เฉินลั่วนั้นตั้งแต่มาอยู่ในท้องจ่างกงจู่ก็เป็นเด็กแข็งแรงคนหนึ่ง ดิ้นเก่งมาก อายุครรภ์ครบบริบูรณ์แล้วถึงคลอดออกมา ตอนที่คลอดออกมาเส้นผมดำขลับ ตัวอ้วนจ้ำม่ำจนแทบมองไม่เห็นลำคอ ร้องไห้เสียงดัง สะบัดเท้าเตะใบหน้าของหมอตำแยจนเป็นรอยเขียวหนึ่ง
ทุกคนต่างพูดกันว่าเขาเลี้ยงง่าย
จ่างกงจู่เองก็รู้สึกเช่นนี้
กระทั่งเฉินลั่วพูดได้เดินได้ นอกจากเขาจะพูดคล่องและเฉลียวฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกันแล้ว ปีนต้นไม้ลงแม่น้ำก็ไม่เคยอยู่สงบเลยแม้ขณะเดียว แต่เขาเป็นเด็กตัวขาวกลมเหมือนก้อนหิมะ ทำให้คนเห็นแล้วใจอ่อนระทวย ประกอบกับถ้อยคำที่กล่าวออกมาเหมือนฉาบด้วยน้ำผึ้งก็ไม่ปาน จึงไม่มีใครทำหน้าบึ้งยามอยู่ต่อหน้าเขาได้
จ่างกงจู่จึงวางใจลงได้มากเป็นธรรมดา
เวลานั้นฮ่องเต้โปรดปรานซูเฟย ชีวิตของฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ราบรื่นนัก หลินอานต้าจ่างกงจู่ก็สูญเสียเกียรติเนื่องด้วยเรื่องเสเพลของราชบุตรเขย ฮองเฮาเหนียงเหนียงจึงลากเป่าชิ่งจ่างกงจู่กลับไปพักที่วังบ่อยๆ ไปฟังนางบ่นและช่วยไกล่เกลี่ยให้นางด้วยกัน
กระทั่งจ่างกงจู่มีเวลาว่าง ตอนที่หันกลับมา เฉินลั่วก็กลายเป็นเด็กอารมณ์รุนแรง โกรธง่ายมากความสงสัย เอ่ยปากก็ทำให้คนสำลักตายได้ไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ไปแล้ว กับเฉินเจวี๋ยยิ่งเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับไฟ ไม่อาจกินข้าวหม้อเดียวกัน หลบฝนในห้องเดียวกันได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นเฉินลั่วคนก่อนหรือเฉินลั่วคนปัจจุบัน ก็ไม่เคยเผยสีหน้าอิดโรยต่อหน้านางเช่นวันนี้มาก่อน ราวกับว่าบนบ่านั่นแบกภูเขาลูกใหญ่เอาไว้ก็ไม่ปาน
ทันใดนั้นน้ำตาของจ่างกงจู่ไหลลงมาเป็นสายฝน
“นี่เจ้าต้องการทำประชดประชันเฉินเจวี๋ยหรืออยากเป็นเจิ้นกั๋วกงจริงๆ” นางไม่อยากให้เฉินลั่วแหย่เท้าเข้าไปในโคลนตมของจวนเจิ้นกั๋วกงนี้เลย การเอาชีวิตที่เหลือไปเสียเวลากับคนเหล่านี้ มันไม่คุ้มค่า
เฉินลั่วรู้สึกว่ามารดาของเขาเกินเยียวยาแล้วจริงๆ ร่างของตัวเองเต็มไปด้วยเลือดแล้ว ยังจะเห็นใจที่ชีวิตของผู้อื่นไม่ราบรื่นอีก
“นี่มีอะไรแตกต่างอย่างนั้นหรือ” เขาถามจ่างกงจู่อีกครั้ง “ข้าอยากทำประชดประชันเฉินเจวี๋ย การช่วงชิงเอาความหวังของเฉินอิงมาก็เป็นการแก้แค้นนางที่สาหัสที่สุดแล้ว หากข้าอยากเป็นเจิ้นกั๋วกงจริงๆ เฉินเจวี๋ยก็โมโหจนตายดุจเดียวกัน ท่านมีเวลานัก มิสู้มาคุยกับข้าดีๆ ดีกว่าว่าตกลงบิดาข้าควบคุมจุดอ่อนอะไรของท่านเอาไว้…”
“เรื่องราวมิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด” จ่างกงจู่อดกล่าวโต้แย้งไม่ได้ “ข้ามิได้กลัวบิดาเจ้า แต่เพราะไม่อยากมีอะไรข้องเกี่ยวกับตระกูลเฉินอีก”
แม้แต่มองยังไม่อยากมอง!
ฟังยังไม่อยากฟัง!
นางนึกที่ก่อนหน้านี้แซ่ของตัวเองต้องผูกติดอยู่กับแซ่ของเฉินอวี๋แล้วก็รู้สึกทนไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว
หากบุตรชายของนางเป็นเจิ้นกั๋วกง มิเท่ากับว่านางต้องติดอยู่ในบ้านหนึ่งจุดสามหมู่นี้ของตระกูลเฉินไปตลอดชีวิต แม้จะไม่อยากได้ยินไม่อยากถามไถ่ก็ทำไม่ได้หรอกหรือ
แต่หลายปีมานี้บุตรชายก็ลำบากมามากเกินไปแล้วจริงๆ
จ่างกงจู่ขบคิดอยู่ในใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากพูดเรื่องนี้กับฮ่องเต้ นางควรจะพูดอย่างไร พูดเวลาไหนถึงจะเหมาะสม หลายปีมานี้เฉินอวี๋ทำเรื่องไปมากมายขนาดนั้น มิใช่เพราะอยากให้เฉินอิงรับช่วงต่อหรอกหรือ หากเขารู้ ไม่มีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน
แม้นนางไม่กลัวเขา แต่ถ้าทั้งสองคนฉีกหน้ากันจริงๆ มีแต่จะทำให้เฉินลั่วกลายเป็นตัวตลกเท่านั้น
จ่างกงจู่มองบุตรชายครั้งหนึ่ง
ในใจของเฉินลั่วราวกับมีเปลวไฟสูงเทียมฟ้าถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
เขาไม่เข้าใจ มารดาของเขามีอะไรให้ต้องกลัวด้วย
ต่อให้มีสัมพันธ์ลับกับจินซงชิงแล้วอย่างไร บิดาของเขาจะไปป่าวประกาศว่าตัวเองถูกสวมเขาอย่างนั้นหรือ เรื่องประเภทนี้ ตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่สืบสวน ผู้อื่นพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ แทนที่นางจะไกล่เกลี่ยกับบิดาเขา มิสู้หาวิธีทำให้ฮ่องเต้โอนเอนมาเข้าข้างนางดีกว่า
ดวงหน้าของเฉินลั่วเผยความยุ่งยากใจออกมา คร้านจะรอมารดาของเขาคำนวณตาชั่งแล้ว กล่าวอย่างไม่เกรงใจสักนิด กระทั่งหยาบคายเล็กน้อยว่า “ท่านแม่ แม้แต่ข้ายังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของท่านกับจินซงชิง แล้วเฉินเจวี๋ยรู้ได้อย่างไร วันนั้นแขกเหรื่อเต็มบ้าน องค์ชายรองมาอย่างกะทันหัน แม้แต่ข้ายังคิดว่าท่านอยู่สนทนาเป็นเพื่อนซูเฟย เฉินเจวี๋ยรู้ได้อย่างไรว่าท่านไปพบจินซงชิง หากข้ายังเป็นเด็กผมแกละอยู่ ต้องคิดว่าเฉินเจวี๋ยเก่งกาจ เรื่องอะไรก็ปิดบังจากนางไม่ได้เป็นแน่…
…แต่บัดนี้ข้ารับราชการอยู่ในวังหลวง บิดามีอำนาจมากเท่าไร ควบคุมเรือนชั้นในได้ถึงขั้นไหน ข้าเองก็รู้แจ้งแก่ใจดี ถ้าหากบอกว่าที่เฉินเจวี๋ยทำเช่นนี้ บิดาไม่ได้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ต่อให้ท่านเชื่อ ข้าก็ไม่มีทางเชื่อ”
หาไม่เมื่อกลับไปถึงหอนกกระจ้อยขับขานแล้วมารดาของเขาก็ไม่คงไม่เริ่มตรวจสอบร่องรอยของคนข้างกายในทันที
เขาแสยะปาก กล่าวต่อว่า “ไม่ว่าใครทำอะไรล้วนมีเป้าหมาย เมื่อก่อนข้ามักจะคิดไม่ตกว่าเหตุใดท่านพ่อถึงปล่อยให้เฉินเจวี๋ยกับข้าทะเลาะกัน…
…บัดนี้ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมดอยู่ดี…
…แต่ข้าคิดว่า ทุกสิ่งบนโลกใบนี้หาเหตุผลไม่ได้อยู่แล้ว…
…ในเมื่อข้าไม่อาจเข้าใจท่านพ่อ ก็ไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจ ข้าเพียงต้องรู้ว่า หลังจากที่ข้ากับเฉินเจวี๋ยทะเลาะกันแล้ว ผู้ใดได้รับประโยชน์ ข้าก็จะรู้แล้วว่าท่านพ่อต้องการทำอะไร”
สุดท้าย เขาถามจ่างกงจู่ว่า “ท่านว่า ใช่เหตุผลนี้หรือไม่”
จ่างกงจู่สะอึกไปแล้ว
เฉินลั่วกับเฉินเจวี๋ยไม่ถูกกัน ผู้ใดได้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าเป็นเฉินอิง
เขาอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียงใด ผู้อื่นล้วนคิดว่าเขาคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างพี่สาวกับน้องชาย ทำให้ต้องลำบากใจ แต่ใครจะรู้ว่า ทุกครั้งหลังจากที่เฉินลั่วกับเฉินเจวี๋ยทะเลาะกันเสร็จแล้ว ฮ่องเต้เองก็ทรงรู้สึกว่าเฉินอิงต้องลำบากใจ หน้าที่การงานที่กองพลขนนกของเฉินอิง มิใช่ว่าได้มาด้วยประการฉะนี้หรอกหรือ
“ข้าจะไปถามฮ่องเต้ให้เจ้าเอง” จ่างกงจู่กล่าว สะอื้นพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปด้วย “เพียงแต่ว่ามีเรื่องหนึ่ง ข้าต้องคุยกับเจ้าให้กระจ่างก่อน ต่อให้ข้าออกหน้าให้ ฮ่องเต้ก็อาจไม่รับปากให้เจ้าเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ”
เฉินลั่วฟังแล้ว ตะลึงงันไปครึ่งค่อนวัน
แม้นกล่าวว่าเขามาขอร้องมารดา แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจ่างกงจู่จะรับปาก
เขาก็แค่คิดว่าในเมื่อตัวเองต้องการช่วงชิงตำแหน่งซื่อจื่อกับเฉินอิงแล้ว อย่างไรก็หนีไม่พ้นต้องไปติดต่อทั่วทุกที่ แทนที่จะให้มารดาของเขาได้ยินเรื่องนี้จากปากของผู้อื่น มิสู้เขาแจ้งมารดาของเขาให้ทราบล่วงหน้าเอาไว้สักครั้งหนึ่ง ถึงเวลามารดาของเขาจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ และทำให้คนข้างนอกได้เห็นเรื่องตลกเปล่าๆ ด้วย
จ่างกงจู่กลับเข้าใจว่าเฉินลั่วกำลังตำหนิที่นางพูดจาไร้ความจริงใจเกินไป อดถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่งไม่ได้ ครุ่นคิดแล้วอธิบายสถานการณ์จริงให้เขาฟัง “นับตั้งแต่รัชสมัยปัจจุบันเริ่มขึ้น ก็เหลือกั๋วกงเพียงสามคนเท่านั้น ในจำนวนนั้นมีเพียงเจิ้นกั๋วกงที่ตอนนี้ยังมีตำแหน่งหน้าที่การงานอยู่ ที่เหลืออีกสองตระกูล ก็เหลือเพียงนามเท่านั้น เจ้ารู้ว่าข้าดูแคลนบรรดาศักดิ์นี้ แต่ไม่รู้ว่าบัดนี้ตระกูลชั้นสูงที่ทำประโยชน์ได้ก็มีแค่จวนเจิ้นกั๋วกงและจวนชิงผิงโหวสองสามตระกูลเหล่านี้เท่านั้นแล้ว…
…ปีนั้นที่เสด็จลุงของเจ้าให้ข้าแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงก็เพื่อจะได้มีอำนาจต่อรองกับจวนชิ่งอวิ๋นโหว แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเสด็จลุงของเจ้าไม่คิดใช้บรรดาศักดิ์เจิ้นกั๋วกงเป็นเหยื่อล่อให้ขุนนางตายใจ?”
เฉินลั่วตัวสั่น มองจ่างกงจู่ที่ใบหน้ายังคงอ่อนเยาว์ดุจสตรีแรกแย้มดังเก่าด้วยสายตาวาวโรจน์
จ่างกงจู่ยิ้มขื่น กล่าวว่า “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้ารู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ไปวันๆ? ที่เสด็จลุงของเจ้าไม่ยอมออกหน้าช่วงชิงตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อมาให้เจ้าเสียที ในใจข้าก็บังเกิดความสงสัยแล้ว เพียงแต่ข้ายังไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะลุงของเจ้ากลัวบิดาของเจ้าจะไปเข้าข้างจวนชิ่งอวิ๋นโหวหรือเพราะอยากใช้ตำแหน่งว่าที่ซื่อจื่อนี้มาเป็นบุญคุณกันแน่ เจ้าอยากเป็นเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ พวกเรายังต้องใช้เวลาขบคิดอีกมาก”
เฉินลั่วรับคำอย่างมึนงงเสียงหนึ่ง ในใจกลับสับสนวุ่นวาย ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
แน่นอนเขารู้ว่าฮ่องเต้กำลังกังวลอะไรอยู่ กระทั่งกล่าวได้ว่า ทุกคนในราชสำนักต่างรู้ว่าฮ่องเต้กำลังกังวลอะไรอยู่ หลายปีมานี้ชิ่งอวิ๋นโหวเลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก แม้แต่เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทยังไม่กล้าเอ่ยออกมาง่ายๆ มิใช่เพราะกลัวทำให้ฮ่องเต้เคืองพระทัย เป็นเหตุให้ฮ่องเต้คิดว่าเขายโสโอหัง คิดแทรกแซงเรื่องในราชสำนักหรอกหรือ
เขาเคยคิดเรื่องที่ฮ่องเต้ไม่ยอมออกหน้าช่วยเขามาก่อนเช่นกัน ทว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าฮ่องเต้จะใช้บรรดาศักดิ์เจิ้นกั๋วกงมาเป็นบุญคุณให้กับฮ่องเต้ในอนาคต
เขานึกถึงธูปหอมที่ปรากฏอยู่ในพระตำหนักเฉียนชิงอย่างหาที่มาไม่ได้ดอกนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินลั่วอดหยิกฝ่ามือไม่ได้
เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องนี้วางเอาไว้ก่อนก็ได้ ทว่าตอนนี้รู้แล้ว เกรงว่าเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง
เรื่องที่มารดาของเขาคิดได้ บิดาของเขาก็ต้องคิดได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นบิดาถึงไม่รีบร้อนขอแต่งตั้งซื่อจื่อให้เฉินอิง
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องงานแต่งของเฉินอิงก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นแล้ว
มีความรู้สึกเจ็บปวดทิ่มแทงหนึ่งแผ่มาจากกลางฝ่ามือ
เขารู้ว่าเป็นเพราะเขาหยิกมือแรงเกินไป เล็บทิ่มแทงลงไปกลางฝ่ามือ
แต่นี่มีอะไรสำคัญเล่า
ตอนเขากกกอดความคิดอันชั่วร้ายไปคิดเรื่องพวกนี้นั้น มีเรื่องอะไรที่เขาคิดไม่ถึงและมีเรื่องอะไรที่เขาไม่อาจคิดได้บ้างนะ?
เฉินลั่วค่อยๆ ลุกขึ้นมา ผลักบานหน้าต่างห้องโถงออก
แสงอาทิตย์เจิดจ้าของยามเที่ยงกลางฤดูร้อนสาดส่องอยู่บนกระเบื้องหินของทางเดินในลานบ้าน คล้ายกับมีคลื่นความร้อนกำลังเดือดปุดๆ ม้วนตัวขึ้นมาก็ไม่ปาน
***
ด้านหวังซีหากมิใช่จับตาดูท่านหมอเฝิงก็จับตาดูหลงจู๊ใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ ณ ขณะนี้ทั้งสองฝั่งล้วนยังไม่มีความคืบหน้าอะไร
นางไม่ชอบที่อากาศร้อนเกินไป จึงย้ายเก้าอี้โยกตัวหนึ่งไปวางใต้ชายคา หารือเรื่องงานเลี้ยงย้ายบ้านกับไป๋กั่วทุกวัน
สุดท้ายแล้วต้นองุ่นที่นางให้หวังสี่ย้ายมาปลูกหน้าเรือนประธานต้นนั้นก็ปลูกช้าเกินไป มันพยายามแทงยอดอ่อนออกมาสองสามกิ่ง ซุ้มองุ่นนั่นจึงกลายเป็นที่เล่นอย่างดีของเซียงเย่ไปโดยปริยาย มันปีนขึ้นปีนลงทั้งวัน ทำเอาคนที่ดูแลมันตกใจจนเสียขวัญ ถือปลาแห้งร้อง เมี๊ยวเมี๊ยวเมี๊ยว อยู่ในซุ้มองุ่นหลอกล่อให้มันลงมา
ตอนฉังเคอเข้ามาเห็นภาพหนึ่งคนกับหนึ่งแมวมีคนหนึ่งกลุ่มล้อมรอบอยู่ข้างกาย ดูครึกครื้นยิ่งนักนั่นแล้ว อดยิ้มไม่อยู่หัวเราะเสียงดังออกมา
หวังซีเผยสีหน้ายินดีออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ รีบลุกขึ้นมาต้อนรับนาง กล่าวว่า “มิใช่บอกว่าพวกเจ้าล้วนยุ่งอยู่กับการช่วยซือจูตกแต่งสวนหิมะงามหรอกหรือ เจ้ามีเวลาว่างมาได้อย่างไร” แล้วก็บอกให้ไป๋ซู่ไปหยิบผลไม้แช่เย็นและขนมหวานมารับรองฉังเคอ
ฉังเคอเองก็ไม่สงวนท่าทีกับนาง นั่งลงข้างเก้าอี้โยกของนาง จิบชาคำหนึ่ง พักหนึ่งลมหายใจแล้ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกข้าล้วนไปกันแล้ว แต่ว่า คำว่าพวกข้านี้ต้องตัดพี่สาวรองออกไปก่อน งานแต่งของนางกำหนดลงมาแล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กักตัวนางไว้ทำงานเย็บปักทุกวัน นางจึงไม่มีเวลาว่าง และยังต้องตัดคุณหนูพานออกไปด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหลิวต้องไปแก้บนที่วัด นอกจากทำพิธีทางศาสนาสามรอบแล้ว ยังต้องคัด ‘วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร’ ด้วยตัวเองอีกหนึ่งเล่ม หลิวฮูหยินและสตรีคนอื่นๆ ไม่ว่าง จึงเชิญคุณหนูพานไปอยู่เป็นเพื่อน หลายวันมานี้นางก็เลยยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวไปวัด…
…จึงเหลือพี่สาวสามหนึ่งคนและข้าอีกหนึ่งคน…
…หลายวันก่อนคุณชายสี่ของจวนเซียงหยางโหวขี่ม้าแล้วตกลงมา พี่สาวสามอยากไปจุดธูปที่วัด จึงตั้งใจจะร่วมทางไปกับคุณหนูพาน…
…ก็เลยเหลือข้าเพียงคนเดียว สถานะต่ำต้อย อีกทั้งไม่เข้าใจสีหน้าผู้คน จะทำอะไรได้”
ประโยคสุดท้ายนี้ กลับเป็นการกล่าวประชดประชันตัวเอง คาดว่าคงเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว?
แน่นอนว่าหวังซีไม่ทำเรื่องที่ไม่จำเป็น
ฉังเคอกับนางเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน กับซือจูก็เช่นกัน ฉังเคออยากบอกนาง นางย่อมยินดีฟัง แต่ถ้าฉังเคอไม่อยากบอกนาง นางก็จะทำเป็นฟังไม่เข้าใจเพียงเท่านั้น
หวังซีชักชวนนางกินผลไม้ “เป็นลิ้นจี่ที่เพิ่งส่งมาจากก่วงตง แช่ในน้ำแข็งมาตลอดทาง รสชาติยังดีมากด้วย”
ฉังเคอมองบรรยากาศผาสุกสบายของนางแล้ว รู้สึกว่าคำพูดที่เอ่อมาถึงริมฝีปากนี้พูดออกไปคงไม่ค่อยเหมาะสม จึงกลืนถ้อยคำลงไปใหม่ ตั้งอกตั้งใจกินผลไม้กับหวังซี แล้วก็คุยเรื่องจิปาถะไปด้วย “เจ้าจะจัดงานเชิญแขกเมื่อใด มีอะไรต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่ อย่างอื่นข้าทำไม่ได้ แต่เรื่องย้ายดอกไม้หรือต้นหญ้านั้นไม่มีปัญหา”
…………………………………………………………………….
ตอนต่อไป