ตอนที่ 116 ซ้ำเติม

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 116 ซ้ำเติม

ลู่เผยอี้จึงรีบคว้าโทรศัพท์มาเสิร์ชไป๋ตู้ทันที!

“เชี่ย! เยี่ยจื่อโคตรเก่งเลย นี่มันหลิวป๋อหลี่นี่นา! นายสมัครกับเขาเหรอ แล้วได้ไหมนั่น เขาเป็นถึงนักวิชาการเลยนะ!”

พ่างจื่อเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชื่อของหลิวป๋อหลี่ “โอ๊ะ หลิวป๋อหลี่ ชื่อคุ้นๆ แฮะ เขาคือใครเหรอ”

ต้วนเย่ว์หยิบหนังสือทฤษฎีพื้นฐานการแพทย์แผนจีนขึ้นมาแล้วตบหัวพ่างจื่อ “อ่านซะบ้าง อยู่ด้วยกันมาตั้งกี่ปีละ แค่ชื่อนี้ยังจำไม่ได้อีกเหรอ”

พ่างจื่อตกตะลึงเมื่อเห็นชื่อของหลิวป๋อหลี่บนปกหนังสือ!

“พระเจ้าช่วย นายกล้าสมัครกับยอดมนุษย์แบบเขาด้วยเหรอ นายไม่ได้ป่วยเป็นสต็อกโฮล์มซินโดรมหรือป็นพวกมาโซคิสม์ใช่ไหม”

ไป๋เยี่ยก่นด่าทั้งเสียงหัวเราะ จากนั้นทั้งสี่คนก็ไปกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนจะตรงไปที่ห้องบรรยาย

ทั้งห้องเงียบเสียงลงเมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยเดินเข้ามา

ทุกสายตาจับจ้องไปทางไป๋เยี่ย ไม่รู้ว่าแต่ละคนกำลังคิดอะไรอยู่

มีเพียงพ่างจื่อที่เอ่ยปากขึ้น “เฮ้ย มองไรกันวะ ตะลึงในความหล่อของฉันเหรอ ไหวกันปะเนี่ย”

ตามมาด้วยเสียงหัวเราะและคำด่าจากหลายๆ คน

ทว่าต่อมาทุกคนก็เริ่มหันไปซุบซิบเรื่องไป๋เยี่ย

“ได้ข่าวหรือยัง ไป๋เยี่ยสอบไม่ติดละ!”

“หา! จริงปะเนี่ย ได้สี่ร้อยกว่ายังถูกเขาเขี่ยออกอีกเหรอ มันเกินไปไหม”

“ฉันจะโกหกทำไม ทุกๆ ปีพวกที่ได้ที่หนึ่งตอนสอบรอบแรกก็แห้วกันทั้งนั้นแหละ คุณภาพของคนจากมหา’ ลัยเราแย่กว่าคนจากไห่ซื่อเยอะ…

“อ้าว ไหงไม่เข้าข้างเขาล่ะ”

“จะเข้าข้างทำไม ขนาดฉันได้สามร้อยเก้าสิบยังโดนมหา’ ลัยกวางโจวปฏิเสธเลย ถึงได้กลับมายืนหัวโด่อยู่นี่ไง…”

หลากหลายความคิดเห็นค่อยๆ พรั่งพรูออกมาจากปากคนอื่นๆ ทั้งยินดี ทั้งเสียดาย ทั้งท้อแท้…

“ก็ไปเลือกเฮ่ออันเองนี่ โง่หรือเปล่า…อยู่ที่เดิมยังดีซะกว่า อาจารย์ไม่ได้สุ่มเลือกนักศึกษาซะหน่อย”

“ก็ใช่น่ะสิ ทุกๆ ปี เวลามีคนจากที่นี่ไปสมัครมหาวิทยาลัยดีๆ ในเมืองหลวง ไห่ซื่อ กวางโจวก็เลือกแต่อาจารย์ธรรมดาๆ ทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่พวกวุฒิป.โท หรือเก่งกาจแบบเฮ่ออัน…จะมีซักกี่คนในมหา’ ลัยเราที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมพอล่ะ พวกเราน่ะก็ทำได้แค่นั้นแหละน่า!”

“พอได้แล้ว…”

“…”

หลิวจื้อมองไป๋เยี่ยเดินเข้ามาด้วยความยินดีอย่างอธิบายไม่ได้ เขาเก็บซ่อนมันมาเป็นเวลานาน และเขาก็มีความสุขมากที่เห็นไป๋เยี่ยล้มเหลว

เขาไม่ได้ยิ้ม แต่กลับหันไปคุยกับคนข้างๆ แทน “เฮ้อ…น่าเสียดายเนอะ! คะแนนสูงขนาดนี้”

คนที่อยู่ข้างๆ ก็คือเพื่อนของหลิวจื้อนั่นเอง “นี่มันบ้าอะไรเนี่ย…นายว่าถ้าเขาเรียนที่นี่ต่อจะดีแค่ไหนกัน ก็ไปสมัครกับผอ.ซะสิ ยังไงผอ.ก็ช่วยเขาหางานทำหลังเรียนจบอยู่แล้วนี่นา โรงพยาบาลท็อปสามก็ไม่รับคนแล้วนี่ ต้องเลือกแล้วละ…”

“ใช่แล้ว ปริญญาโทมันก็แค่วุฒิ พอจะไปหางานทำในโรง’ บาลหลังเรียนจบก็ต้องติดต่อคนนั้นคนนี้ ถ้าอยากอยู่ในจิ้นซีต่อไปก็ต้องมองหาอาจารย์จากจิ้นซีสิ ตอนนี้ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลก็เต็มหมดแล้ว ถ้าอยากทำงานที่นั่นจริงๆ ก็แค่ให้อาจารย์เสนอชื่อไป”

“เก่งขนาดนั้นยังแห้วเลย ว้า น่าเสียดายสุดๆ!”

ไป๋เยี่ยได้ยินสิ่งที่คนอื่นๆ ซุบซิบกันก็ทำเป็นไม่ได้ยิน

ไม่นานนัก เหยียนหมิง หัวหน้าสาขาการบูรณาการแพทย์แผนจีนและการแพทย์แผนปัจจุบัน กับหลิวเจิ้นซี หัวหน้าชั้นและผู้ให้คำปรึกาก็เดินเข้ามา

หลิวเจิ้นซีส่งไมโครโฟนให้เหยียนหมิง

“วันนี้ผมมีสามเรื่องที่อยากแจ้งให้ทุกคน ณ ที่แห่งนี้ทราบ”

“เรื่องแรก การฝึกงานจบลงแล้ว ทุกคนต้องเก็บบันทึกการฝึกงานไว้ ในระยะเวลาหนึ่งปีนี้พวกคุณควรจะได้อะไรมากมายจากโรงพยาบาล…”

“เรื่องที่สอง การแข่งขันนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยธุรกิจจิ้นซีจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนหน้า นักศึกษาที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมได้…”

“เรื่องที่สาม ทางมหาวิทยาลัยจะทำการจดบันทึกข้อมูลของนักศึกษาที่เข้ารับการสอบเรียนต่อในชั้นปริญญาโท ทั้งคะแนนที่ได้ มหาวิทยาลัยที่สมัคร และสาขา…”

การประชุมดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม จากนั้นทุกคนก็ทยอยกันเดินออกจากห้องไป

ขณะที่ไป๋เยี่ยกำลังเดินออกไปก็บังเอิญเห็นเหยียนหมิงกำลังพูดคุยกับสวี่จงเหล่ยอยู่ที่หน้าประตู เมื่อพวกเขาเห็นไป๋เยี่ยเดินออกมาก็โบกมือให้

“เสี่ยวเยี่ย มานี่สิ”

ไป๋เยี่ยชะงัก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเหยียนหมิงถึงเรียกเขา จึงได้แต่เดินไปหา “สวัสดีครับหัวหน้าสาขา สวัสดีครับอาจารย์หลิว”

เหยียนหมิงถอนหายใจ “น่าเสียดายจริงๆ เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิว่าทำไมเขาถึงไม่รับเด็กเก่งๆ แบบคุณที่ได้คะแนนสูงขนาดนี้! แต่อย่าเพิ่งยอมแพ้เลย ยังมีโอกาสอยู่ พรุ่งนี้ผมจะลองไปถามทางมหา’ ลัยดูว่าพอจะมีโควตาเหลือให้คุณหรือเปล่า มาลองดูกันว่าจะมีโอกาสไหม”

คืนนั้นทุกคนในกลุ่มต้องอัปโหลดเลขประจำตัวนักศึกษา ห้อง คะแนนสอบเข้าปริญญาโท ชื่อมหาวิทยาลัย และสาขาที่สมัคร

‘ไป๋เยี่ย ชาย เลขประจำตัวนักศึกษา: 20120016 คะแนน: 461 มหาวิทยาลัยที่สมัคร: จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ’

ไป๋เยี่ยอัปโหลดข้อมูลเสร็จก็ไม่สนใจมันอีกเลย

ทว่าคืนนั้น กลับมีกระทู้มากมายปรากฏขึ้นในฟอรัมของมหาวิทยาลัย ซึ่งล้วนมาจากแอคเคาท์เล็กๆ

‘ปิดตำนานไอดอล! มีอะไรซ่อนอยู่หลังคะแนนสูงสุดและความล้มเหลวหรือไม่’

ในกระทู้มีรูปภาพสามรูป รูปแรกคือข้อความที่ไป๋เยี่ยส่งในกลุ่มแชต ‘มหาวิทยาลัยที่สมัคร: จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ’ ภาพที่สองคือผลการสอบเข้าที่ประกาศโดยมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อ คะแนนสอบปฏิบัติและคะแนนสอบสัมภาษณ์ของไป๋เยี่ยน้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่ยี่สิบคะแนน คะแนนรวมต่างกันแค่ 0.1 เท่านั้น ทำให้เขาต้องถูกคัดออก

รูปที่สามคือข้อความที่สือฉีเคยโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ตว่า ไป๋เยี่ยไม่คิดจะพัฒนาตนเอง สนใจแต่เนื้อหาตื้นๆ ทั้งที่ตนก็เป็นนักวิชาการ และไม่มุ่งมั่นในการศึกษาหาความรู้…

ตบท้ายด้วยคำพูดจากเจ้าของกระทู้เอง ‘การเรียนแพทย์ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าคุณไม่ปรับตัวเข้ากับสภาพปัจจุบัน เอาแต่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ต่อให้จะถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะก็ตาม แต่สุดท้ายก็เป็นแค่คนธรรมดาทั่วๆ ไปนั่นเอง’

ไม่นานนักกระทู้นี้ก็กลายเป็นกระทู้ยอดนิยม มีแต่ ‘ผู้หวังดี’ คอยดันกระทู้ขึ้นมา!

ครั้งหนึ่งไป๋เยี่ยเคยเป็นหน้าเป็นตาให้กับมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักศึกษารุ่นน้องหลายคน ทว่าตอนนี้เขากลับกลายเป็นเป้าหมายของการถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียได้

บางคนบอกว่าความสำเร็จของไป๋เยี่ยคือการป่าวประกาศเกินจริง ในความเป็นจริงแล้วเขาก็อยู่ในระดับทั่วๆ ไปเท่านั้น

บางคนก็บอกว่าจริงๆ แล้วไป๋เยี่ยเป็นแค่คนโชคดีคนหนึ่ง สุดท้ายความจริงก็ถูกเปิดเผยเมื่อเขาต้องก้าวเข้าไปยังสถานที่ยิ่งใหญ่

บางคนก็บอกว่าไป๋เยี่ยทะเยอทะยานเกินไป เขาไม่รู้จักเรียนรู้ความเป็นจริง เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความเพ้อฝัน

มีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่!

เมื่อใดก็ตามที่มีคนยกย่องไป๋เยี่ยและกล่าวให้ร้ายมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อว่ามีลับลมคมใน ก็จะมีนักวิจารณ์มากมายแห่มาโต้ตอบทันที

ราวกับว่าพวกเขาอยากจะเห็นไป๋เยี่ยอับอายจนแทบต้องมุดดินหนี

ไม่เพียงแต่ในฟอรัมมหาวิทยาลัยเท่านั้น ประเด็นนี้ยังแพร่จากในฟอรัมไปสู่เวยป๋ออีกด้วย หน้าแอคเคาท์ของไป๋เยี่ยเต็มไปด้วยคอมเมนต์แง่ลบ

ผู้ติดตามเวยป๋อของไป๋เยี่ยลดลงจากเจ็ดหมื่นกว่าคนเป็นน้อยกว่าสองหมื่นคนภายในระยะเวลาสองวันเท่านั้น!

ซ้ำเติมกันชัดๆ

ทว่าบุคคลต้นเรื่องอย่างไป๋เยี่ยกลับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพ่างจื่อ ต้วนเย่ว์ และลู่เผยอี้ด้วย บรรยากาศในหอพักของเขาเงียบสงบมาก ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์อะไรทั้งนั้น