ตอนที่ 79 เสแสร้งแกล้งทำ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 79 เสแสร้งแกล้งทำ
สีหน้าของซิ่นอ๋องซีดเผือด หากถ้อยคำของไป๋ชิงเหยียนเผยแพร่ออกไปจนชาวบ้านรับรู้กันทั่ว มันจะกลายเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ขวางทางการขึ้นครองบัลลังก์ของเขา

ช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจเสียจริง! ซิ่นอ๋องโมโหจนร่างสั่นเทิ้ม ชี้ไปทางไป๋ชิงเหยียนพลางตะคอกออกมา “ผู้ใดก็ได้ จับนางไปประหารเดี๋ยวนี้!”

“ผู้ใดกล้า!” ไป๋จิ่นถงชักดาบคุ้มกันไป๋ชิงเหยียนอยู่ด้านหน้า ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววสังหารกวาดมองไปยังบรรดาทหารของซิ่นอ๋อง

“ซิ่นอ๋องโปรดถอนรับสั่งด้วยเพคะ!” ต่งซื่อถลาเข้าไปด้านหน้าเพื่อปกป้องบุตรสาว นางยืนอยู่ด้านหน้าสุดแสดงอำนาจความเป็นนายหญิงใหญ่แห่งตระกูล “หากวีรุบุรุษที่เสียชีวิตของตระกูลไป๋มีความผิดจริง ฮ่องเต้จะทรงเป็นคนตัดสินโทษด้วยพระองค์เองหลังจากได้อ่านบันทึกสถานการณ์รบ ก่อนที่ฮ่องเต้จะทรงตัดสินโทษ…พวกเขายังคงเป็นวีรบุรุษที่สละชีพเพื่อบ้านเมืองอยู่! ซิ่นอ๋องไม่เคารพแต่กลับเหยียบย่ำกันเช่นนี้ หากวันนี้ทรงประหารสตรีของตระกูลไป๋อีก ไม่ทรงกลัวคำครหานินทาของชาวบ้านหรือเพคะ!”

ไป๋จิ่นจื้อที่บาดเจ็บอยู่กัดฟันจนแน่นได้กลิ่นคาวเลือด ใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาเต็มไปด้วยความอาฆาต ก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับองครักษ์ตระกูลไป๋ ราวกับพร้อมที่จะสู้กับซิ่นอ๋องเพื่อปกป้องไป๋ชิงเหยียนไว้ด้วยชีวิต

ทว่า ไป๋ชิงเหยียนยังคงเกรี้ยวกราด กระชากไป๋จิ่นถงซึ่งยืนปกป้องนางอยู่ด้านหน้า หญิงสาวก้าวไปด้านหน้า ยืดอกเผชิญกับดาบแหลมคมขององครักษ์จวนซิ่นอ๋อง ไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของหญิงสาวทำเอาองครักษ์หวาดกลัวจนต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“ฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ! เข้ามาสิ!” หญิงสาวตวาดสุดเสียง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธที่พร้อมจะทำลายล้างทุกสิ่ง “ท่ามกลางฟ้าแสกเช่นนี้ ให้ชาวบ้านทุกคนได้รับรู้ว่าโอรสแห่งราชวงศ์นี้ปฏิบัติต่อสตรีที่เหลืออยู่ของครอบครัวทหารกล้าเช่นไรบ้าง ให้ทุกคนได้รับรู้ว่าชะตากรรมของผู้ที่สละชีพเพื่อบ้านเมืองมีจุดจบเช่นไร! วิญญาณของข้าจะสิงสถิตอยู่ที่นี่ คอยดูว่าจะมีผู้ใดกล้าสละชีพเพื่อบ้านเมืองนี้อีกบ้าง ผู้ใดจะสละชีพเพื่อแคว้นต้าจิ้นอีกบ้าง มีผู้ใดกล้าปกป้องคุ้มครองราชวงศ์หลินของพวกท่านอีก!”

ดวงตาล้ำลึกของเซียวหรงเหยี่ยนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่นอกกลุ่มคนส่อประกายวิบวับ

ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ แต่เขากลับฟังออก…สติของไป๋ชิงเหยียนขาดผึงตั้งแต่ตอนที่ศีรษะของคุณชายสิบเจ็ดแห่งตระกูลไป๋กลิ้งกระเด็นออกมา นัยสำคัญที่แฝงอยู่ในวาจานั้นค่อยๆ เปิดเผยออกมา เต็มไปด้วยแรงกดดัน เกรี้ยวกราดและน่าหวาดกลัว

ร่างซิ่นอ๋องเย็นวาบเพราะท่าทีน่าหวาดกลัวของไป๋ชิงเหยียน มองดูชาวบ้านที่กรูกันเข้ามาด้วยความโมโหอย่างไม่กลัวตาย ทุกคนพร้อมที่จะสู้กับทหารของเขาเคียงข้างไป๋ชิงเหยียน ซิ่นอ๋องลำคอร้อนผ่าวอย่างรุนแรง ก้าวถอยหลัง “พวกเจ้า ชาวบ้านต่ำต้อยอย่างพวกเจ้าคิดจะกบฏหรืออย่างไร!”

ชาวบ้านต่างกรูไปด้านหน้า อยากจะฉีกร่างของซิ่นอ๋องออกเป็นชิ้นๆ แต่ละคนเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ซิ่นอ๋องยิ่งรู้สึกหวาดกลัว อยากจะฝืนทำเป็นเข้มแข็ง แต่ขาอ่อนแรงก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

ประโยคที่ว่าคำคนน่าหวาดกลัว ซิ่นอ๋องรู้ดีแก่ใจ ซิ่นอ๋องคิดว่าบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงหมดแล้ว วันนี้เขาจึงเหิมเกริมเช่นนี้…

ขณะที่ซิ่นอ๋องไม่รู้จะรับมือเช่นไร จู่ๆ ก็มีขันทีฝ่ายในจากวังหลวงขี่ม้าตรงเข้ามา ตะโกนขึ้นเสียงแหลม “ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการรับสั่งให้ซิ่นอ๋องตามกระหม่อมเสด็จเข้าวังโดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”

ซิ่นอ๋องกำลังเครียดที่หนีไปจากตรงนี้ไม่ได้ ทราบดีว่าเสด็จพ่อส่งคนมาคลี่คลายสถานการณ์ให้เขา รีบก้มคำนับศีรษะแนบพื้นอย่างนอบน้อม “ลูกน้อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!”

ซิ่นอ๋องลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยสีหน้าอาฆาต จากนั้นขึ้นไปบนรถม้าที่ขันทีฝ่ายในเตรียมมา มุ่งหน้าตรงไปยังวังหลวง

ทุกคนในตระกูลไป๋จ้องไปยังรถม้าที่จากไปโดยมีซิ่นอ๋องนั่งอยู่ในนั้นด้วยดวงตาแดงฉานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น กำหมัดแน่น

“ท่านปู่! ท่านปู่ของข้า ข้าเพิ่งกลับมาที่ตระกูลไป๋ ยังไม่ทันได้พบหน้าท่านสักครั้ง เหตุใดท่านถึงด่วนจากไปเช่นนี้ขอรับ…ท่านปู่!”

จู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้ดังแว่วขึ้น ไป๋ชิงเสวียนคุกเข่าหันหน้าไปทางโลงศพไม้ของท่านกั๋วกง คลานไปพลางร้องไห้ไป เสียงร้องไห้ดังราวกับกลัวผู้อื่นจะไม่รู้ว่าตนเป็นหลานชายของเจิ้นกั๋วกง

ไป๋ชิงเสวียนมาที่ประตูเมืองทิศใต้โดยมีบ่าวรับใช้ของตระกูลไป๋ที่ต้องการประจบเขาแบกขึ้นหลังมา เมื่อครู่เห็นว่าตระกูลไป๋และซิ่นอ๋องชักดาบใส่กัน เขาจึงหลบอยู่ด้านข้างไม่กล้าส่งเสียงเอะอะ เมื่อซิ่นอ๋องจากไป เขาจึงแสดงท่าทีเจ็บปวดเสียใจอย่างสุดซึ้งออกมา

“ท่านกั๋วกง! ท่านจากไปเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ไป๋ชิงเสวียนหลานชายของท่านเพิ่งได้กลับเข้าตระกูล ท่านด่วนจากไปเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ!” สตรีกลางคนทุบอกตัวเองพลางร้องไห้โฮ

ดวงตาของต่งซื่อขรึมลง มองดูการกระทำของสองแม่ลูกด้วยสายตาเย็นชา หงุดหงิดเป็นอย่างมาก “คิดจะก่อเรื่องอันใด!”

“ฮูหยินซื่อจื่อกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ หาว่าพวกข้าก่อเรื่องได้อย่างไร ชิงเสวียน ลูกชายของข้าเป็นหลานชายของท่านกั๋วกง ท่านกั๋วกงจากไปแล้ว ในฐานะที่ชิงเสวียนเป็นหลานชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของท่านกั๋วกงย่อมต้องมารับท่านกั๋วกงกลับบ้านสิเจ้าคะ!” หญิงกลางคนยกมือกุมหน้าอก แสร้งทำเป็นเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว “ฮูหยินซื่อจื่อพาสตรีของจวนเจิ้นกั๋วกงมารอรับท่านกั๋วกงที่ประตูเมืองทิศใต้แต่เช้าตรู่ เหตุใดจึงไม่พาลูกชายข้ามาด้วยเจ้าคะ หรือพอท่านกั๋วกงและท่านชายรองไม่อยู่แล้ว ฮูหยินซื่อจื่ออยากจะไล่เราสองแม่ลูกออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างนั้นหรือเจ้าคะ!”

“ท่านปู่ขอรับ! ท่านไม่อยู่แล้วข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ!” ไป๋ชิงเสวียนคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพไม้ของเจิ้นกั๋วกง มือลูบไปยังโลงศพที่บอบบางราวกับกระดาษ “ข้าเพิ่งกลับมาก็โดนโบยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่ได้มีชื่ออยู่ในตระกูลเลยด้วยซ้ำ เกรงว่าอีกไม่นานข้าคงได้ไปพบท่านปู่แน่เลยขอรับ!”

ชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ ต่างกระซิบกระซาบเสียงเบา…

“นั่นคือคุณชายของจวนเจิ้นกั๋วกงเช่นนั้นหรือ!”

“ข้านึกออกแล้ว! ลูกอนุที่โดนคุณหนูใหญ่โบยที่หน้าหอหม่านเจียงวันนั้นอย่างไรเล่า”

“นึกไม่ถึงเลยว่าจวนเจิ้นกั๋วกงที่เต็มไปด้วยวีรบุรุษจะมีลูกอนุที่จิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้อยู่ด้วย!”

“โหดเหี้ยมเพียงใด บัดนี้ก็เป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว! เกรงว่าอนาคตยังอีกยาวไกลแน่นอน!”

ไป๋ชิงเหยียนที่เมื่อครู่วู่วามและเดือดดาลมากที่สุดเห็นเหตุการณ์ตรงหน้ากลับรู้สึกสงบขึ้นมาในทันที หญิงสาวหลับตาลงไม่สนใจองครักษ์ของซิ่นอ๋องอีก อีกทั้งไม่อยากเห็นท่าทีเสแสร้งแกล้งทำของสองแม่ลูก

หญิงสาวเอ่ยขึ้น “ไป๋ชิงเสวียน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เจ้าคงเห็นแล้วว่าซิ่นอ๋องปฏิบัติต่อตระกูลไป๋เช่นไร อนาคตของตระกูลไป๋ไม่มีสิ่งใดแน่นอน บางทีอาจต้องโทษหนัก โดนประหารทั้งตระกูลในวันใดวันหนึ่ง! ในเมื่อเจ้าไม่กลัว หลังเสร็จงานพิธีศพของตระกูลไป๋ ข้าจะให้ท่านย่าเพิ่มชื่อเจ้าลงในตระกูล ภายภาคหน้าไม่ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเจริญรุ่งเรืองหรือดับสูญ เจ้าอย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน!”

ไป๋ชิงเสวียนที่กำลังร้องไห้อยู่ตัวเย็นวาบในทันที หวนนึกถึงท่าทีของซิ่นอ๋องเมื่อครู่ เขารู้สึกราวกับโดนน้ำเย็นราดทั้งตัว น้ำเสียงสะอึกสะอื้นติดอยู่ในลำคอ

ไป๋ชิงเหยียนจับมือไป๋จิ่นถงแน่น ไม่สนใจท่าทีเสแสร้งของไป๋ชิงเสวียน เอ่ยขึ้น “ไปเถิด สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการพาร่างของวีรบุรุษตระกูลไป๋กลับบ้าน!”

หญิงสาวหมุนตัวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าชุนเถาที่ดวงตาแดงก่ำ รับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวที่ชุนเถาเตรียมมาให้มาจากนาง ยืดกายเดินตัวตรงไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินสี่หวังซื่อที่ยังคงกอดร่างของน้องสิบเจ็ดพลางเอ่ยกล่อมเบาๆ ราวกับปลอบเด็กน้อยด้วยท่าทีราวกับคนเสียสติ หญิงสาวคุกเข่าลง ใช้เสื้อคลุมขนจิ้งจอกห่อร่างของน้องสิบเจ็ดเอาไว้

“ท่านอาสะใภ้สี่ พวกเราพาเสี่ยวสือชีกลับบ้านเถิดเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินสี่เงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาสีเลือดไม่ขาดสาย นัยน์ตาว่างเปล่า น้ำเสียงสะอึกสะอื้น “แต่…แต่ร่างของเสี่ยวสือชีแยกออกจากกัน ข้า…ข้าประคองศีรษะของเสี่ยวสือชีไม่ไหว! ข้าประคองศีรษะของเสี่ยวสือชีไม่ไหว…”