หลังจากที่ไดเอน่าขอตัวกลับไปจัดการธุระของเธอที่โรงเรียนก่อนแล้ว ทางด้านเด็กนักเรียนของกลุ่มดอว์นก็ได้อัลเบิร์ตช่วยแนะนำเส้นทางภายในกำแพงที่ประกอบไปด้วยห้องพักทหารยามที่มีเตียงแข็งๆ ตั้งเรียงกันอยู่จำนวนหนึ่งและห้องเก็บอุปกรณ์ที่มีพวกอาวุธและชุดเกราะถูกวางทิ้งเอาไว้ระเกะระกะไปทั่วห้องจนฝุ่นจับจนเสร็จพวกเขาก็มายืนเรียงแถวกันเพื่อฟังวิธีการใช้งานกลไกสำหรับเปิดปิดประตูเมืองรวมถึงจุดที่ต้องได้รับการตรวจตราเป็นพิเศษในระหว่างการเฝ้ายามจากทหารยามทั้งสองคนที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยจะยินดีสักเท่าไหร่นักที่ต้องมาสอนเรื่องต่างๆ ให้กับเด็กนักเรียนแบบนี้ก่อนที่พวกเขาจะพากันขึ้นรถกระบะเพื่อกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนกัน
 

แต่ว่าในช่วงเช้ามืดของวันถัดมาไดเอน่าที่มักจะดูเป็นคนอารมณ์ดีหรือว่าเคร่งขรึมตามแต่สถานการณ์นั้นก็กลับได้แต่ต้องขมวดคิ้วด้วยความหัวเสียเมื่อเธอพาเด็กนักเรียนกลุ่มของดอว์นมาถึงประตูเมืองทางทิศตะวันตกในช่วงเช้ามืดแล้วได้พบว่าทางเมืองได้ถอนทหารยามทั้งสองคนที่เคยเฝ้าอยู่ที่นี่ออกไปแล้วแถมยังเคลื่อนย้ายข้าวของเครื่องใช้ในห้องพักรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องเก็บอุปกรณ์ออกไปด้วยจนเหลือเพียงแค่ห้องว่างๆ สองห้องที่มีเศษขยะหรือไม่ก็ซากอุปกรณ์พังๆ ถูกทิ้งเอาไว้เพียงไม่กี่ชิ้น

 

“ให้ตายสิ… ถ้าไม่คิดจะช่วยอะไรอย่างน้อยก็อย่ามาขัดแข้งขัดขากันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้มั้ยเนี่ย… มายะจัง ฝากเธอจัดการทำเรื่องขอเบิกอุปกรณ์กับเครื่องใช้ต่างๆ มาจากทางโรงเรียนให้หน่อยสิ”

 

“ค…ค่ะ!!”

 

มายะขานตอบไดเอน่ากลับไปก่อนที่เธอจะรีบหยิบเอาสมุดจดออกมาเขียนรายชื่อสิ่งของต่างๆ ลงไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ตัวไดเอน่าเองก็ได้สั่งงานให้เด็กนักเรียนคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปสำรวจสภาพของสิ่งต่างๆ ที่ยังเหลืออยู่เพื่อแจ้งให้มายะทราบว่ามีอะไรที่ยังต้องการเพิ่มเติมนอกจากที่เห็นในทีแรกหรือว่ามีอะไรที่ต้องได้รับซ่อมแซมบ้างหรือไม่

 

และหลังจากที่มายะได้รายชื่อสิ่งของที่ต้องการจนครบแล้วเธอก็ได้ออกเดินกลับไปยังโรงเรียนจนเวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมงจึงกลับมาพร้อมกับเด็กนักเรียนหญิงผมสีดำยาวสวมแว่นตาอีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของสภานักเรียนและรถกระบะอีกคันที่บรรทุกข้าวของจำนวนมากเอาไว้ด้วย

 

ซึ่งมายะและเด็กนักเรียนหญิงผมสีดำคนนั้นก็ได้เรียกทุกคนให้เข้าไปรับประทานอาหารกลางวันที่ทางโรงเรียนฝากพวกเธอมาส่งให้กันที่ด้านในห้องพักทหารยามที่ว่างเปล่า และหลังจากที่ทุกคนทานอาหารกลางวันกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้วไดเอน่าก็ได้สั่งให้นากาและอัลเบิร์ตกับเนลช่วยกันยกกล่องไม้จำนวนหนึ่งเข้ามาด้านในห้องแล้วจึงเรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง

 

“พวกเธอคนไหนที่ยังไม่ได้รับการสอบจากอาจารย์อลิซมารวมกลุ่มทางด้านซ้ายนี่หน่อย ส่วนคนไหนที่ได้รับการทดสอบแล้วก็มารวมกลุ่มกันทางด้านนี้ได้เลยจ้ะ เดี๋ยวฉันกับเรมิเลียจังจะสาธิตวิธีการใช้งานยูนิตพวกนี้ให้ดูเอง”

 

คำสั่งของไดเอน่านั้นได้ทำให้เด็กนักเรียนเกือบทั้งหมดขยับตัวไปทางฝั่งซ้ายของห้องในทันที ในขณะที่ทางด้านฝั่งขวาของห้องนั้นเหลือเพียงแค่เนล คอนแนล นากา และเด็กนักเรียนชายหญิงอีกสองคนที่นากาไม่รู้จักเท่านั้น

 

ซึ่งไดเอน่าก็ได้ใช้เวลาสักพักหนึ่งในการอธิบายวิธีการสวมใส่และการเปิดใช้งานยูนิตให้ทุกคนดูก่อนที่เธอและเด็กนักเรียนหญิงผมสีดำสวมแว่นตาที่มีชื่อว่าเรมิเลียจะช่วยกันแจกจ่ายพาร์ทให้ทุกๆ คนลองสวมใส่ดู

 

แต่ว่าในขณะที่พวกเธอกำลังจะแจกจ่ายยูนิตให้ทุกคนทดลองใช้งานดูนั้นก็เกิดปัญหาขึ้นมาเล็กน้อยเพราะว่าจำนวนยูนิตที่มีนั้นมีไม่พอที่จะแจกจ่ายให้กับนักเรียนทุกคนได้ทดลองสวมใส่กันถึงแม้ว่าพวกเธอจะตัดนากาที่ไม่สามารถใช้งานมันได้และพวกเด็กนักเรียนจากกลุ่มขวาที่เดี๋ยวเอริกะจะเร่งสร้างยูนิตรุ่นเฉพาะตัวให้ออกไปแล้วก็ตามที ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเธอได้แต่ต้องจับพาร์ทส่วนบนกับพาร์ทส่วนล่างแยกออกจากกันก่อนจะแจกจ่ายให้พวกเด็กนักเรียนสลับกันทดลองใช้งานมันดู

 

“เอาล่ะ ดูเหมือนว่าพวกเธอจะใช้งานมันได้อย่างไม่มีปัญหางั้นสินะถ้ายังไงพวกเธอก็ลองสั่งให้มันขยับไปมาให้ชินก่อนก็แล้วกัน ขอฉันเตรียมอุปกรณ์สื่อสารก่อนสักแป๊บนึง”

 

ไดเอน่าที่เห็นว่าพวกเด็กนักเรียนสามารถสั่งงานให้ยูนิตขยับไปมาได้แบบไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกับที่เอริกะเคยโฆษณาเอาไว้นั้นได้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนจะหันกลับไปหมุนหน้าปัดของกล่องอุปกรณ์สีดำที่พวกเธอขนมากันเมื่อวานนี้ไปมาพร้อมกับเอ่ยปากพูดพึมพำเบาๆ ใส่อุปกรณ์อีกอันหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนกับอุปกรณ์ขยายเสียงของทางโรงเรียนไปด้วย

 

ส่วนทางด้านนากาที่ไม่สามารถใช้งานยูนิตได้และนักเรียนกลุ่มที่ต้องรอยูนิตส่วนตัวจากเอริกะที่ว่างงานอยู่นั้นก็ได้แต่หันไปมาซ้ายขวาก่อนที่พวกเขาที่ว่างงานอยู่จะหันไปล้อมวงปรึกษากันเองเบาๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่น

 

“แล้วพวกเราจะเอาไงกันดีล่ะเนี่ย?”

 

“นั่นสิครับ ดูเหมือนว่ายูนิตที่คุณเอริกะเตรียมเอาไว้ให้มันจะมีจำนวนไม่พอคุณไดเอน่าเขาก็เลยแจกจ่ายให้คนอื่นๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะได้ยูนิตส่วนตัวเมื่อไหร่ลองใช้งานกันก่อนแล้วให้พวกเรารอไปใช้ยูนิตส่วนตัวกันไปเลยทีเดียวน่ะครับ”

 

“ถึงฉันจะเข้าใจเหตุผลก็เถอะ แต่เอาจริงๆ ฉันเองก็อยากจะลองใช้มันดูบ้างนะ ดูน่าสนุกชะมัด…”

 

เนลพูดบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ซ่อนความเสียดายเอาไว้แบบปิดไม่มิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคอนแนล เพราะว่าถ้าจะให้เขาเปลี่ยนอุปกรณ์ไปมาบ่อยๆ มันก็อาจจะเกิดความสับสนขึ้นมาในสถานการณ์จริงได้ อีกทั้งในตอนนี้ต่อให้ไดเอน่าแยกพาร์ทส่วนบนกับส่วนล่างออกจากกันเพื่อให้ทุกคนแบ่งกันใช้แล้วมันก็ยังคงมีจำนวนไม่พออยู่ดี

 

เพราะว่าที่จริงแล้วเอริกะนั้นได้ส่งยูนิตมาให้พวกเขาใช้งานแค่ห้ายูนิตเท่านั้นจนทำให้ในตอนนี้มีนักเรียนเพียงแค่ประมาณครึ่งเดียวของกลุ่มดอว์นที่กำลังแบ่งกันใช้งานพาร์ทส่วนบนกับส่วนล่างอยู่ ในขณะที่เด็กนักเรียนที่ยังไม่ได้รับการสอบอีกห้าคนที่เหลือที่ประกอบไปด้วยเซซิลและนักเรียนที่นากาไม่คุ้นหน้าอีกสี่คนได้แต่ต้องยืนรอต่อคิวอยู่

 

ซึ่งการที่กลุ่มของพวกเขาไม่ได้ถูกแจกจ่ายยูนิตมาให้ลองใช้งานอีกทั้งยังต้องรอจนกว่าไดเอน่าจะจัดการอุปกรณ์สื่อสารจนเสร็จนั้นก็ได้ทำให้นากาที่ว่างงานอยู่หันซ้ายหันขวาไปมาก่อนที่เขาจะตัดสินใจที่จะเริ่มต้นทำความรู้จักกับเด็กนักเรียนชายหญิงอีกสองคนจากห้องเรียนอื่นที่เคยได้รับการสอบจากอลิซมาแล้วเช่นกันขึ้นมา

 

“ว่าแต่แล้วนี่ทั้งสองคนชื่—”

 

“อ่ะ— จริงด้วยสิ กลุ่มของพวกเธอที่เคยรับการสอบจากอาจารย์อลิซแล้วยังว่างอยู่นี่เนอะ”

 

แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดถามขึ้นมาจนจบไดเอน่าที่เหลือบมาเห็นกลุ่มเด็กนักเรียนว่างงานกำลังสุมหัวกันอยู่นั้นได้ตัดสินใจที่จะพูดสั่งงานพวกเขาออกมาโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่านากากำลังจะเอ่ยปากทักทายทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ของเขาทั้งสองคน

 

“อื้ม… ถ้ายังไงพวกเธอก็ลองออกไปเดินสำรวจดูรอบๆ หน้าประตูเมืองหรือไม่ก็ลองออกไปทำความรู้จักกับชาวบ้านแถวๆ นี้กันก่อนสิ เพราะว่าเดี๋ยวพวกเราจะได้อยู่แถวนี้กันอีกยาว—”

 

วี๊ดดดด—ซ่า———————

 

“ว๊——!?” ”

 

ในขณะที่ไดเอน่ากำลังพูดสั่งงานออกมาอยู่นั้นเธอก็ได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออยู่ดีๆ กล่องอุปกรณ์สีดำที่เธอยังจัดการเปิดการทำงานมันไม่สำเร็จสักทีได้ส่งเสียงเสียดแหลมบาดแก้วหูออกมาแล้วจึงเปลี่ยนไปเป็นเสียงดังเหมือนกับฝนตกอย่างหนักออกมาแทน

 

ซึ่งถึงแม้ว่าไดเอน่าจะสามารถยกมือขึ้นมาอุดปากตัวเองเอาไว้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของประธานนักเรียนได้ทัน แต่ว่าเสียงของอุปกรณ์สื่อสารและเสียงร้องด้วยความตกใจของไดเอน่านั้นก็ทำให้เด็กนักเรียนทั้งห้องต่างพากันมองมาทางเธอเป็นสายตาเดียวกันจนทำให้ไดเอน่าตัดสินใจที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และหันกลับไปหมุนหนึ่งในหน้าปัดของกล่องอุปกรณ์จนเสียงของมันเงียบลงไปและทำเป็นโบกมือไล่เด็กนักเรียนว่างงานทั้งหลายออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอกกัน

 

“ถ้ายังไงพวกเธอจะลองออกไปเดินสำรวจดูด้านนอกกำแพงเมืองทำความคุ้นเคยกับพื้นที่แถวๆ นี้กันก่อนก็ได้นะ เอาไว้อีกสักชั่วโมงนึงค่อยกลับมาก็แล้วกัน~ เพราะดูท่าทางว่าพวกเราจะต้องอยู่ในนี้กันอีกนานเลยล่ะ~”

 

ท่าทางของไดเอน่าที่ทำเป็นเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้นได้ทำให้นากาที่รู้จักกับตัวตนด้านต่างๆ ของไดเอน่าที่ไม่ว่าจะเป็นประธานนักเรียนผู้แสนเคร่งขรึม เพื่อนนักเรียนสาวผู้ขี้เล่น หรือว่าหลานสาวขี้อ้อนของคุณปู่แม็กซ์ได้แต่หลุดยิ้มออกมาจางๆ และจึงชวนกลุ่มเด็กนักเรียนว่างงานที่เขาสังกัดอยู่ออกไปด้านนอกกัน

 

“พวกนายจะเอายังไงกันล่ะ? ฉันว่าฉันจะลองออกไปเดินสำรวจดูแถวนี้สักหน่อยน่ะ”

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมขอตามไปด้วยละกันนะครับ เพราะว่านากาไม่ค่อยจะรู้ทางแถวนี้สักเท่าไหร่นี่นา”

 

“พวกนายจะออกไปกันสองคนงั้นสินะ แล้วอีกสองคนที่เหลือจะเอายังไงล่ะ จะออกไปเดินข้างนอกกับสองคนนี้ด้วยหรือเปล่า?”

 

เนลที่เห็นว่าคอนแนลจะตามนากาออกไปสำรวจดูลู่ทางแถวๆ นี้ได้หันไปถามเด็กนักเรียนชายหญิงอีกสองคนที่เหลือที่กำลังยืนคุยกันเองอยู่เบาๆ จนทำให้พวกเขาทั้งสองคนต้องหยุดการพูดคุยลงเพื่อหันกลับมาพูดตอบคำถามของเนลกลับไป

 

“ไม่ดีกว่าค่ะ ทางด้านฉันขอขึ้นไปยืนเฝ้าอยู่ทางด้านบนกำแพงดีกว่า”

 

“ฉันเองก็ว่าจะตามยัยนี่ไปด้วยเหมือนกันน่ะ”

 

“อ่าหะ… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตามพวกนายไปด้วยละกันนะนากา เพราะยังไงที่กำแพงนี่ก็มีนักเรียนคนอื่นอยู่กันเพียบอยู่แล้ว ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมาระหว่างอยู่นอกเมืองไปกันสามคนน่าจะปลอดภัยกว่าล่ะมั้ง”

 

เนลที่ได้รับคำตอบจากเด็กนักเรียนชายหญิงทั้งสองคนแล้วได้พยักหน้ากลับไปให้พวกเขาเล็กน้อยแล้วจึงตัดสินใจที่จะตามพวกนากาออกไปเดินสำรวจดูด้านนอกตัวเมืองด้วยเช่นกันจนทำให้นากาที่ได้ยินเนลพูดเหมือนกับว่าถ้าพวกเขาออกไปด้านนอกกำแพงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแน่ๆ ได้แต่พูดบ่นออกมาเล็กน้อย

 

“หวังว่าถ้าออกไปข้างนอกกันแล้วคงจะไม่เจอเรื่องอะไรกันตั้งแต่วันแรกเลยก็แล้วกันนะ…”

 

“ฮะฮะ… ก็นั่นสินะครับ แต่ถ้ายังไงก็อย่าลืมพกอาวุธไปกันด้วยก็แล้วกันนะครับ”

 

คอนแนลหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดของนากาก่อนที่เหล่าเด็กนักเรียนว่างงานทั้งหลายจะพากันเดินออกจากห้องพักทหารยามไป โดยกลุ่มของนากาที่ประกอบไปด้วยนากา คอนแนล และเนลนั้นก็ได้พากันเดินไปทางด้านประตูเมือง ในขณะที่ทางด้านเด็กนักเรียนชายหญิงอีกสองคนที่นากายังไม่ทราบชื่อก็ได้พยักหน้าให้พวกเขาเล็กน้อยแล้วจึงเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปทางด้านบนกำแพงกันแทน

 

 

“แล้วนายสนใจจะไปทางไหนล่ะนากา? ถ้าจะให้ฉันแนะนำฉันว่าทางเหนือน่าจะมีประโยชน์ที่สุดล่ะมั้งเพราะว่ามันมีป่าที่อยู่ใกล้ๆ กับกำแพงเมืองยาวไปจนถึงคฤหาสน์ของตระกูลรีวิสที่ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศเหนือเลยน่ะ ถ้ามีใครจะมาแอบหลบวางแผนทำอะไรก็น่าจะซ่อนตัวอยู่ในป่ามากกว่าทางใต้หรือทางตะวันตกที่มีแต่ทุ่งหญ้าล่ะมั้ง”

 

หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากประตูเมืองรีมินัสกันแล้ว เนลที่เห็นนากาหันซ้ายหันขวาไปมาเพื่อสำรวจดูภูมิทัศน์รอบๆ ก็ได้เอ่ยปากถามเด็กหนุ่มผมดำขึ้นมาจนทำให้นากาได้แต่ต้องเอ่ยปากถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมามันไม่ตรงกับในหนังสือเรียนไปบางส่วน

 

“ป่าทางเหนือนั่นฉันเองก็เคยเห็นมาแล้วล่ะ แต่ไม่ใช่ว่าทางทิศใต้มันก็มีภูเขา ส่วนทางทิศตะวันตกมันก็มีป่ากว้างๆ กับทะเลมรกตอยู่ด้วยไม่ใช่หรอ”

 

“แต่ป่ากับภูเขาที่ว่านั่นมันอยู่ห่างออกไปไกลลิบเลยนะครับนากา อย่างป่าทางทิศตะวันตกเองก็อยู่ห่างไปตั้งเป็นกิโล ส่วนภูเขาทางทิศใต้นั่นมันยิ่งไกลเข้าไปอีก… แล้วอีกอย่างนึงงานของพวกเรามันก็แค่เฝ้าระวังกำแพงเพราะงั้นคงไม่จำเป็นต้องเดินไปลาดตระเวนถึงที่ทะเลมรกตหรอกมั้งครับ… ที่นั่นมันอยู่ไกลพอๆ กับจากที่นี่ไปกราวิทัสเลยนะครับนั่น”

 

คอนแนลที่ได้ยินคำพูดของนากาได้แต่ต้องรีบพูดเตือนออกไปในทันที เพราะถึงแม้ว่านากาจะถูกอาจารย์โนลติวเข้มเรื่องวิชาภูมิศาสตร์เนื่องจากคำของพิเศษของเอริกะมาแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่อาจารย์โนลสอนมาจะเข้าหัวเขาไปแค่บางส่วนเท่านั้นเอง

 

“แต่จะว่าไปพอพูดถึงทะเลมรกตกันแล้วฉันเองก็อยากจะลองไปที่นั่นดูบ้างเหมือนกันนะ เพราะถึงมันจะอยู่ติดกับหมู่บ้านของฉันก็เถอะแต่ว่าพวกผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก็ดันสั่งเอาไว้ว่าห้ามไปที่นั่นเด็ดขาด แถมยังโชคดีที่มันมีป่าคั่นอยู่ตรงกลางด้วยยัยพรีมูล่าก็เลยไม่เคยไปซนถึงที่นั่นน่ะ”

 

“ถ้านายไม่เคยไปก็ดีแล้วล่ะ สมัยก่อนฉันเคยตามพ่อไปสำรวจดูข้างในนั้นอยู่รอบนึง ฉันขอบอกเลยว่าความรู้สึกเหมือนกับถูกสูบวิซออกจากร่างไปตลอดเวลามันไม่น่าลองดูเลยสักนิดเดียว”

 

“ผมเคยได้ยินพวกนักวิจัยในวังเขาคุยกันอยู่นะครับว่าที่มันเป็นแบบนั้นมันเป็นเพราะว่าภายในอาณาเขตของทะเลมรกตมันไม่มีวิซอยู่เลย วิซในร่างกายของคนเราก็เลยแพร่กระจายออกไปภายนอกแทนที่จะดูดซับเข้ามาหรืออะไรสักอย่างเนี่ยล่ะครับ”

 

“ใช่… แล้วถ้าเกิดว่านายบังเอิญสัมผัสวิซภายนอกร่างกายได้ดีแบบฉันล่ะก็เวลานายอยู่ที่นั่นนายจะรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ๆ โลกมันก็กลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด แถมเวลาที่นายพยายามจะหายใจก็ยังหายใจได้ไม่เต็มปอดอีก… อย่างกับมีอะไรสักอย่างพยายามดึงอากาศออกไปจากร่างกายนายยังไงยังนั้นน่ะ อ่ะ— เอาเป็นว่าพวกเราไปคุยเรื่องอื่นกันดีกว่ามั้ง”

 

ในขณะที่เนลกำลังสาธยายประสบการณ์การท่องเที่ยวในทะเลมรกตออกมาให้ทั้งสองคนฟังอยู่นั้นเขาก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยแล้วรีบพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปในทันทีที่เหลือบไปเห็นนากาที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ แต่ว่าทางด้านนากาที่ไม่ได้คิดอะไรมากนักก็ได้รีบพูดตอบเขากลับไป

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า พวกนายก็แค่คุยกันเฉยๆ เองไม่ใช่หรือไง”

 

“เฮ้อ… จะว่าไปไหนๆ ก็มีโอกาสได้พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันต้องขอบคุณนายมากนะนากาที่ทำให้ฉันตาสว่างเกี่ยวกับเรื่องวิซน่ะ… ที่ผ่านมาฉันถูกที่บ้านสอนมาตลอดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้ก็คือวิซ ถ้าเกิดว่าใครมีวิซมากกว่าและสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าก็มีสิทธิชนะในการต่อสู้ไปเกินครึ่งแล้วหรืออะไรทำนองนั้นน่ะ… แต่ว่าพอฉันได้มาเห็นนายที่ไม่มีวิซเลยแต่ก็ยังฝึกจนเก่งได้ขนาดนั้นมันก็เลยทำให้ฉันคิดได้ว่าวิซอาจจะไม่ใช่ทุกสิ่งในการต่อสู้ก็ได้เหมือนกันน่ะ”

 

“เห… คุณเนลนี่ก็ยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายกว่าที่ผมคิดเอาไว้อีกนะครับเนี่ย ที่ผ่านมาผมเห็นว่าคุณเนลชื่นชอบเรื่องวิซมากก็เลยนึกว่าจะทำใจยอมรับคนแบบนากาไม่ได้ซะอีก”

 

คอนแนลที่ได้ยินคำพูดของเนลได้แต่พูดขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าในปีการศึกษาที่ผ่านๆ มาเนลนั้นมีชื่อเสียงตรงที่ว่าเขาแทบจะไม่เคยสนใจคนที่มีปริมาณวิซน้อยหรือว่าไม่ค่อยใช้งานวิซในการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย แถมยังให้ความสนใจแต่คนที่ใช้วิซได้เก่งๆ อีกต่างหาก ซึ่งคำพูดของคอนแนลที่เหมือนจะฟังดูเป็นคำตำหนินั้นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องรีบพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา

 

“เอาน่าๆ เอาจริงๆ ก็คงจะว่าอะไรเนลเขาไม่ได้หรอกมั้ง เพราะถ้าเกิดว่าวิซมันทำได้ถึงขนาดนั้นตามปกติแล้วใครยิ่งเก่งด้านวิซมันก็ยิ่งมีโอกาสชนะมากกว่าจริงๆ นั่นล่ะ …ว่าแต่สรุปว่าคนทั้งห้องเขารู้กันหมดแล้วใช่มั้ยเนี่ยว่าฉันใช้วิซไม่ได้น่ะ?”

 

“เรื่องนั้นมันเป็นฝีมือของโมโกะเขาน่ะครับ… ถ้ายังไงนากาก็อย่าไปลืมบอกโมโกะเขาด้วยละกันนะครับว่านายไม่ได้คิดมากอะไรเรื่องนี้น่ะ เพราะว่าที่จริงแล้วโมโกะเขาก็แอบกลัวๆ อยู่เหมือนกันว่านากาจะโกรธหรือเปล่าน่ะครับ”

 

“อ่า… ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้วันนี้กลับไปฉันจะลองหาโอกาสไปคุยกับโมโกะเขาดูละกัน… ว่าแต่ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่ต้องเดินไปตรวจไกลถึงแนวป่าตะวันตกหรือว่าเทือกเขาทางใต้ที่ว่านั่นแล้วพวกเราจะไปทางไหนกันดีล่ะ?”

 

“เอาจริงๆ อยู่แค่แถวๆ นี้หรือไม่ก็กลับขึ้นไปด้านบนกำแพงกับสองคนนั้นก็ได้ล่ะมั้ง เพราะว่าด้านหน้าเมืองฝั่งนี้มันโล่งจนเห็นไปได้ถึงตรงนู้น— อ่ะ—”

 

เนลที่กำลังพูดตอบคำถามของนากาอยู่นั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขามองไปที่ตรงนู้นที่เขาพูดขึ้นมาและพบเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเท้าตรงเข้ามาตามถนนที่ทอดยอดไปทางทิศตะวันตกจนทำให้นากาและคอนแนลที่เห็นแบบนั้นได้แต่หันไปมองตามก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

“กลุ่มคนงั้นหรอ… นี่อย่าบอกนะพวกนั้นเดินมาจากหมู่บ้านทางทิศตะวันตกน่ะ? ตั้งไกลขนาดนั้นนั่นน่ะนะ?”

 

“หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดทางทิศตะวันตกมันก็อยู่ห่างไปตั้งหลายสิบกิโลเลยนะครับ… ถ้าจะเดินเท้ามาจริงๆ มันต้องเดินไม่หยุดเป็นวันๆ เลยนะครับนั่น แถมพวกเขายังใส่ชุดเหมือนกับพวกทหารยามอีก…”

 

นากาและคอนแนลได้แต่หันไปมองหน้ากันเองเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เพราะถึงแม้ว่ากลุ่มคนที่กำลังเดินตรงมาตามถนนนั้นแต่งตัวคล้ายกับพวกทหารยามประจำเมืองมากแต่ว่าก็กลับสวมใส่หมวกหนังปิดหน้าปิดตาไม่เหมือนกับทหารยามของรีมินัสหรือว่าเมืองอื่นๆ อีกทั้งยังไม่มีท่าทีว่าจะเร่งรีบเดินทางให้มาถึงเมืองรีมินัสหรือว่ามีท่าทีเหนื่อยล้าจากการเดินทางเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งคำพูดของทั้งสองคนนั้นก็ได้ทำให้เนลลองเพ่งตามองดูกลุ่มคนตรงหน้าอยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วและพูดสั่งนากาและคอนแนลขึ้นมา

 

“น่าสงสัยชะมัด… นายวิ่งไปแจ้งเรื่องคนกลุ่มนั้นให้กับคุณประธานนักเรียนหน่อยสิคอนแนล แล้วเดี๋ยวฉันกับนากาจะลองเข้าไปถามพวกนั้นเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ก่อนให้เอง”

 

“เข้าใจแล้วครับ… เอาเป็นว่าทั้งสองคนก็ระวังตัวกันด้วยนะครับ!”

 

คอนแนลพยักหน้าตกลงกับแผนที่เนลเสนอขึ้นมาก่อนที่เขาจะรีบวิ่งกลับไปทางประตูเมืองรีมินัสที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควรในขณะที่ทางด้านนากาและเนลนั้นก็ได้หันไปพยักหน้าให้กันแล้วจึงเดินไปดักรอกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาอยู่ที่กลางถนน

 

และเมื่อกลุ่มคนดั่งกล่าวเดินเข้ามาใกล้มันก็ทำให้พวกเขาได้พบว่าเหล่าคนที่แต่งกายคล้ายทหารยามนั้นเหมือนจะมีผู้นำกลุ่มเป็นชายคนหนึ่งที่มีหูแมวและเส้นผมสีม่วงที่สวมใส่ชุดผ้าคลุมปิดบังเครื่องแต่งกายของเขาเอาไว้

 

และถึงแม้ว่ากลุ่มคนที่เดินตามหลังชายในชุดผ้าคลุมจะแต่งกายคล้ายกับทหารยามของเมืองรีมินัสก็ตาม แต่ว่าตราประจำเมืองที่ถูกติดเอาไว้บนไหล่ของพวกเขาก็กลับเป็นตราสีน้ำเงินที่เป็นของเมืองอื่นแทนจนทำให้เนลได้ตัดสินใจที่จะร้องเรียกพวกเขาเอาไว้ก่อน

 

“ขอโทษนะครับ! พวกคุณทหารที่กำลังเดินมาตรงนั้นน่ะรบกวนช่วยหยุดก่อนด้วยครับ!!”

 

เสียงร้องเรียกของเนลได้ทำให้ชายหูแมวที่เดินนำหน้าสุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้กลุ่มทหารเบื้องหลังหยุดเท้าลงแล้วจึงเดินตรงเข้ามาใกล้เนลและนากาที่ยืนขวางถนนอยู่เพื่อพูดสอบถามขึ้นมา

 

“ว่าไง? พวกเธอมีธุระอะไรกับพวกฉันหรือเปล่า?”

 

“อ่า… ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ พวกผมแค่อยากจะสอบถามสักหน่อยว่าพวกคุณเป็นใครมาจากที่ไหนน่ะครับ?”

 

“คือพอดีว่ามันเป็นงานของพวกผมน่ะครับ ถ้ายังไงก็ช่วยตอบคำถามของพวกผมด้วยละกันนะครับ”

 

เนลที่เห็นว่านากาพูดตรงเข้าเรื่องแบบไม่ได้อธิบายหรือว่าใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรเลยแม้แต่น้อยนั้นได้พยายามพูดอธิบายเหตุผลขึ้นมาให้ชายในชุดผ้าคลุมเบื้องหน้าฟัง ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มผมสีม่วงกระดิกหูแมวของเขาเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบคำถามของเด็กหนุ่มทั้งสองออกมาด้วยความเป็นมิตร

 

“อ๋อ พอดีว่าฉันเป็นนักเดินทางที่กำลังจะเดินทางกลับบ้านน่ะ ก็เลยว่าจะแวะที่รีมินัสเพื่อซื้อของใช้จำเป็นก่อนจะเดินทางต่อสักหน่อย มีอะไรหรือเปล่า?”

 

“นักเดินทาง? จากทางตะวันตกที่มีแต่ทะเลมรกตเนี่ยนะครับ?”

 

เนลที่ได้ยินคำตอบของชายหนุ่มหูแมวได้แต่ต้องหรี่ตาจ้องมองเขาด้วยความสงสัย เพราะว่าปกติแล้วการที่จะมีนักเดินทางหรือว่าทหารเดินกลับมาจากทางตะวันตกนั้นก็มีสาเหตุเพียงแค่ว่าพวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากการล่าสมบัติหรือว่าภารกิจสำรวจทะเลมรกตกันเท่านั้น

 

แต่ว่ากลุ่มคนเบื้องหน้าที่เดินจับกลุ่มมาด้วยตัวเปล่าๆ อีกทั้งยังแต่งกายคล้ายกับทหารนั้นดูยังไงก็ไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งจะกลับมาจากทะเลมรกตที่มักจะเป็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่แบกสัมภาระจำนวนมากเอาไว้เลยแม้แต่น้อยจนทำให้เนลได้แต่รู้สึกสงสัยและตัดสินใจที่จะเอ่ยปากถามชายหนุ่มหูแมวเบื้องหน้าดูเพิ่มเติม

 

“ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าเป้าหมายของพวกคุณอยู่ที่ไหนแล้วคิดจะพักอยู่ที่รีมินัสสักกี่วันหรอครับ?”

 

ชายหนุ่มหูแมวที่ถูกเนลรั้งตัวเอาไว้นั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะมองดูเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่แต่งตัวด้วยเครื่องแบบนักเรียนแบบเดียวกันแล้วจึงพูดค่อยพูดถามกลับไป

 

“หืม…? แล้วเด็กนักเรียนอย่างพวกเธออยากจะรู้เรื่องการเดินทางของพวกฉันไปทำไมล่ะ?”

 

“เอ่อ… คือว่าพวกผมก็แค่ถามเพื่อขอเก็บข้อมูลเอาไว้เฉยๆ น่ะครับ”

 

“อ๋อ… คงจะเก็บข้อมูลเอาไปทำรายงานหรือว่าอะไรแบบนั้นงั้นสินะ… ลูกๆ ของฉันเองก็เคยมาบ่นอะไรแบบนั้นให้ฟังอยู่เหมือนกันว่าไม่รู้ว่าพวกอาจารย์จะสั่งงานแบบนั้นมากันทำไม… เอาเป็นว่าพวกฉันอยากจะรีบเดินทางกลับแพนเทร่าก็เลยคิดจะแวะพักที่รีมินัสนี่สักคืนนึงแล้วก็แวะซื้อเสบียงสำหรับการเดินทางต่อน่ะ”

 

“แพนเทร่างั้นหรอครับ…”

 

เนลที่ได้รับคำตอบกลับมาจากชายหนุ่มหูแมวนั้นได้เหลือบไปมองตราสัญลักษณ์ที่ติดอยู่บนไหล่และพบว่ามันก็คือตราห้าเหลี่ยมสีน้ำเงินกรอบสีเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองแพนเทร่านั่นเอง

 

แต่ถึงแม้ว่าเนลจะได้เห็นแบบนั้นเข้าไปแล้วเขาก็ยังคงรู้สึกสะกิดใจแปลกๆ กับการทำตัวของเหล่าทหารเบื้องหลังที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงโดยไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่มนุษย์ปกติควรจะทำบ้างอย่างเช่นการขยับไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าหรือว่าหันไปมาตามสิ่งที่ดึงดูดความสนใจจนทำให้เนลต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยกับความรู้สึกผิดปกติที่เขาอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกนี้

 

“พวกคุณ—”

 

“ผมกลับมาแล้วครับ ทั้งสองคนเป็นยังไงกันบ้างครับ!?”

 

ในขณะที่เนลกำลังจะพูดถามชายหนุ่มหูแมวกลับไปอีกครั้งนั้นก็ได้มีเสียงของคอนแนลที่รีบร้อนวิ่งกลับมารวมกลุ่มกับเขาดังขึ้นมาเสียก่อนด้วยความเป็นห่วงจนทำให้นากาที่ยืนฟังการสนทนาอยู่เพลินๆ ต้องรีบหันไปพูดตอบคำถามของอัศวินหนุ่มกลับไป

 

“ฉันว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นแค่นักเดินทางธรรมดาๆ ที่กำลังจะเดินทางกลับไปแพนเทร่าน่ะ”

 

“ฟู่ว… งั้นเองหรอครับ ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะครับเพราะว่าตอนนี้คนอื่นๆ ที่เหลือกำลังเตรียมพร้อมเตรียมการป้องกันอยู่จนวุ่นไปหมดเลยล่ะครับ ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะรีบกลับไปแจ้งให้คนอื่นๆ ทราบก่อนก็แล้วกันนะครับ”

 

“การป้องกัน? ถ้าดูจากชุดที่พวกเธอใส่อยู่นั่นพวกเธอน่าจะเป็นแค่เด็กนักเรียนเองไม่ใช่หรอ ทำไมพวกเธอถึงต้องมาเตรียมการป้องกันอะไรพวกนี้ด้วยล่ะ?”

 

ชายหูแมวผมสีม่วงที่ยืนอยู่ไม่ห่างไปจากเนลและนากามากนักได้รีบพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจในทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของคอนแนล ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้หันกลับไปพูดตอบเขาแบบไม่ได้ระวังตัวอะไรมากนัก

 

“อ๋อ พวกผมก็เป็นนักเรียนจากในเมืองรีมินัสนั่นแหล่ะครับ แค่ว่าเมื่อไม่นานมานี้มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในเมืองนิดหน่อย ทางโรงเรียนก็เลยจัดตั้งกลุ่มพิเศษที่มีประธานนักเรียนเป็นหัวหน้าขึ้นมาเพื่อให้ความร่วมมือกับทางเมืองในการคุ้มกันประตูเมืองทางตะวันตกน่ะครับ”

 

“ประธานนักเรียน…? อย่าบอกนะว่าประธานนักเรียนคนนั้นชื่อว่าไดเอน่าน่ะ?”

 

“ก็ ไดเอน่า เซมฟิร่า คนนั้นนั่นแหล่ะครับ นี่อย่าบอกนะครับว่าไดเอน่าเขาชื่อดังไปถึงเมืองแพนเทร่าเลยน่ะ?”

 

“ชิ—!!”

 

ฟุ๊บ—แกร๊ก!

 

“—!?”

 

ในทันทีที่ชายหูแมวผมสีม่วงได้ยินนากาเอ่ยปากพูดชื่อนามสกุลของไดเอน่าออกมานั้นเขาก็รีบควักเอาปืนสีแดงที่มีปากกระบอกปืนที่ใหญ่และสั้นกว่าปืนพกปกติมากออกมาพร้อมกับพุ่งตัวถอยกลับไปรวมกลุ่มอยู่กับหน่วยทหารของเขาในทันทีจนทำให้เหล่าเด็กนักเรียนทั้งสามคนที่ไม่ทันตั้งตัวนั้นถึงกับสะดุ้งไปด้วยความตกใจ

 

ปุ้ง—– ฟู้ววววววว!

 

ปืนสั้นหน้าตาแปลกประหลาดในมือของชายหนุ่มหูแมวได้ปลดปล่อยดวงแสงที่ส่องแสงสีแดงสว่างจ้าจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงแม้ว่าจะเป็นในเวลากลางวันขึ้นไปบนฟากฟ้าจนทำให้นากาที่เคยเห็นอลิซใช้สิ่งของคล้ายๆ กันนี้เพื่อขับไลอิซานางิไปเมื่อก่อนหน้านี้ได้แต่พูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความมึนงง

 

“นั่นมัน… พลุสัญญาณแบบที่อลิซเคยใช้นี่?