไม่โผล่กลับมาพยายามพาตัวเธอกลับไปที่หมู่บ้านอีกเลยนับตั้งแต่วันที่อลิซบอกว่าเขายอมกลับไปแต่โดยดีเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนทั้งๆ ที่เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าคุณพ่อของเธอคงจะไม่ยอมถอยกลับไปแต่โดยดีแน่ๆ
ซึ่งการกระทำของโมโกะที่รับสร้อยคอไปจ้องมองและนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่นั้นก็ได้ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะยกมือขึ้นมาลูบหัวของเธอเล็กน้อยพร้อมกับพูดออกมาให้เด็กสาวหูแมวฟัง
“ถ้าเกิดว่าเธอมีปัญหาอะไรหรือว่ากลุ้มใจเรื่องอะไรก็อย่าลังเลแล้วมาปรึกษาฉันได้ทุกเมื่อนะโมโกะจัง เพราะคุณพ่อของเธออุตส่าห์ไว้ใจให้เธอเรียนอยู่ที่นี่แล้วทั้งทีฉันก็เลยไม่อยากจะให้เขามาว่ากันทีหลังว่าฉันดูแลเธอไม่ดีได้น่ะ”
“อ…อื้อ! ว่าแต่คริสตัลของคุณแม่อันนี้หน้าตามันก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย…”
“อ๋อ… คือว่าคุณพ่อของเธอเขาขอเอาไว้เป็นพิเศษว่าให้ฉันดัดแปลงมันให้เข้ากับยุคสมัยสักหน่อยนึงน่ะ ฉันก็เลยจับมันมาดัดแปลงอะไรหลายๆ อย่าง… หวังว่าเธอคงจะไม่ว่าอะไรฉันเรื่องนี้นะโมโกะ”
“อ่ะ— ไม่หรอกๆ แค่ว่าพอมันหน้าตาไม่เหมือนเดิมแบบนี้แล้วตอนแรกฉันก็รู้สึกไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่น่ะ”
โมโกะพูดตอบเอริกะกลับไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากกับการที่หน้าตาของคริสตัลวิซของคุณแม่ของเธอเปลี่ยนไปมากนักและตัดสินใจที่จะสวมใส่มันเอาไว้กับตัวในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้พรีมูล่าที่เดินไปทางด้านหน้าของโมโกะเพื่อมองดูตัวสร้อยคอได้แต่เอ่ยปากพูดขึ้นมาในทันที
“เห~ สร้อยนี่มันสีเดียวกับสีตาของโมโกะจังเป๊ะๆ เลยอ่ะ!”
“อื้อ… เห็นคุณพ่อเขาเคยบอกเอาไว้ว่ามันเป็นของขวัญที่เขาเคยมอบให้กับคุณแม่เมื่อนานมาแล้วน่ะ แล้วก็เห็นคุณพ่อเขาเคยบอกว่าสีตาของฉันเหมือนกับสีตาของคุณแม่เลย… เอาเป็นว่าเดี๋ยวเอาไว้วันหลังฉันจะหาเวลาว่างๆ มาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเรารีบไปหาอะไรกินที่โรงอาหารกันก่อนเถอะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตามพวกเธอไปที่โรงอาหารด้วยก็แล้วกันนะ เพราะฉันไม่อยากกลับไปทำอะไรกินเองที่บ้านน่ะ เฮ้อ~ พอคอนแนลย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์แล้วนี่มันก็ลำบากจังเลยนะเนี่ย~”
“เธออย่าไปพูดอย่างนั้นให้คอนแนลได้ยินเข้าล่ะนั่นไม่งั้นเดี๋ยวตานั่นจะได้ดีใจจนตัวลอยหายไปกันพอดี… เอาล่ะ พวกเรารีบไปที่โรงอาหารกันเถอะ จะได้จองที่เผื่อเอาไว้ให้สองคนนั้นกันด้วย”
โมโกะที่ได้ยินเอริกะพูดบ่นออกมาแบบนั้นได้แต่พูดเตือนออกไปเบาๆ เพราะหลังจากที่เธอได้รู้จักกับคอนแนลมาสักพักหนึ่งแล้วเธอก็สามารถสังเกตเห็นได้ว่าอัศวินหนุ่มคนนั้นค่อนข้างที่จะคิดกับเอริกะมากกว่าเป็นนักประดิษฐ์มากความสามารถหรือว่าผู้ปกครองที่เคยดูแลเขาในสมัยเด็กตามที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาอยู่สักเล็กน้อย
แต่ถึงแม้ว่าเอริกะจะได้ยินโมโกะพูดขึ้นมาแบบนั้นแล้วก็ตามที แต่ว่าด้วยนิสัยชอบหยอกชอบแกล้งคนอื่นเล่นในทุกๆ ทางของเอริกะนั้นก็ทำให้เธอได้แต่คิดว่าโมโกะคงจะแค่พูดขึ้นมาเล่นๆ เพื่อล้อเธอกลับเพียงเท่านั้น เธอจึงได้พูดตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยท่าทางอารมณ์ดีและลุกขึ้นยืนขึ้นเพื่อเดินไปจับไหล่ของพรีมูล่าเอาไว้เพื่อที่พวกเธอจะได้ออกเดินทางไปยังโรงอาหารกัน
“แหม่~ ก็เวลาที่มีคอนแนลเขาคอยทำอาหารสามมื้อให้นี่มันสะดวกดีจริงๆ นะ แต่ว่าในเมื่อตอนนี้คอนแนลเขาย้ายไปทำอาหารให้พวกเธอกินที่คฤหาสน์แทนแล้วฉันก็เลยได้แต่ต้องหาอะไรมากินประทังชีวิตไปวันๆ แบบนี้นี่ไง~ เอาล่ะพริมจังพวกเรารีบไปกันเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวของอร่อยจะหมดโรงอาหารซะก่อนนะ~”
“เย้~ กินข้าว~”
ในขณะที่ทางด้านโมโกะ พรีมูล่าและเอริกะกำลังจะออกเดินไปที่โรงอาหารนั้น ทางด้านนากาที่รีบเดินออกมาจากห้องพยาบาลเพื่อรายงานตัวขอเข้าร่วมกลุ่มกองกำลังป้องกันเองก็ได้พบว่าเหล่าเด็กนักเรียนที่ต้องการเข้าร่วมที่ในตอนแรกมีจำนวนกว่าห้าสิบคนนั้นได้หายหน้าหายตาไปบางส่วนจนเหลืออยู่แค่ประมาณสี่สิบคนเท่านั้นเอง
ซึ่งเมื่อนากาลองมองดูคร่าวๆ แล้วเขาก็ได้พบว่าเด็กนักเรียนที่ยังเหลืออยู่ส่วนมากนั้นน่าจะเป็นเด็กนักเรียนของปีการศึกษาชั้นปลายปีที่หนึ่งแบบเดียวกับพวกเขา
แต่ถึงอย่างนั้นในหมู่เด็กนักเรียนจากปีการศึกษาชั้นปลายปีที่หนึ่งที่ยังเหลืออยู่ส่วนมากก็เป็นพวกเด็กนักเรียนจากห้องเรียนที่หนึ่งและห้องเรียนที่สองที่เป็นลูกหลานของตระกูลขุนนางที่ต้องการจะแสดงฝีมือให้ทางวังหลวงเห็นซะมากกว่าในขณะที่เด็กนักเรียนจากห้องเรียนที่สามของนากานั้นกลับเหลืออยู่เพียงแค่รีซาน่า อัลเบิร์ต เนล และเซซิลที่เหมือนว่าจะกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วเพียงสี่คนเท่านั้น
ซึ่งในทันทีที่เนลสังเกตเห็นนากาเดินออกมาจากห้องพยาบาลและกำลังเดินตรงมาทางพวกเขานั้นเขาก็ได้แสยะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจและหันไปพูดกับคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน
“เห็นมั้ยฉันบอกแล้วว่าอย่างหมอนั่นไม่มีทางพลาดเรื่องนี้หรอก ที่หมอนั่นหายไปก็เพราะว่าแค่อยากจะไปดูอาการของอาจารย์อลิซก่อนแค่นั้นล่ะ”
“เหอะ… ฉันก็นึกว่าเจ้าพวกบ้านนอกแบบเจ้าหมอนั่นจะรีบหนีกลับไปหมกอยู่ที่หมู่บ้านพอรู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วซะอีก”
“แต่ว่าพอมีคนเก่งๆ แบบนากาคุงมาเข้าร่วมด้วยฉันเองก็พอจะเบาใจขึ้นมาได้บ้างนะคะเนี่ย”
“นั่นสินะ ถ้าเกิดว่าเป็นฉันเองที่บุกเข้ามาในโรงเรียนแล้วเจอหมอนี่ยืนขวางทางอยู่ก็คงจะคิดหนักเหมือนกันว่าจะลองฝ่าเข้าไปดูดีหรือเปล่าน่ะ”
เนลที่ได้ยินคำพูดของอัลเบิร์ตและรีซาน่านั้นได้แต่ต้องพูดยอมรับออกมาแต่โดยดี เพราะว่าถ้าเกิดในการสอบเมื่อวานนี้อาจารย์อลิซไม่ได้ประกาศยุติการสอบออกมาก่อน ตัวเขาที่ถูกนากาเข้าประชิดตัวได้อีกครั้งแถมยังใช้โซ่พันเอาไว้ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเอาตัวรอดต่อไปอย่างไรดี
ซึ่งคำพูดชมของเพื่อนๆ รวมถึงเซซิลที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ก็ยืนกอดอกพยักหน้าเห็นด้วยกับทุกคนนั้นก็ถึงกับทำให้นากาหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่จนได้แต่ต้องหาเรื่องพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาแทน
“ว่าแต่แล้วนี่ทุกคนแน่ใจแล้วหรอว่าจะเข้าร่วมด้วยน่ะ เพราะเมื่อกี้นี้เห็นไดเอน่าเขาบอกว่างานนี้มันอาจจะอันตรายมากก็ได้นี่”
คำถามของนากานั้นได้ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไปสักพักก่อนที่เนลที่เหมือนว่าจะตัดสินใจได้แน่วแน่ที่สุดจะเป็นคนพูดขึ้นมาเป็นคนแรก
“ก็เพราะว่าคนมันน้อยแบบนี้นี่ล่ะฉันถึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมด้วยน่ะ เพราะถ้าเกิดว่ามีคนบุกเข้ามาด้านในเมืองได้จริงๆ ล่ะก็มันคงจะไม่ได้มีคนบาดเจ็บแค่พวกทหารยามแน่ๆ ล่ะ แล้วยิ่งเรื่องมันไปถึงขั้นที่ทางเมืองต้องมาขอความร่วมมือจากเด็กนักเรียนอย่างพวกเราแล้วมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วล่ะ…”
“ก็ตามที่เนลพูดขึ้นมานั่นล่ะ แล้วอีกอย่างนึงในเมื่อเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับคุณเอริกะด้วยฉันก็คงจะปล่อยมันผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้หรอกนะ”
และในทันทีที่เนลพูดออกมาจนจบ อยู่ๆ อัลเบิร์ตที่ยืนอยู่ข้างๆ นากาก็ได้ยกแขนขึ้นมาคล้องคอนากาเอาไว้เพื่อดึงตัวเขามากระซิบบอกไปเบาๆ ซึ่งคำพูดของอัลเบิร์ตที่เหมือนจะพยายามลดเสียงลงเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยินนั้นก็ถึงกับทำให้นากาได้แต่ต้องกระซิบถามเขากลับไปด้วยความสงสัย
“นี่นายรู้ด้วยหรอว่าที่จริงแล้วเอริกะเขาอยู่เบื้องหลังเรื่องประกาศรับอาสาสมัครนี่น่ะ?”
“หา? มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เพราะต่อให้จะคิดยังไงมันก็ไม่มีทางที่คุณประธานนักเรียนคนนั้นจะหาเรื่องให้งานของตัวเองเพิ่มขึ้นหรอกถ้าไม่ใช่เพราะว่ามันมีเหตุจำเป็นจริงๆ น่ะ แล้วคนที่มีอำนาจมากพอที่จะทำให้คุณประธานนักเรียนคนนั้นยอมทำตามได้มันก็มีแค่ผู้อำนวยการที่น่าจะทำข้อตกลงอะไรเอาไว้กับคุณเอริกะไม่ใช่หรือไง?”
“หืม? นายนี่ก็ท่าทางว่าจะรู้จักเอริกะดีเหมือนกันนะน่ะ นี่อย่าบอกนะว่านายใช้เวลาว่างๆ แอบคอยตามเอริกะเขาจากมุมมืดน่ะ?”
“จะบ้าเรอะ!? นายเองก็น่าจะรู้มาจากเจ้าขาตั้งแว่นแล้วไม่ใช่หรือไงว่าเมื่อก่อนฉันกับหมอนั่นเคยไปรบกวนขอใช้สถานที่ฝึกซ้อมที่บ้านของคุณเอริกะอยู่บ่อยๆ น่ะ เพราะงั้นฉันก็เลยพอจะดูออกอยู่บ้างว่าที่จริงแล้วคุณเอริกะเขาไม่ได้แค่เอาแต่คอยสร้างของให้ทางวังหลวงอย่างเดียวน่ะ”
อัลเบิร์ตที่ได้ยินคำพูดของนากาได้หลุดตวาดออกมาเสียงดัง ก่อนที่เข้าจะรีบลดเสียงลงและพยายามพูดอธิบายขึ้นมาให้นากาฟัง และเมื่ออัลเบิร์ตพูดอธิบายออกมาจนจบแล้วเขาก็ได้ผละแขนของเขาออกจากคอของนากาพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยท่าทีปกติธรรมดาซะราวกับว่าเขาไม่ได้รู้เรื่องที่ว่าเอริกะอยู่เบื้องหลังมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“เหตุผลของฉันมันก็ตามนั้นนั่นแหล่ะ ส่วนเหตุผลของคนอื่นๆ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นไปได้นายก็อย่าไปคาดหวังคำตอบที่มันสวยหรูจากพวกนักเรียนห้องอื่นๆ หรือว่าจากพวกรุ่นพี่ก็แล้วกัน”
คำพูดเตือนของอัลเบิร์ตนั้นได้ทำให้นากาได้แต่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้พูดถามอะไรกลับไปทางด้านรีซาน่าก็ได้บอกเล่าเหตุผลที่เธอมาเข้าร่วมด้วยให้พวกเขาฟังซะก่อน
“ส่วนทางด้านฉันนี่เป็นเพราะว่าฉันได้ยินคุณประธานนักเรียนบอกว่าทางโรงเรียนจะช่วยสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์แล้วก็ยังมีค่าจ้างให้แยกต่างหากอีกด้วยก็เลยรู้สึกสนใจขึ้นมาน่ะค่ะ เพราะว่าพอดีว่าทางด้านฉันค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องนี้อยู่สักนิดหน่อย…”
“หืม? อ๋อ… เธอเองก็มาจากหมู่บ้านนอกเมืองเหมือนกับพวกฉันด้วยนี่นะเพราะงั้นจะขาดอุปกรณ์อะไรไปบ้างมันก็คงจะไม่แปลกหรอกล่ะมั้ง”
“แฮะๆ มันก็อะไรทำนองนั้นแหล่ะค่ะ…”
รีซาน่าที่เห็นว่านากาเข้าใจผิดไปไกลนั้นได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้มีความคิดที่จะพูดเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย และในขณะที่รีซาน่ากำลังหัวเราะออกมาอยู่นั้นทางด้านนากาก็ได้หันไปมองทางเซซิลที่ยังไม่ได้พูดบอกถึงสาเหตุที่เธอเข้าร่วมด้วยออกมาให้คนอื่นฟัง ซึ่งการกระทำของนากานั้นก็ได้ทำให้เซซิลหันกลับมาจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะปริปากพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย
“……..”
“อ้าว— เจ้าพวกตัวตลกหัวสองสีจากเมืองซายูกิก็อยู่ด้วยนี่ ฉันก็นึกว่าเจ้าพวกนั้นจะหนีไปกันหมดแล้วซะอีก”
ในขณะที่นากาและเซซิลกำลังจ้องหน้ากันอยู่อย่างเงียบๆ นั้น อยู่ๆ อัลเบิร์ตที่หันไปสำรวจมองดูเหล่าลูกขุนนางจากห้องหนึ่งที่มีจำนวนมากที่สุดในหมู่เด็กนักเรียนที่ต้องการจะเข้าร่วมด้วยก็ได้พูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจเมื่อเขาได้พบเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าคนพวกนั้นจะต้องการให้ความร่วมมือด้วย
ซึ่งคำพูดของอัลเบิร์ตนั้นก็ได้ทำให้นากาละสายตาไปจากเซซิลด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะได้พบเข้ากับเด็กหนุ่มผมสีแดงที่ชื่อว่าอากิและเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่ชื่อว่าริวโตะที่มาจากเมืองซากิและเมืองยูกิ รวมถึงเด็กหนุ่มผมสีเขียวที่ชื่อว่าน๊อกซ์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับสองคนนั้นด้วยเช่นกัน
“นายหมายถึงสามคนนั่นน่ะหรออัลเบิร์ต? ถ้าฉันจำไม่ผิดเหมือนพวกนั้นจะชื่อว่า อากิ ริวโตะ แล้วก็น็อกซ์หรือเปล่านะ สรุปว่าสามคนนั้นเขาเป็นคนดังหรือไงน่ะ?”
“ก็แล้วมันจะมีใครอีกล่ะที่มาจากเมืองซายูกินอกจากยัยใบ้ข้างๆ พวกเราเนี่— โอ๊ย—!! อย่าใช้ความรุนแรงสิยัยบ้านี่!!”
อัลเบิร์ตที่ยังคงความปากเสียเอาไว้แม้แต่กระทั่งกับเพื่อนของตัวเองถึงกับต้องรีบถอยหลบไปยืนอยู่ใกล้ๆ กับเนลแทนในทันทีที่ยัยใบ้ข้างๆ ตัวเขาตวัดขาเตะเข้าใส่แบบไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้รีซาน่าที่เห็นแบบนั้นได้ตัดสินใจที่จะพูดอธิบายออกมาให้นากาฟังแทน
“จะว่าพวกเขามีชื่อเสียงในโรงเรียนก็ไม่ผิดสักเท่าไหร่หรอกค่ะ ถึงจะเป็นเรื่องชื่อเสียงในหลายๆ แง่มุมก็เถอะนะคะ… อีกอย่างนึงถ้าฉันจำไม่ผิดดูเหมือนว่าคุณน็อกซ์คนนั้นเองก็จะมาจากตระกูลใหญ่โตน่าดูเลยล่ะค่ะ เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้นากาก็พยายามอย่าเข้าไปยุ่งกับพวกเขาน่าจะดีกว่านะคะ”
คำพูดอธิบายของรีซาน่าได้ทำให้นากาหันกลับไปมองดูทางด้านเซซิลเล็กน้อย เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วเขาเองก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งกับพวกลูกหลานขุนนางสักเท่าไหร่นัก แต่ว่าเมื่อตอนนั้นมันเป็นเพราะว่าพวกลูกขุนนางพวกนั้นมายุ่งกับเพื่อนของเขาก่อนต่างหาก
“จะว่าไปแล้วน๊อกซ์คนนั้นนี่เป็นลูกหลานใครกันแน่ล่ะ? เมื่อตอนที่เซซิลโดนพวกนั้นหาเรื่องฉันก็เห็นอีกสองคนพูดเป็นทำนองว่าหมอนั่นน่าจะดังน่าดูเลยนี่”
บรื่นนนนนนนนน—
“หืม? รถขนของงั้นหรอ…”
คำถามของนากาได้ถูกลืมเลือนไปอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ๆ ก็มีรถกระบะขนาดใหญ่จากทางเมืองแล่นเข้ามาภายในเขตโรงเรียนก่อนที่มันจะจอดลงที่บริเวณใกล้ๆ กับโกดังเก็บของที่นากาเคยใช้เป็นจุดฝึกซ้อมส่วนตัว
ซึ่งในทันทีที่ไดเอน่าได้เห็นรถกระบะคันนั้นแล่นเข้ามาเธอก็ได้หันไปพยักหน้าให้กับคอนแนลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันเพื่อให้เขาหยิบเอาเอกสารจำนวนหนึ่งออกมาแจกจ่ายให้กับเด็กนักเรียนที่ยังคงยืนอยู่ในสนามหญ้าก่อนที่ตัวเธอเองจะหยิบเอาอุปกรณ์ขยายเสียงออกมาอีกครั้งเพื่อพูดประกาศขึ้นมา
“เอาล่ะ เอกสารที่พวกเธอเพิ่งจะได้รับไปนั่นเป็นเอกสารที่ระบุถึงเงื่อนไขและค่าตอบแทนต่างๆ ที่พวกเธอจะได้รับถ้าหากว่าพวกเธอตกลงยอมให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนและทางเมือง ถ้าพวกเธอยอมรับเงื่อนไขพวกนี้ได้และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือก็เซ็นชื่อของตัวเองลงไปบนเอกสารได้เลยจ้ะ ส่วนถ้าใครยังลังเลอยู่ก็เอาเอกสารนี้ไปปรึกษากับผู้ปกครองแล้วก็ใช้เวลาคิดสักคืนนึงแล้วพรุ่งนี้พวกเราค่อยมาเจอกันที่สนามหญ้านี่อีกทีนึงตอนตีห้าก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“ถึงจะบอกว่าให้ไปปรึกษาผู้ปกครองก่อนก็เถอะแต่ก็ไม่เห็นว่าเอกสารนี่มันจะมีช่องให้ผู้ปกครองเซ็นชื่อรับทราบเลยนี่…”
“ก็ทางเมืองคงจะกลัวว่าถ้าพวกผู้ปกครองรู้เรื่องนี้ก็อาจจะไม่เซ็นอนุมัติให้ล่ะมั้ง แต่ยังไงก็ช่างเถอะ ในเมื่อไม่ต้องให้ผู้ปกครองอนุญาตก่อนแบบนี้ก็สบายฉันไปเรื่องนึงล่ะ”
อัลเบิร์ตที่ได้ยินคำพูดของเนลได้แสยะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ เพราะตอนที่เขาได้ยินว่าจะมีการแจกเอกสารให้ เขาเองก็แอบหวั่นๆ เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไงให้พ่อของเขาที่เป็นหนึ่งในขุนนางของทางวังหลวงยอมอนุญาตดี แต่ว่าในเมื่อเรื่องนี้มันไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองก่อนมันก็เข้าทางเขาพอดี
ส่วนทางด้านคอนแนลที่ทยอยเดินแจกเอกสารไล่มาตั้งแต่ห้องหนึ่งจนมาสุดอยู่ที่ห้องสามและมีนากาเป็นคนสุดท้ายเองก็ได้พูดถามนากาขึ้นมาเมื่อเขาไม่เห็นวี่แววของพรีมูล่าและโมโกะที่ควรจะมาด้วยกันและคิดว่าพรีมูล่าอาจจะร้องโวยวายหาของกินตอนที่อยู่ในห้องพยาบาลจนนากาต้องสั่งให้โมโกะพาพรีมูล่าไปที่โรงอาหารก่อนแล้ว
“อ่ะนี่ครับนากา ว่าแต่นี่โมโกะเขาพาพรีมูล่าไปกินข้าวกันแล้วหรอครับ ถ้ายังไงจะเอาเอกสารไปเผื่อให้ทั้งสองคนด้วยหรือเปล่าล่ะครับ?”
“ยังไม่ต้องก็ได้มั้ง ตอนอยู่ในห้องพยาบาลพวกฉันตกลงกันไว้ว่าจะมีฉันแค่คนเดียวที่เข้ามาดูลาดเลาก่อนน่ะ แล้วถ้าเกิดว่างานมันไม่อันตรายมากเกินไปนักเดี๋ยวสองคนนั้นจะตามมาสมัครทีหลัง”
“งั้นหรอครับ ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าไว้เดี๋ยวนากาค่อยพาสองคนนั้นไปขอเอกสารจากคุณไดเอน่าทีหลังที่ห้องสภานักเรียนก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวผมขอตัวก่อนก็ละกันนะครับ”
“เออใช่ ถ้ายังไงเย็นนี้ฉันฝากนายหิ้วยัยพรีมูล่ากลับบ้านไปก่อนให้หน่อยสิ ฉันกับโมโกะว่าจะออกไปหาซื้อของขวัญวันเกิดมาเตรียมไว้ให้ยัยนั่นกันเย็นนี้เลยน่ะเพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นมาอีกบ้างหรือเปล่า”
“พาพรีมูล่ากลับบ้านไปก่อนด้วยตัวคนเดียวหรอครับ… เรื่องแบบนั้นนี่มันงานช้างเลยนะครับเนี่ย ฮะฮะฮะ…”
คอนแนลที่ได้ยินคำขอของนากาถึงกับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าเล็กน้อย เพราะว่าแค่ได้ยินแบบนั้นเขาก็ค่อนข้างจะคาดเดาได้แล้วว่าจะต้องเจอกับการโวยวายอย่างไรบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นอัศวินหนุ่มก็ยอมตกลงทำตามแผนการของนากาแต่โดยดี เพราะเขาเองก็มั่นใจว่าเมื่อพรีมูล่าได้เห็นของขวัญในงานวันเกิดของตัวเองเข้าเด็กสาวผมสีชมพูคนนั้นจะต้องดีใจมากแน่ๆ