ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 55 แดนเทวาเล็กใหญ่ (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 55 แดนเทวาเล็กใหญ่ (rewrite)

อู๋เต้าจื่อนั่งยองลง กำลังเคาะๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงที่เบายิ่งของหนิงอี้

“ผู้อาวุโส ล่วงเกินแล้ว”

คำพูดนี้พูดให้เจ้าของสุสานได้ยิน

หนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง แนบกับผนังหินช้าๆ

หลังเขาสู่ซานไม่มีเส้นทาง

ขลุ่ยกระดูกหนิงอี้สั่นไหว

ดังนั้นจึงมีเส้นทาง

ทั้งใต้ฟ้า สิ่งกีดขวางทั้งหมดจะถูกทลายเมื่ออยู่หน้าที่ราบกระดูก

ผนังหินพลันระเบิดตรงหน้าหนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อ เศษหินมากมาย สภาพแวดล้อมโดยรอบเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ฝุ่นธุลีดั่งคลื่นทะเล ปราณกระบี่มหาศาลถาโถมเข้ามา…

“บึ้ม!”

อู๋เต้าจื่อล้มลงกับพื้น

หนิงอี้พูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ยังคงยื่นแขนมาข้างหนึ่ง กลางฝ่ามือกดกับผนังหิน

หลังจากทุกอย่างพลันสลายไป แดนเทวาบำเพ็ญที่เหือดแห้งไม่มีเค้าลางจะถล่มลง

การระเบิดผนังหินเมื่อครู่ เป็นปราณกระบี่ที่ผนึกไว้หลังผนังหินหลายพันปีระเบิด จึงเหนี่ยวนำทางอ้อมให้เกิดภาพมายา

ภายในสุสานมักจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ แสงดารากับปราณกระบี่ แหล่งกำเนิดบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญทุกคนอาจจะเหนี่ยวนำภาพมายาพวกนี้ได้

ต่อให้เป็นผู้มีจิตใจแน่วแน่ หากไม่เตรียมตัวมาก็อาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้

อู๋เต้าจื่อน่าสงสารมาก ชุดคลุมเขาเปื้อนฝุ่น หอบหายใจแรง เม็ดเหงื่อเท่าถั่วไหลลงมาสองข้างแก้ม ตกลงกลางฝุ่นดินบนพื้น

หากเป็นผนังหินถล่มจริงๆ เสียงดังเช่นนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ยอดผู้บำเพ็ญสี่สำนักศึกษารู้ตัว ถ้าถูกจับ ใต้เท้าบุตรสวรรค์ เทพเซียนมาก็ช่วยตนไม่ได้

ตกใจจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัว

เขามองหนิงอี้ชุดคลุมดำที่กอดกระบี่ยืนอยู่ ไม่มีทีท่าจะขยับเท้าแม้แต่นิดเลย เห็นได้ชัดว่าต้านแรงปะทะทะเลวิญญาณจากปราณกระบี่ถาโถมครั้งนี้ได้

อู๋เต้าจื่อด่าทอพลางลุกขึ้น ปัดๆ ก้น ไม่รู้ว่าการกระทำเมื่อครู่ของหนิงอี้หมายความว่าอย่างไร…

ไม่นานเขาก็รู้ถึงความผิดพลาดของตน

บนผนังหินมีรอยแตก

เริ่มจากจุดที่ปราณกระบี่พุ่งออกมาเป็นรอยแตกเหมือนเครื่องเคลือบลายคราม และยิ่งลุกลามเหมือนลายดอกไม้ ผนังหินตรงหน้าเหมือนเตาเผาที่ปั้นขึ้นจากดินเหนียว ภายใต้ไฟหรืออุณหภูมิสูงจึงเผยใบหน้าแท้จริงออกมา

ปัญญาชนเมืองหลวงในตอนนั้นติดที่กฎของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ต่อให้รู้สึกถึงความผิดแปลกที่นี่ก็ไม่กล้าออกมือทำลายผนังหินนี้ และยิ่งไม่กล้าแตะต้องแดนเทวาบำเพ็ญนี้ง่ายๆ…

ตอนนี้ชนรุ่นหลังผู้ไม่เกรงกลัวข้อห้ามใดสองคน ทำลายผนังหินนี้ลง

อู๋เต้าจื่อริมฝีปากแห้งเล็กน้อย

ผนังหินหลุดลอกทีละชั้นอย่างเงียบเชียบเหมือนโคลน ‘ถล่มลง’ เผยแดนเทวาเล็กที่ซ่อนข้างหลังแดนเทวาบำเพ็ญ

นี่คือสุสานแท้จริงของเคียงกระบี่หรือ

กระทั่งอู๋เต้าจื่อสงสัยว่าเคียงกระบี่ตายแล้วหรือไม่กันแน่…แสงดารากับปราณกระบี่ที่นี่ยังสมบูรณ์มาก วัดแค่ระดับความสมบูรณ์ เกรงว่าจับยอดผู้บำเพ็ญราชันดาราเป็นๆ มาสักคน ก็ไม่มีแสงดาราแกร่งเท่าที่เหลือในแดนเทวาเล็กแห่งนี้

ในสุสานแห่งนี้ พันปีไม่เคยถูกกาลเวลากัดกิน ผนังหินนั้นกันได้ทุกอย่าง ปราณกระบี่ของแดนเทวาใหญ่สมบูรณ์มาก กระบี่เหล็กที่แขวนอยู่หลายสิบไปถึงร้อยเล่ม แดนเทวาเล็กแห่งนี้ ต่อให้ทำลายผนังหิน หนิงอี้กับอู๋เต้าจื่อก็ไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ

ตรงนั้นมีกระบี่ยาวใหม่เอี่ยมวางอยู่สามเล่ม

เคียงกระบี่เอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคน จากกระบี่ที่ซ่อนอยู่ที่นี่ก็รู้ว่ากระบี่สามเล่มที่วางในแดนเทวาเล็ก หากไม่ใช่บรรพจารย์กระบี่รุ่นแรกใช้เอง ก็เป็นคนที่เขาเอาชนะได้แกร่งกว่านักกระบี่พวกนั้นข้างนอกหลายขั้น

หนิงอี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่นี่ต่างหากคือสุสานที่แท้จริง”

อู๋เต้าจื่อมองแดนเทวาเล็กตรงหน้า ผนังหินหลุดลอกถล่มลง ปราณกระบี่ในแดนเทวาเล็กผลุบๆ โผล่ๆ เกรงว่าการจะเข้าไปสำรวจคงจะยากมาก

ไม่มีพลังบำเพ็ญมากพอก็คงมีชีวิตเข้าไป แต่ไม่มีชีวิตออกมา

ด้วยระดับความแกร่งของกายเนื้อเขาก็ยังกลัวอำนาจปราณกระบี่ของเคียงกระบี่ แผ่ออกมาเป็นเส้นสาย กระทบผิวหนัง เลือดลมจะระเบิด

กระบี่ยาวสามเล่มแขวนตรงหัวเข่าไม่ปักลงดิน

ในแดนเทวาเล็ก ทุกรูปปั้นแกะสลักคล้ายดินเหนียวและคล้ายไม้นั่งอยู่ ใบหน้าดูอบอุ่นและราบเรียบ คิ้วและดวงตาออกสีเหลืองแล้ว เส้นผมปลิวไสวกับจอนผมขึ้นลงล้วนถูกรูปปั้นแกะสลักไม้ดินเหนียวหยุดไว้ในพริบตา บุรุษคนนั้นที่นั่งขัดสมาธิในแดนเทวาเล็ก ข้างหลังยังมีกระบี่โบราณไม้เล็กๆ อีกสิบสองเล่ม รายล้อมเป็นวงกลม

นี่น่าจะเป็นกระบี่ที่เคียงกระบี่ฝึกฝน

กระบี่สามเล่มนั้นน่าจะมาจากศัตรูที่บรรพจารย์กระบี่รุ่นแรกเอาชนะ

ขลุ่ยกระดูกของหนิงอี้ยังคงสั่นไหว หลังเขายื่นมือเข้าไปเอาหินถล่มออก ปราณกระบี่ที่ขัดขวางคนนอกโดยธรรมชาติก็พัดเข้ามา ชุดคลุมดำพองขึ้น ก้าวเข้าไปในแดนเทวาเล็ก

“เจ้าบ้าไปแล้วรึ”

อู๋เต้าจื่ออึ้งงัน เขาจ้องหนิงอี้ ก็พบว่ารอบตัวหนิงอี้มีการป้องกันลับๆ ทำให้ปราณกระบี่พวกนั้นวนเวียน เข้ามาไม่ได้ เหมือนเพราะเหตุผลบางประการ ทำให้เลี่ยงได้สามส่วน

อู๋เต้าจื่อยื่นมือเข้าไป ปรากฏว่าถูกปราณกระบี่เฉือนผิวหนัง ปลายนิ้วแตกเป็นรอยแผล

นักบวชร้องเสียงแปลกๆ กุมนิ้วมือที่หยั่งเชิงนั้น กระโดดอยู่กับที่ กายและจิตเขาแกร่งมาก แต่กลับต้านปราณกระบี่ระดับนี้ไม่ไหว เปราะบางอย่างกับกระดาษ

หนิงอี้ยืนอยู่หน้ารูปปั้นดินเหนียวนั้น จ้องรูปปั้นของเคียงกระบี่รุ่นแรกนั้น

เขากอดพินิจเหมันต์ เกิดความรู้สึกแหงนหน้ามองเหมือนว่า ‘นักกระบี่ใต้ฟ้า ที่นี่อยู่สูงสุด’

บรรพจารย์กระบี่ที่มีใบหน้าดูเป็นกันเองคนนี้ต้องไม่ใช่ยอดผู้บำเพ็ญวิถีกระบี่คนแรกแน่นอน ความชำนาญวิถีกระบี่ของเขาสูงมาก แต่กลับตายเร็วมากจริงๆ มีไม่กี่คนที่ได้ร่วมงานศพและไว้อาลัยแบบที่ทำกับผู้อาวุโสนักกระบี่คนอื่น

ความสง่างามของเคียงกระบี่ถูกรูปปั้นไม้ดินเหนียวนี้หยุดไว้ในสภาพตอนหนุ่ม

หนิงอี้มองรูปปั้นนี้ เครื่องหน้าแกะสลักด้านบน ข้างหลังสวมชุดคลุม ไปจนถึงห้อยกระบี่ รูปปั้นที่สมจริงดังมีชีวิตทุกส่วนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกขึ้น

เหมือนข้ามผ่านระยะทางไกลโพ้นมาจ้องหน้ากับผู้อาวุโสนักกระบี่ท่านนี้ เห็นแววตาที่อ่อนโยนและจริงใจของอีกฝ่าย

รูปปั้นไม้ดินเหนียวนี้ เหมือนทุกอย่าง มีทุกอย่าง

แต่ไม่มีจิตใจ

ดวงตาชี้ที่อมยิ้มคู่นั้นของเคียงกระบี่ขาดท่วงทำนองเทพไป ดังนั้นเลยขาดชีวิตชีวาไป

ในแดนเทวาเล็กแห่งนี้ นอกจากปราณกระบี่แล้วไม่มีอะไรเลย

เดิมทีควรเป็นเช่นนี้

แบบนี้ถึงจะถูก

ผู้บำเพ็ญที่ถวายเลือดหัวใจทั้งชีวิตให้กับวิถีกระบี่ ก่อนตาย ต้องไม่มีความคิดอื่นอยู่แน่

หนิงอี้มองแดนเทวาเล็กนี้ กระบี่ยาวสามเล่มที่วางตรงหน้าตักเคียงกระบี่ แม้จะมีกลิ่นอายปีศาจ แต่หน้าตาถูกต้องชอบธรรมยิ่ง มีกลิ่นอายความถูกต้องเอ่อล้น น่าจะเคยสังหารปีศาจที่แข็งแกร่งมากในทะเลพลิกผัน ปราณกระบี่อาบเลือด

กระบี่ยาวสามเล่มนี้มีระดับสูง หนิงอี้ย่อตัวลง แกะผ้าดำออก นำพินิจเหมันต์มาเคาะเบาๆ ตัวกระบี่เกิดเสียงดังแก๊ง ลากผ่านไป สะเก็ดไฟถูกลากเป็นเส้นยาว

อู๋เต้าจื่อที่อยู่ไกลออกไปเห็นภาพนี้ในแดนเทวาเล็กก็หรี่ตาลง มีสีหน้าจริงจัง

กระบี่ยาวสามเล่มนี้ บนด้ามกระบี่ต่างพันด้วยพู่กระบี่สีดำแดงขาวสามสี เดิมทีดูธรรมดามาก แต่เมื่อปะทะคมกับพินิจเหมันต์ พลังพลันเปลี่ยนไป ให้ความรู้สึกถึงแรงปะทะรุนแรงยิ่ง

“ระดับไม่แพ้พินิจเหมันต์เลย…” หนิงอี้พึมพำ “เจ้านายของพวกมัน อย่างน้อยตอนมีชีวิตเกรงว่าคงเป็นยอดนักกระบี่ระดับเดียวกับคุณชายเจ้าหรุย”

หนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง วางไว้บนกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง เตรียมจะคว้า

อู๋เต้าจื่อเห็นดังนั้นก็รีบพูด “อย่า…”

คำพูดยังไม่ทันถึงหูหนิงอี้ หนิงอี้ก็ชักมือกลับและยืนขึ้น

ด้วยนิสัยระมัดระวังตัวของเขา ย่อมไม่ประมาท

ที่นี่คือมหาสุสานของสี่สำนักศึกษา หากแตะกระบี่ยาวและปลดผนึก เช่นนั้นสองคนคงจบเห่แน่

ความจริงต่อให้หนิงอี้ประมาทก็ไม่ส่งผลต่อบทสรุป

หนิงอี้ยืนขึ้น แววตาซับซ้อน มือนั้นที่ตนหยุดค้างไว้ถูกปราณกระบี่ต่อต้านอย่างรุนแรง กระบี่เลื่องชื่อมีเจ้านายแล้ว ตนจึงถูกปฏิเสธหรือ

เขาถอนหายใจเบาๆ มองไปที่แดนเทวาเล็ก มองว่าตนยังตกหล่นอะไรไปหรือไม่

เด็กหนุ่มที่เดิมทีจะหมุนตัวกลับพลันตัวแข็งทื่อ มองแดนเทวาเล็กไปในทิศทางหนึ่งข้างหลังเคียงกระบี่

มองอีกที ขลุ่ยกระดูกสั่นไหวอย่างรุนแรง

หนิงอี้จ้องตรงจุดที่รวมปราณกระบี่นั้น ตรงกลางวงกลมกระบี่ไม้สิบสองเล่ม

ตรงนั้นคือ…

จุดแปลก…ที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเคียงกระบี่หรือ

เขาไปลากอู๋เต้าจื่อมากลางแดนเทวาเล็ก ภายใต้การคุ้มกันของที่ราบกระดูก ปราณกระบี่บ้าอำนาจหลีกทางให้สามฉื่อ สองคนยืนอยู่กลางแดนเทวาเล็ก

หนิงอี้ชี้ตรงกลางกระบี่ไม้สิบสองเล่ม อู๋เต้าจื่อจ้องอย่างจริงจังอยู่นาน

คัมภีร์กังขามังกรไม่โต้ตอบใดๆ เลย

“นั่นคือจุดแปลกจริงๆ รึ” อู๋เต้าจื่อเกาศีรษะ “เจ้าอย่าหลอกข้านะ…เหตุใดข้าถึงมองไม่ออกเลย”

หนิงอี้มีสีหน้าจริงจัง เขามั่นใจมากว่าสัมผัสของที่ราบกระดูกไม่พลาดแน่

“ที่นี่มีปราณกระบี่รวมกัน ทำลายจุดแปลกของผนังหินได้ก็ถือว่าเป็นผู้มีวาสนากับเขา” อู๋เต้าจื่อพูดพึมพำ “บางทีเจ้าอาจจะหาจุดแปลกพบจริงๆ ก็ไม่แน่…เจ้าคิดว่ามันเชื่อมไปที่ใด”

หนิงอี้ไม่ตอบ

ผ่านไปพักหนึ่ง อู๋เต้าจื่อมีสีหน้าระมัดระวังขึ้นทีละนิด หนิงอี้ไม่พูด แต่เขาเข้าใจความหมายของหนิงอี้

โลกนี้มีสุสานมากมาย

แม้แต่สุสานของสี่สำนักศึกษา หนิงอี้บอกจะมาก็มาได้ ไม่อืดอาด ไม่ลังเลเลย และยิ่งไม่เกรงกลัว

แต่ตอนนี้เขาหาจุดแปลกพบที่นี่ กลับไม่กล้าเข้าไป…ที่นี่มีเพียงที่เดียว และก็มีเพียงที่นี่

อู๋เต้าจื่อเอ่ยเสียงแหบแห้ง “เจ้าคิดว่าจุดแปลกนี่…จะเชื่อมไปสุสานจักรพรรดิรึ”

ทุกคำพูดยากลำบาก

หนิงอี้พยักหน้า

เขาพูดนิ่งๆ “นอกจากนี้ ข้ายังสงสัยว่าความจริงของการตายของเคียงกระบี่…อยู่ในสุสานจักรพรรดิ”

อู๋เต้าจื่อสับสนเล็กน้อย

“ในแดนเทวาเล็กนี้มีปราณกระบี่สมบูรณ์มาก ก่อนตาย…มีโอกาสสูงที่จะเกิดศึกใหญ่ ผู้บำเพ็ญระดับนี้ สู้กันคงทำลายทั้งสุสานจักรพรรดิได้เลย”

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก “ยังจำที่เจ้าพูดได้หรือไม่…บรรพจารย์สามคนของสำนักศึกษาอื่น หลังจากนั้นไม่นานก็สิ้นชีพลง สมบัติทั้งหมดและกระบี่ ไม่ปรากฏมาในโลกอีก…”

อู๋เต้าจื่อม่านตาหรี่แคบลง ลมหายใจกระชั้นขึ้น

หนิงอี้มองรูปปั้นดินเหนียวนั้น น้ำเสียงมีความซับซ้อนเล็กน้อย

“มีโอกาสสูงที่เคียงกระบี่อาจจะถูกลอบสังหาร”

………………………