ฉินจิ่วเกอที่คาดการณ์ไว้แล้วประกบมือกล่าว “อา เป็นข้าจำผิดเอง คนเราใช้ตามองดูความเป็นไปทางโลก ใช้หูรับฟังถึงเรื่องราว ซึ่งก็ชัดเจนว่าองคาพยพทั้งห้าล้วนต้องขยับ ในเมื่อใช้ตามองดูผืนธงโบกสะบัดกลางสายลม ใช้หูรับฟังเสียงลมหวีดหวิว ไม่ใช่ว่าหากหูตาลิ้นจมูกปากไม่อยู่นิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนขยับเคลื่อนไหวหรอกหรือ? ”

ในดวงตาของผู้เฒ่าเรืองปัญญาเกิดประกายควบผนึกอย่างยากที่จะพบเห็นได้ ความเคร่งขรึมนี้ไม่เคยปรากฏออกมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว แต่วันนี้ มันมิอาจไม่เก็บความตั้งใจที่จะหัวร่อเยาะลงไป เปลี่ยนมาเป็นพิจารณาเจ้าหนุ่มสำอางตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด

ปราณสุริยัน อายุราวยี่สิบ ในสายตาของเฒ่าเรืองปัญญา มันมองไม่ออกถึงฐานะของฉินจิ่วเกอ แต่ไม่ว่ายังไง ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกลับเข้าใจเรื่องราวความเป็นไปรวมถึงเต๋าในแบบที่เรียบง่ายที่สุดได้ถึงระดับนี้?

“อา ข้านี่แก่แล้วจริงๆ เมื่อครู่พูดผิดไป ข้าจะบอกว่าทั้งสายลม ทั้งผืนธง จิตใจ และองคาพยพทั้งห้าล้วนขยับเคลื่อนไหวหมดเลยต่างหาก แต่ก็ยังผิดหรือ? ” ผู้เฒ่าเรืองปัญญาพลิกลิ้นอีกครั้ง สีหน้าปราศจากความละอายสักเสี้ยวเศษ มันอยากทดสอบเจ้าเด็กตรงหน้าสักหน่อย

อย่าบอกนะว่า บนโลกนี้จะมีคนที่เกิดมาก็มีปัญญาสมบูรณ์โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเลยอยู่จริงๆ?

ฉินจิ่วเกอโมโหแล้ว แต่พอนึกได้ว่าที่นี่คือถิ่นของผู้เฒ่า อีกทั้งตนเองไม่อาจเอาชัยด้วยกำลัง จึงได้แต่กล้ำกลืนความขุ่นหมองลงไป เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ “เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร ให้อาวุโสถามคำถามผู้เยาว์มาข้อหนึ่ง หากผู้เยาว์ตอบได้ ก็ถือว่าผ่านด่านที่สอง เป็นอย่างไร?

ด้วยกลัวว่าเฒ่าเรืองปัญญาจะเบี้ยวหนี้อีก ฉินจิ่วเกอจึงตะโกนเรียกคนมาเป็นสักขีพยาน คนพวกนี้ทำงานเดิมๆ อยู่ทุกวันจนเกิดความเบื่อหน่าย น้อยครั้งที่จะมีคนมาลองดีกับเฒ่าเรืองปัญญาเช่นนี้ การได้รับชมความสนุกแต่ไรก็ไม่เคยเป็นเอกสิทธิ์ของโลกใดโลกหนึ่งอยู่แล้ว

ในสายตาของทุกคน ความหน้าหนาไร้ยางอายของเฒ่าเรืองปัญญาล้วนเป็นที่ยอมรับกันมานานแล้ว ความหนาบนใบหน้าของอีกฝ่ายเทียบได้กับแผ่นฟ้าผืนนรกเลยทีเดียว ดูท่าสาเหตุที่ร่างกายผอมเกร็งนั้นเป็นเพราะสารอาหารตลอดหลายหมื่นปีมานี้ล้วนถูกนำไปเลี้ยงบนใบหน้าจนหมดสิ้น

“ฮ่าๆ ” เฒ่าเรืองปัญญาแหงนหน้าหัวเราะก้องฟ้า ราวกับว่าหากไม่ได้หัวเราะให้สาแก่ใจเช่นนี้ อาจอกแตกตายได้ “เจ้าอยากให้เราถามคำถามเจ้า เจ้าคิดว่าตัวเองจะตอบได้รึ? บอกเจ้าตามตรง เราผู้เฒ่าท่องเหนือท่องใต้มาแล้วทั่วแดนดิน ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เคยผ่านตาผ่านหูเรามาก่อน สิ่งที่เรารู้นั้นมีมากมายสุดคณานับ! ”

ตรงจุดนี้ ทุกคนในที่นั้นต่างก็เห็นพ้องต้องกัน เฒ่าเรืองปัญญาล่วงรู้ไปหมดทุกอย่างจริงดั่งว่า ไม่ว่าจะเป็นจำนวนวันเวลา ภูมิศาสตร์ มรรคาการฝึกตน ขอบเขตความรู้ของอีกฝ่ายได้ก้าวล้ำเหนือพวกมันไปมากมายอักโขแล้ว

แน่นอน หากท่านถามคำถามประเภทรู้หรือไม่ว่าเลือดระดูรอบต่อไปจะมาเมื่อใด เฒ่าเรืองปัญญาย่อมไม่อาจทราบได้ เพราะถึงอย่างไรมันคือผู้ทรงภูมิ หาใช่หมอดูหมอเดาที่ไหน

ฉินจิ่วเกอเองก็ยิ้ม ทั้งยังยิ้มจนถึงรูหู “เช่นนั้นลองดูก็ไม่เสียหาย ติดแค่ว่าอาวุโสกล้าไม่กล้า? ”

แม้แต่พระเอกยังพูดอะไรไม่ได้ แล้วเจ้าอวดเก่งมาจากไหน ฉินจิ่วเกอลอบคิดอยู่ในใจ

อาวุโสกล้าไม่กล้า คำพูดประโยคนี้ ดังก้องไปมาอยู่ในใจของทุกผู้คน ก่อนที่จะเกิดเสียงโห่ร้องดังระงม สายตาไม่อยากเชื่อจ้องมองมาที่ฉินจิ่วเกอเป็นจุดเดียว เจ้าเด็กคนนี้ ช่างขวัญกล้าโดยแท้ ถึงกับกล้าเอ่ยวาจาประดานี้กับเฒ่าเรืองปัญญา

ต่อให้ไม่ได้อาศัยระดับสติปัญญาเข้าว่า แค่ระดับฝีมือของท่านผู้เฒ่าก็สูงล้ำยิ่งกว่าขอบเขตสูงสุดในดินแดนเล็กจ้อยแห่งนี้เสียอีก แล้วมันไปเอาความกล้าบ้าบิ่นนี้มาจากไหน?

“ตกลง เราผู้เฒ่ามีคำถามอยากจะถามเจ้าอยู่พอดี หากเจ้าสามารถตอบได้ เราผู้เฒ่าจะถ่ายทอดถ้อยคำแห่งปัญญาแก่เจ้าสักสองท่อน หากเจ้าสามารถแยกย่อยได้สักท่อนหนึ่ง ภายภาคหน้ามันจะช่วยให้เจ้าทำอะไรๆ ได้มากมายเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ หากสามารถแยกย่อยได้สองท่อน อายุขัยยืนยาวไร้ขีดจำกัดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า ตัวมันไม่ได้มีความทะเยอทะยานขนาดนั้น แค่ได้ยั่วโทสะอาวุโสภายในพรรคไปวันๆ หยอกกระเซ้าเย้าแหย่กับศิษย์น้องเล็ก ข่มเหงรังแกเจ้าอ้วนน่าตายก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ส่วนเรื่องฆ่าฟันสร้างชื่อเสียงบารมีอะไรเทือกนั้น ไว้ให้ศิษย์น้องรองสานต่อก็แล้วกัน

ส่วนตัวมันนั้น ขอแค่เป็นคนรอคอยอยู่ที่พรรค รอให้พระเอกกุมชัยชนะกลับไป แล้วมายืนส่งเสียงตะโกนปลุกใจจนน้ำลายแตกกระเซ็นอยู่หน้าประตูพรรคแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

“เชิญอาวุโสถามได้” ฉินจิ่วเกอกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง

เฒ่าเรืองปัญญาสูดลมหายใจเข้าลึก คำถามข้อนี้ แม้แต่มันเองยังตอบไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าเด็กนี่ “เจ้ารู้จักนรกอนันต์และสวรรค์แก้วผลึกหรือไม่? ”

ฉินจิ่วเกอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตอบอย่างระมัดระวัง “ยิ่งใหญ่ หยินมืดหม่น สุดโหดร้ายสุดทารุณ ทมิฬเก้าชั้นที่ไม่อาจเห็นแสงเดือนแสงตะวันตลอดชั่วกาลนาน นั่นก็คือนรกอนันต์ ในนั้นความทุกข์ตรมไม่มีวันสิ้นสุด ภูติผีปีศาจมีอยู่ทุกแห่งหน นั่นคือสุดขมขื่นแห่งโลกมนุษย์ เป็นสถานที่ที่เปล่าเปลี่ยวที่สุดในโลกหล้า”

ฝูงชนรอบด้านใคร่ครวญในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด คำตอบของเจ้าเด็กนี่กลับมีเหตุมีผลอยู่บ้าง

ผู้เฒ่าเรืองปัญญายังคงสีหน้าเดิม เชิดจมูกถาม “แล้วแดนสวรรค์เล่า? ”

ฉินจิ่วเกอตอบ “ว่ากันว่าหลังจากเหาะเหินถึงแดนเซียน ได้บรรลุเป็นต้าหลัวจินเซียนแล้ว ก็จะสำเร็จธาตุสูงสุดทั้งห้าอันได้แก่ ดิน น้ำ ไม้ เหล็ก ไฟ ไม่ตายไม่แตกดับ อายุยืนยาวไร้แก่เฒ่า ประดิษฐานด้วยกงล้อวัฏสงสารเปล่งรัศมีเรืองรอง เป็นวงล้อควบคุมกฎเกณฑ์ทั้งหมดทั้งมวลในโลกหล้า”

เฒ่าเรืองปัญญาถอนใจ “เจ้าทราบหรือไม่ นับแต่เมื่อหลายแสนปีก่อน หลังมหันตภัยครั้งใหญ่ในตอนนั้น ต่อให้เป็นชนชั้นสุญญตาขั้นสูงสุดก็ยังไม่อาจเหาะเหินถึงแดนเซียนได้ เส้นทางที่ใช้ในการเหาะเหินได้ถูกพันธนาการไว้ เบื้องบนมองไปไม่ถึงฟ้า เบื้องล่างมองไปไม่ถึงนรก”

ว่าแล้วก็ต้องถอนใจออกมาอีก “ขอบเขตสุญญตา สามารถพลิกคว่ำมวลมิติ เปิดต้นกำเนิดวิญญาณ อายุยืนยาวนานนับหมื่นปี แต่หลังจากหมื่นปีเล่า? ในเมื่อไม่อาจเหาะเหินขึ้นไป ทั้งโลกและขอบเขตล้วนถูกสะกดตรึงเอาไว้ที่แดนแมงเม่า สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงผงคลีที่หายสาบสูญไปจากโลก บ่มเพาะความขับค้องหมองใจไร้สิ้นสุดเอาไว้! ”

คำพูดของผู้เฒ่าเรืองปัญญาสะท้อนความคิดอ่านของคนส่วนใหญ่ในที่นั้นออกมา สิ่งใดจึงจะเรียกว่าการฝึกตน? มีแต่การเคี่ยวกรำตนเอง ใช้ทุกวิถีทางที่มีอยู่ จึงจะพัฒนารุดหน้าไปได้ ว่ากันว่าในยุคไท่หวง ชนชั้นกฎสรรพสิ่งสามารถแหวกมิติ ได้รับการชี้นำจากแดนเซียน จนได้เหาะเหินขึ้นสู่โลกใบใหม่

แดนไท่จี๋ ก็คือแดนเซียน และยังเป็นแดนสวรรค์ที่ผู้ฝึกตนทุกคนเฝ้าฝันถึง

แล้วตอนนี้เล่า? ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนล้วนถูกจำกัดอยู่ในทวีปฉงหลิงนี้ ไม่อาจได้รับการชี้นำจากแดนเซียน จึงไม่อาจเหาะเหินขึ้นไปได้ บนโลกนี้มีผู้เปี่ยมพรสวรรค์อยู่กี่มากน้อย ต่อให้พวกมันจะเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอายุขัยที่ไล่ตามมา จนต้องกลับคืนสู่พื้นผิวโลกไปในที่สุด

ดั่งเรือน้อยล่องทวนกระแสน้ำ เมื่อใดที่หยุดพักก็จะถูกกระแสน้ำพัดพากลับไป นี่ก็คือการฝึกตน!

เฒ่าเรืองปัญญาเองก็คาดไม่ถึงว่าฉินจิ่วเกอจะตอบคำถามได้ เพื่อที่จะเข้าถึงโลกใบใหม่ เพื่อที่จะทำลายพันธนาการที่มองไม่เห็นนั้น มันจึงทำได้แค่ตามหานรกและสวรรค์จากคำบอกเล่าของบรรพชนวิญญาณเท่านั้น

หากไม่ได้บรรลุเป็นต้าหลัวจินเซียน ท้ายที่สุดท่านก็ยังเป็นแค่ปุถุชนที่ไม่อาจอยู่ยงคงกระพัน ได้แต่วนเวียนตรากตรำอยู่ในสังสารวัฏอันไร้สิ้นสุด วิญญาณทั้งหลายไม่อาจหยุดรั้งไม่เข้าสู่วัฏฏะ ล้วนต้องหวนคืนสู่สังสารตลอดกาล นี่ก็คือความลำเค็ญของมนุษย์!

ในเมื่อไปไม่ถึงสวรรค์ เหาะเหินทะลวงไปไม่ได้ ที่เหลืออยู่จึงมีเพียงการหลบหนีเข้าสู่นรกเก้าชั้น นรก มีสังสารวัฏที่วิถีฟ้า (เทวภูมิ) คอยบงการอยู่ หากสามารถทลายจากที่นั่นได้ ก็จะสามารถทลายหกภพภูมิได้ (เทวภูมิ มนุสสภูมิ อสูรภูมิ เดียรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และนรกภูมิ) แล้วได้อายุขัยอันเป็นอมตะมาครอบครองในที่สุด

แต่ช่างน่าเสียดาย แม้จะตามหามาเป็นเวลานับแสนปี แต่จนแล้วจนรอดผู้เฒ่าเรืองปัญญาก็ต้องคว้าน้ำเหลว ด้วยเหตุนี้ มันจึงทำได้เพียงควบคุมนาวาเรืองปัญญา ตามหาผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศไปทั่วหล้า หากจะบอกว่าเป็นการตามหาฟางเส้นสุดท้ายก็ไม่ผิด

“ที่จริงแล้ว นรกกับสวรรค์นั้นเรียบง่ายยิ่ง” ฉินจิ่วเกอไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้อยากที่จะขึ้นสู่ภพภูมิใหม่นักหนา ใช่ว่าจะพบหน้าเจ้าสวรรค์หรือเจ้านรกได้ง่ายๆ เสียที่ไหน พวกที่ฝึกตนนี่ช่างแปลกพิศวงโดยแท้

“โฮ่? ” เฒ่าเรืองปัญญารวมถึงคนนับร้อยในที่นั้นล้วนต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ว่าอะไร เด็กชั้นปราณสุริยันผู้นี้ มีวาจาวิเศษคิดเอื้อนเอ่ย?

“นรกหรือสวรรค์ ขนาดเท่าตารางนิ้ว สถิตอยู่ทั่วทั้งเอกภพ ตั้งอยู่ ณ สี่ทิศแปดทาง และคงอยู่ภายในใจของผู้คน” ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างไม่ถือดีไม่ถ่อมตัว สีหน้าท่าทีเคร่งขรึม ไอวิญญาณบนตัวเคลื่อนไหวกลมเกลียว ก่อนค่อยๆ ผนึกผสานจนเต็มตื้น

เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายประสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาตินี้ขึ้นก่อน ตามมาด้วยคอขวดบนขอบเขตของฉินจิ่วเกอที่เริ่มคลายตัวออกจากกัน จากปราณสุริยันขั้นปลาย จนเริ่มที่จะขยับเข้าสู่ปราณสุริยันขั้นสูงสุด!

“เหตุใดถึงอยู่ในใจ? ” จิตส่วนลึกที่สุดของเฒ่าเรืองปัญญาคล้ายถูกบางสิ่งแตะสัมผัสจนเกิดแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย

ทุกคนต่างจับจ้องมาที่ฉินจิ่วเกอด้วยแววตาวาดหวังสุดขีด นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายระยับพรับพราว แล้วไฉนเจ้าถึงไม่พูดต่อเล่า!

ฉินจิ่วเกอคล้ายเกิดภาพหลอน องคาพยพทั้งห้าเริ่มพร่าเลือน เปิดปากตวาดออกมาเบาๆ “ไอ้เฒ่าไร้ปัญญา! ”

นิ้วขาวดุจหยกสล้างชี้มาทางผู้เฒ่าเรืองปัญญา วาจาเพิ่งตกลง เฒ่าเรืองปัญญาพลันพิโรธจนหนวดเครากระพือ กวัดแกว่งมือไม้หมายลงมือทุบศีรษะไอ้เด็กนรกตรงหน้าให้กลายเป็นหัวสุกรไปเลย

ฉินจิ่วเกอผงะไปครึ่งก้าว สีหน้ายังคงสงบนิ่ง “เห็นหรือไม่ ประตูนรกเปิดออกแล้ว! ”

เฒ่าเรืองปัญญาพลันหยุดมือทันควัน กำปั้นที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศยังใหญ่โตยิ่งกว่ากระสอบทรายอีก ฉินจิ่วเกอค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เกือบไปแล้วเกือบไป ตนเองไฉนไม่อาจบงการบังคับปากพล่อยๆ นี้ได้ เกือบเอาชีวิตมาทิ้งซะแล้ว

เฒ่าเรืองปัญญาเปลี่ยนจากโมโหโทสันเป็นสุขียินดี ใบหน้าเหี่ยวย่นส่งยิ้มกว้างมาทางฉินจิ่วเกอ ไม่วายยังควักคุ้ยในชายเสื้อ ทำท่าเหมือนจะมอบอั่งเปาให้ฉินจิ่วเกอ

ฉินจิ่วเกอฉีกยิ้มแล้วชี้มือชี้ไม้อีกครั้ง “นั่นไง ประตูสวรรค์เปิดออกแล้ว”

เฒ่าเรืองปัญญาเกิดการหยั่งรู้ ที่เรียกว่าหลิงไถหนึ่งตารางนิ้ว สรรพชีวิตดีชั่วล้วนสถิตอยู่ในใจ ก็คือเช่นนี้กระมัง? ว่าแล้วก็หัวเราะเสียงขื่น แม้จะผิดโผไปจากคำตอบที่ตนต้องการไปไกลโยชน์ แต่ก็ยังคงเป็นคำตอบอยู่ดีไม่ใช่หรือ

“เจ้าดูสิ สภาพดูไม่ได้ขนาดนี้ เสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งเก่าทั้งขาด ผมเผ้ายุ่งเหยิงหนวดเครารุงรัง เวลาสระผมคงยากลำบากไม่น้อยใช่หรือไม่?” ฉินจิ่วเกอปากยื่นปากยาว ใช้เขี้ยวเหล็กฟันแหลมของตนลามปามไปยังการแต่งกายของผู้เฒ่าเรืองปัญญา

จากการแต่งกายไปถึงรสนิยม จากรสนิยมไปถึงพฤติการณ์ต่างๆ ฉินจิ่วเกอปากคอเราะร้าย วิพากษ์วิจารณ์ผู้เฒ่าเรืองปัญญาจนไม่เหลือดี ผู้เฒ่าเรืองปัญญายึดติดกับการเปิดประตูสู่สวรรค์ เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยังไงก็ไม่ลงมือ ใช้อารมณ์สุขีของตนเองต้านทานการแก้ปัญหาด้วยกำลังอย่างสุดฤทธิ์

แน่นอน แม้ว่าในใจของมันจะคิดหักเจ้าเด็กนี่ออกเป็นสองท่อนก็ตาม

“ดูสิ เจ้ามันตัวบัดซบถึงปานไหน!”

“ดูท่าทุกคนเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของธรรมชาติแล้ว เข้าใจว่าอะไรถึงเรียกความดีและความงาม ในเมื่อทุกคนยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ถ้างั้นก็รีบส่งมอบเงินออกมาให้ข้าได้แล้ว เงินก้อนนี้ฝากเอาไว้ให้ข้าจะดีกว่า”

ตึงตึง! ทุกคนตบเท้ากระแทกหมัด ประตูนรกเปิดออกอย่างสว่างโร่ ไม่มีวันปิดลงอีก โดยเฉพาะกับเฒ่าเรืองปัญญา เรียกได้ว่าเหมือนภูเขาไฟปะทุ เพลิงพวยพุ่งขึ้นยอดศีรษะ

เฮอะ! ฉินจิ่วเกอบิดปากขึ้นอย่างเหยียดหยัน ยังคงเป็นผู้สูงส่งอยู่อีกไหม

“หนึ่งบุปผาหนึ่งโลกา หนึ่งแมกไม้หนึ่งชีวิตลอยล่อง หนึ่งรอยยิ้มหนึ่งฝุ่นคลี หนึ่งความคิดหนึ่งความสงบสุข ทุกท่าน แหวนมิติถ้าสวมอยู่บนมือ คงจะหนักน่าดู เพราะงั้นเอามาให้ข้าเก็บไว้แทนเถอะ” ฉินจิ่วเกอทนดูทุกคนทำตัวตกต่ำไม่ได้ จึงยืนหยัดที่จะโน้มน้าวทุกคนด้วยความอดทน

ทุกคนพลันส่ายหน้า คนผู้นี้พูดอย่าง การกระทำเป็นอีกอย่าง นอกจากนี้ เงินทองล้วนต้องเก็บไว้กับตัวจึงจะนับว่าปลอดภัยที่สุด ส่วนนรกสวรรค์อะไรนั่นน่ะหรือ..

เอ๋ย? ข้าคือใคร? ไฉนถึงมาอยู่ที่นี่?

ฉินจิ่วเกอถอนใจ ดูท่าผู้ฝึกตนจะไม่ได้โง่อย่างที่คิด หลอกไม่ได้ง่ายๆ คนที่มีไอคิวเท่าเจ้าอ้วนน่าตาย เห็นทีจะหาได้ยากดั่งงมเข็มในมหาสมุทร เพราะงั้นตนควรที่จะทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี

ในที่นั้น มีแต่เฒ่าเรืองปัญญาที่พินิจพิจารณาถึงคำพูดของฉินจิ่วเกอ เด็กคนนี้แม้จะดูเหมือนขาดๆ เกินๆ แต่ยามพูดจา กลับมีเสน่หา กลับเป็นเพียงบุรุษหนุ่มไร้ชื่อเสียงเรียงนามที่กำลังจะแจ้งเกิด?

“เจ้า ผ่านเข้าด่านทดสอบที่สาม” วีรชนตามรอยวีรชน เฒ่าเรืองปัญญาเองก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ หนังหน้าไม่ได้บางไม่กว่าตนเองเลยสักนิด

คนกัดคน ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่คนกัดหมานี่สิจึงจะนับว่าร้ายกาจอย่างแท้จริง เผชิญกับคนบ้าแบบนี้ เฒ่าเรืองปัญญาเองก็กลัวว่าฉินจิ่วเกอจะไปทำร้ายคนพวกนี้เข้า เอางั้นก็ได้ ถือว่าเจ้าผ่านเข้ารอบ จะได้รีบๆ ไสหัวไปซะ

ฉินจิ่วเกอกวาดตามองรอบตัว มองเห็นคนผู้หนึ่งทั้งสูงทั้งใหญ่ รูปร่างกำยำบึกบึน รูปร่างลักษณะใสซื่อและเถรตรง ใช้ได้ เป็นมันละกัน

.

.

.