ตอนที่ 103 ข้าเองก็มีสองช่วงชีวิต

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

หลังจากเปิดใจพูดคุยและเปิดเผยทุกสิ่งอย่างกับลูกสาวแล้ว ท่านอ๋องจิ้งกับพระชายาก็พักอาศัยที่เมืองฝานฮัวอย่างสำราญใจ กลางวันก็หยอกล้อเล่นกับหลานสาวหลานชายที่แสนน่ารักที่สุด ขณะเดียวกันยังคุยเป็นเพื่อนลูกสาวได้ทั้งวัน พอหลานๆ กับลูกสาวหลับหมดแล้ว สองคนก็ออกจากบ้านไปเดินเล่นรอบหมู่บ้าน สัมผัสถึงบรรยากาศชาวบ้านธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์

หน้าหนาวแรกในเมืองฝานฮัว หากอากาศดี แม้ว่าไม่ได้สบายเหมือนฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูร้อน แต่ก็อบอุ่นเย็นสบายเช่นกัน

เดินไปตามเส้นทางเงียบสงบของหมู่บ้าน สองคนคลุมด้วยเสื้อคลุมกันกลมดิก เดินสำรวจผ่านไปตามบ้านชาวนาสองสามบ้านอย่างเพลิดเพลิน

จนกระทั่งไปหยุดที่ศาลเมืองฝานฮัวที่ตั้งอยู่กลางเมืองค่อนไปทางตะวันออก ท่านอ๋องจิ้งเห็นว่าไม่มีอะไรให้ทำก็เลยไปยองนั่งหน้าประตูศาลดวลหมากรุกกับบรรดามือหมากของหมู่บ้านสองสามคน ส่วนพระชายาก็เดินมาที่ริมสระน้ำใหญ่ทางตะวันออกไม่ไกลนัก กำลังคุยกับบรรดาป้าๆ น้าๆ ในหมู่บ้านที่กำลังปักเย็บท่ามกลางแสงแดดอุ่นๆ กันอยู่

อย่าได้เห็นว่าท่านอ๋องพระชายาทั้งสองท่านมาจากเมืองหลวงจวนอ๋อง แท้จริงมนุษยสัมพันธ์ล้วนไม่เลว ใช่เลย แค่เพียงหกวัน ก็คุยกับคนชราทั่วเมืองฝานฮัวไปทั่วทุกบ้านแล้ว

ทุกคนในเมืองต่างคุ้นเคยกับพวกเขาแล้วจึงได้รู้ว่าพวกเขาก็คือท่านอ๋องกับพระชายาที่มาจากเมืองหลวงกันใหญ่โตเป็นที่ฮือฮากันพักก่อน ความเคารพที่ควรมีก็ถูกการอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัวของพวกเขาสองสามวันนี้เบียดตกขอบไปหมด สุดท้ายพวกเขาก็ถูกมองเป็นเหมือนพ่อแม่ผู้ปกครองที่คบหากันปกติธรรมดา

ซูสุ่ยเลี่ยนฟังรายงานจากเหลียงหมัวมัวจบก็แอบขำไม่หยุด

โชคดีที่ก่อนมาครั้งนี้ ท่านอ๋องจิ้งกับพระชายานำสาวใช้คนสนิทกับองครักษ์ควบตำแหน่งคนงานชายมาอย่างละสองคน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีที่ทางให้พวกเขาอยู่จริงๆ แล้ว

พวกองครักษ์เซียวเหิง วันนั้นพอรู้ว่าท่านอ๋องผู้เฒ่ากับพระชายาจะมา ก็ย้ายออกจากเรือนสวนไผ่ไปกันเอง ย้ายไปอยู่รวมกับคนงานชาย มอบเรือนสวนไผ่ให้ท่านอ๋องผู้เฒ่ากับพระชายาพำนัก ดังนั้นท่านอ๋องจิ้งกับพระชายาจึงได้เข้าพักที่เรือนสวนไผ่ในวันที่สุ่ยเลี่ยนคลอดลูกเสร็จหลับไปวันนั้น ส่วนหลานชายและหลานสาวที่เป็นที่แสนรักใคร่โปรดปรานก็เพราะไม่อาจต้องลมได้ ได้แต่ให้แม่นมสองคกับสาวใช้คอยดูแลในห้องปีกตะวันออก

ใช่สิ รอให้ซูสุ่ยเลี่ยนนอนเต็มอิ่มแล้ว ก็ถูกหลินซือเย่าอุ้มไปยังห้องปีกตะวันออกอยู่ร่วมกับลูกๆ ทั้งสอง หนึ่ง ห้องปีกตะวันออกคือห้องนอนของพวกเขา เปลี่ยนผ้าอ้อมซักอะไรก็สะดวก สอง ฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวห้องปีกตะวันออกต้องแสงแดดดี ยามบ่ายแม้นอนอยู่บนเตียงในห้องก็ตากแดดได้

ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนอยู่ไฟไปกับลูกน้องแสนน่ารักทั้งคู่ที่ห้องปีกตะวันออก

เดิมห้องปีกตะวันตกที่ถูกจัดให้เป็นห้องคลอด ทำความสะอาดเก็บกวาดแล้วก็เริ่มเอาของใช้เด็กเข้าไปวางไว้ กะว่าพอครบเดือนก็จะให้พวกเขาย้ายมาอยู่ที่นี่กับสองแม่นม แม้เป็นลูก แต่หลินซือเย่าก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาออกเดือนแล้วยังมาดึงความสนใจสุ่ยเลี่ยนไปจากเขาทั้งวันทั้งคืน หึ แม้จะรักมากเท่าไร แต่ก็ไม่อาจมาแย่งสตรีของเขา

……

“ชุนหลัน เปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จแล้วก็อุ้มหลงเอ๋อร์มา” เห็นน้ำนมเริ่มคัด ซูสุ่ยเลี่ยนก็ลุกขึ้นสั่งให้ชุนหลันที่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้คนน้องเสร็จ เดิมคิดว่าจะเลี้ยงทารกแฝดด้วยนมตนเอง แต่ทำอย่างไรได้ น้ำนมนางมาช้า ไม่พอให้พวกเขาสองคนพี่น้องดูด มากสุดก็เป็นได้แค่ของว่างให้พวกเขา ดังนั้นสองแม่นมยังขาดไม่ได้ โชคดีที่เหลียงหมัวมัวไปเจรจาไว้ราวหนึ่งปี คิดถึงตอนนั้นเซียวเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์ก็คงจะหย่านมมากินอาหารแล้ว

ชุนหลันอุ้มหลินหลงที่เปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จก็ไม่ร้องไห้กระจองอแงแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนพิงอยู่บนหมอน มือหนึ่งประคองเต้านมของนางเอาไว้ มือหนึ่งประคองศีรษะเล็กท่าทางดื้อดึงของลูกสาวคนงามของตนไว้อย่างเบามือ

พันธุกรรมสืบทอดนี้น่าประหลาดมาก มองดูจากภายนอก หลินหลงดูภายนอกเหมือนนาง ส่วนหลินเซียวเหมือนอาเย่า แต่นิสัยกลับตรงกันข้ามกัน หลินเซียวเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบเอะอะโวยวาย เช่นหากปัสสาวะเลอะเทอะ เขาก็เพียงแต่ส่งเสียงร้องพอเป็นพิธี ส่วนหลินหลงนั้นไม่เหมือนกัน ขอเพียงรู้สึกไม่สบายตัว นางก็จะแผดเสียงร้องดังลั่นจนกระทั่งนางเปลี่ยนผ้าอ้อมสะอาดจึงยอมหยุดร้อง

ซูสุ่ยเลี่ยนอมยิ้มให้นมลูกสาวที่กินเอาๆ หลินเซียวหิวแล้วจะดูน่าสงสาร แต่หากหลินหลงหิว นอกจากดูน่าสงสารแล้ว ยังต้องฟังเสียงแผดร้องดังลั่นแสบแก้วหูด้วย

ดังนั้นให้นมก็ต้องมีลำดับก่อนหลัง ซูสุ่ยเลี่ยนส่วนใหญ่เลือกที่จะให้นมลูกสาวก่อน ผู้ใดให้หลินเซียวเป็นพี่ชายเล่า เป็นพี่ชายที่เงียบสงบน่ารักและเชื่อฟัง

พูดถึงชื่อหลินเซียวกับหลินหลง หลินซือเย่าผลักภาระให้อ๋องจิ้งเป็นคนตั้ง ดูเหมือนให้ความเคารพผู้ใหญ่ แต่ความจริงซูสุ่ยเลี่ยนรู้ว่าเขาพักนี้ยุ่งแต่ดูแลนาง และยังต้องเตรียมฉลองปีใหม่อีก เห็นชัดว่าอาเย่าขี้เกียจจะมาเสียเวลาคิด

ลูกชายดวงขาดธาตุน้ำ ก็ตั้งชื่อให้ใช้อักษร เซียว ที่มีคำว่าฝนอยู่ในองค์ประกอบอักษร หลินเซียว…หลินเซียว หวังว่าพอเขาเติบใหญ่ก็จะมีอนาคตไกล เหนือผู้คน ส่วนลูกสาวตามความเห็นอ๋องจิ้ง ขอให้เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายก็พอ มีจิตใจใสดังแก้วก็พอแล้ว จึงตั้งชื่อว่าหลินหลง ที่แปลได้ความดังว่า

แต่โลกนี้ก็มีหลายเรื่องยากคาดเดา ชื่อตั้งดี แต่นิสัยยากบังคับ คิดถึงว่าทารกชายหญิงดังมังกรหงส์คู่ อนาคตวันหน้าจะทำผู้คนต้องมองตาแทบหลุดจากเบ้าด้วยเหตุใด วันหน้าค่อยกล่าวต่อ

……

“วันนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”

วันนี้ซูสุ่ยเลี่ยนเพิ่งลุกขึ้นเดินไปสองสามก้าว หยอกลูกสาวลูกชายเล่นเสร็จ ก็รอให้พวกเขาค่อยๆ หลับไปในเปลแล้วนางจึงได้กลับไปเอนตัวพักผ่อนบนเตียงต่อ

หลงซีเยว่ตามสาวใช้ที่ต้องเข้ามาเปลี่ยนน้ำชาในห้อง ยิ้มถามอาการ

“ดีขึ้นมากแล้ว ทุกวันเดินสองสามก้าวบ้างทำให้สบายสดชื่นดีเหมือนกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มอ่อนโยนตอบ พร้อมกับให้ชุนหลันประคองขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ยื่นมือออกไปให้หลงซีเยว่ตรวจชีพจร

นางไม่เพียงแต่รู้สึกซาบซึ้งขอบคุณหลงซีเยว่ในวันคลอดลูกวันนั้น จากนั้นสามวันได้ยินสาวใช้เล่าว่า ทุกวันหลงซีเยว่ไปเฝ้าที่ห้องครัว ต้มยาให้ซูสุ่ยเลี่ยนปรับสภาพร่างกาย สามวันจากนั้นก็เป็นที่หลงซีเยว่เสนอให้ซูสุ่ยเลี่ยนลงจากเตียงมาเดินสองสามก้าวทุกวันเพื่อช่วยขับเลือดเสียในกายออกมา โอวหยางซวินได้รับจดหมายด่วนให้กลับวังหลวง แต่นางดึงดันจะอยู่ที่นี่ต่อ บอกว่าไม่ว่าอย่างไรต้องรอดื่มสุรามงคลงานฉลองครบเดือนทารกแฝดก่อนจึงจะกลับ

โอวหยางซวินไม่รู้จะจัดการกับนางอย่างไร ได้แต่นำพาลูกศิษย์ถือล่วมยากลับไปก่อน

เขาเป็นหมอหลวงที่ฮ่องเต้แต่งตั้ง แต่หลงซีเยว่ไม่ใช่ ดังนั้นนางก็มีสิทธิ์ปฏิเสธได้ เริ่มแรกติดตามเขาเข้าวังหลวงเพื่อช่วยพระสนมเอกคลอดและดูแลร่างกายหลังคลอด ก็เพราะนางยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปที่ใด

ตอนนี้เห็นนางยากที่จะสนใจขออยู่ต่อเอง โอวหยางซวินก็ย่อมไม่อาจขัดขวาง นับประสาอันใดกับปีหน้านางก็สิบแปดแล้ว ก็ควรหาคนดีๆ แต่งงานได้แล้ว

หลงซีเยว่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย

“อืม ดูแล้วชีพจรก็ไม่มีอะไรแล้ว จำไว้ว่าทุกวันต้องลงมาเดินหลายๆ รอบ กินอาหารรสจืดบำรุงร่างกาย ก็จะฟื้นคืนดังเดิมอย่างรวดเร็ว สุขภาพเจ้าดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก” หลงซีเยว่จับชีพจรเสร็จก็ประคองซูสุ่ยเลี่ยนให้นอนราบลงบนเตียง แต่ไรมานางไม่เห็นด้วยกับท่านั่งพิงหัวเตียง นานวันเข้าจะทำให้เป็นโรคกระดูกคอและกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทได้

“ได้ยินว่าเจ้าความจำเสื่อม?” หลงซีเยว่ตามมานั่งขอบเตียง ท่าทางเหมือนคุยเรื่องทั่วไปอย่างอยากรู้อยากเห็น

“…อืม” ซูสุ่ยเลี่ยนนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้ารับคำ แอบนึกตื่นเต้นในใจ อีกฝ่ายคงไม่ได้มองออกว่านางเองมีอะไรผิดปกติกระมัง แต่ว่าแม้แต่บิดามารดานางเองยังไม่พบความผิดปกติ หลงซีเยว่จะสงสัยได้อย่างไร

“ตอนนั้นเหตุการณ์เป็นมาอย่างไร ไม่ต้องเครียด ข้าแค่ถามไปอย่างนั้น ต้องรู้ว่าข้าเป็นหมอ ย่อมต้องมีความอยากรู้อยากเห็นในโรคซับซ้อน” หลงซีเยว่ยิ้มปลอบซูสุ่ยเลี่ยนที่อยู่ๆ ก็เกร็งขึ้นมา แม้ปากกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจเดาไปยิ่งกว่านี้มากนัก จะเป็นดังที่นางคาดเดาหรือ อาศัยอ้างว่าความจำเสื่อม แท้จริงแล้วมีเหตุเหมือนกับตนเองที่ข้ามมาจากอีกมิติหนึ่ง

เหตุที่หลงซีเยว่คาดเดาเช่นนี้ก็เพราะว่านางได้พบของบางอย่างที่ไม่ควรอยู่ในโลกยุคนี้ในห้องหนังสือซูสุ่ยเลี่ยน แบบปักภาพริมฝั่งแม่น้ำในฤดูกาลชิงหมิง แวบแรกที่เห็นแบบปัก นางดีใจและตกใจมาก หรือว่าได้พบกับคนเช่นเดียวกันแล้ว

ถูกต้อง นาง ‘หลงซีเยว่’ ข้ามมิติมา ในศตวรรษที่ 21 นางก็คือหมอสูติทำคลอดอันดับต้นๆ ของประเทศ เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าแผนกสูตินรีเวชก็ต้องประสบอุบัติเหตุรถยนต์เสียชีวิต พอตื่นมาก็มาเป็นเด็กกำพร้าตระกูลหลงอายุเก้าขวบที่ถูกทิ้งไว้คนเดียว

โอวหยางซวินรับนางไปเมืองหลวงเลี้ยงดูต่อจากตระกูลหลงเพราะเป็นสหายสนิทกับตระกูลหลง หลงซีเยว่เก้าขวบไม่เพียงแต่เผชิญชะตากรรมเช่นนี้ ยังล้มป่วยหนักครั้งหนึ่ง หลังจากสลบไม่ได้สติไปหลายวัน พอตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นมีหลงซีเยว่จากยุคปัจจุบันอายุสามสิบปีมาครองร่างแทน

มาแล้วก็อยู่ให้เป็นสุข เป็นความคิดมองโลกแง่ดีของหลงซีเยว่แต่เล็ก ดังนั้นเก้าขวบภพนี้ นางจึงทุ่มเทสืบทอดวิชาแพทย์โอวหยางซวิน ตั้งใจนำการแพทย์แผนใหม่มาผสมผสานกับการแพทย์แผ่นดินต้าหุ้ย

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นท้องแฝดในยุคโบราณ ติดตามโอวหยางซวินอยู่ในวังหลวงมาเก้าปี แม้ทำคลอดมาไม่น้อย แต่ท้องแฝดนี้ไม่เคยทำมาก่อน บางทีแผ่นดินต้าหุ้ยคงหาท้องแฝดได้น้อยมาก พลิกประวัติ แผ่นดินต้าหุ้ยดู พบว่าแทบไม่มีบันทึกท้องแฝด ยิ่งไม่มีพูดถึงทารกแฝด นอกจากตระกูลเหลียงแห่งจวนอ๋องจิ้ง จะมีรุ่นเว้นรุ่นที่จะมีท้องแฝดคู่หนึ่งแล้ว อาจเป็นคู่แฝดชาย หรือคู่แฝดหญิง แต่ทารกแฝดไข่คนละฟองนี่เป็นครั้งแรก

ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นหลงซีเยว่เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นจริงๆ ก็ลองคิดใคร่ครวญในใจว่าจะบอกเรื่องที่ตนเองรู้ตอนนี้ออกไปแล้วอธิบาย ยกเว้นความจริงที่ตนเข้ามาครองร่างนี้หลังสลบไป

“ข้า…จำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว…” สุดท้ายซูสุ่ยเลี่ยนก็ยังคงยืนยันเหมือนเดิม นางกลัวหลงซีเยว่ถามต่อไป นางจะไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร พูดโกหกไปก็ต้องโกหกต่อๆ ไปนับไม่ถ้วน เรื่องพวกนี้ก่อนหน้านี้นางไม่เคยทำ ตอนนี้ต้องทำก็เพราะจำใจทำ

หลงซีเยว่ฟังไปพยักหน้าไป ในใจก็ยิ่งเชื่อว่า สตรีตรงหน้าผู้นี้เหมือนกับนางมาจากอีกมิติหนึ่ง อะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่ยังคงชำนาญในเรื่องการปักผ้า? เพียงแต่ดูท่าทางวาจาและพฤติกรรมของนางมีความเรียบร้อยสูงส่งเหมือนกับคนโบราณยุคนี้ หลงซีเยว่จึงไม่กล้ามั่นใจเต็มร้อยว่านางเหมือนกับตนเองที่มาจากยุคศตวรรษที่ 21

“ข้าเก้าขวบก็เคยความจำเสื่อม พอหายดีแล้ว ก็ลืมทุกอย่างหมดสิ้น ราวกับว่าเป็นช่วงชีวิตสองช่วงที่ไม่เหมือนกัน” หลงซีเยว่เงยหน้ามองกระถางดอกไม้หลงจวาบนชั้นวางกระถางพลางกล่าวอย่างสบายๆ

พอซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็อ้าปากตกใจ นางหมายความว่าอย่างไร หรือว่า…

หลงซีเยว่ดึงความคิดล่องลอยไปไกลคืนมา จ้องมองซูสุ่ยเลี่ยนเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ถามออกไปคำหนึ่งที่แทบจะทำให้ซูสุ่ยเลี่ยนร่วงจากเตียง “ภาพริมฝั่งแม่น้ำในฤดูกาลชิงหมิงนั้น ทำให้ข้าได้รำลึกย้อนกลับไปถึงความฝันในภพก่อน”