ตอนที่ 102 ฆ่าฟัน ความโกรธเคืองของเซ่าชิง (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 102 ฆ่าฟัน ความโกรธเคืองของเซ่าชิง (1)

นั่น…

ซูชีคิดไม่ถึงว่า จะได้พบเจอ…นางที่นี่!

มองร่างที่สวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน เคลื่อนไหวไปมาบนหิมะขาวโพลน รอยยิ้มบนใบหน้าซูชีที่นิ่งค้างยกขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่การหัวเราะ แต่เป็นรอยยิ้มบางๆ ที่ผู้พบเห็นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่น

นางยังคงยิ้มสดใส ยังคงไม่มีเรื่องขับข้องใจ ยังคง…งดงาม!

ท่านผู้เฒ่าถงเอาแต่มองบุตรชาย จึงไม่ได้สนใจสีหน้าของซูชี

พ่อบ้านพูดรายงานอยู่ข้างกาย “นายท่าน เลยเวลาอาหารกลางวันเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว นายท่านคิดว่า ควรจะไปบอกหนิงเหนียงจื่อเสียหน่อยดีหรือไม่” นายท่านสั่งเอาไว้แล้ว วันนี้ห้ามผู้ใดเข้าไปในสวน กลัวว่าจะทำให้คุณชายตกใจ

ดังนั้นหากมั่วเชียนเสวี่ยไม่พาคุณชายกลับเรือน ก็ไม่อาจกินข้าวได้

“อืม ข้าไปดูหน่อย พ่อบ้าน พาคุณชายเจ็ดไปที่โถงรับแขกแล้วปรนนิบัติรับใช้ให้ดี ข้าไปประเดี๋ยวก็กลับ…”

ซูชีไม่รอให้ท่านผู้เฒ่าถงพูดจบ ยิ้มแล้วพูด “ไม่ต้องลำบากเช่นนี้ ท่านปู่ เสี่ยวชีไปกับท่านก็ได้ขอรับ เสี่ยวชีเองก็อยากไปดูท่านอาจิ้ง กลับไปจะได้รายงานท่านย่าได้ ให้ท่านย่าดีใจด้วยคน ท่านปู่คงไม่รู้ เพียงแค่เอ่ยถึงท่านอาจิ้งท่านย่าก็จะ…”

คนน่ารักย่อมมีคนเอ็นดู! ยิ่งไปกว่านั้น เขาเห็นเสี่ยวชีตั้งแต่เล็ก และชอบเด็กคนนี้มาก

คนหนุ่มสาวอยู่ด้วยกัน ไม่แน่ว่าบรรยากาศอาจจะดีขึ้นก็ย่อมได้ ตัดสินใจแน่วแน่ ท่านผู้เฒ่าถงพูด “ก็ดี เจ้าตามมาเถอะ กลับไป เจ้าไปรายงานท่านย่าของเจ้า บอกนางว่านับจากนี้ไม่ต้องเป็นห่วงจิ้งเอ๋อร์แล้ว”

เดินไปไม่กี่ก้าว ท่านผู้เฒ่าถงนึกขึ้นได้ว่าซูชีเป็นจอมซุกซน พูดกำชับอีกครั้งด้วยความไม่วางใจ “เสี่ยวชี ประเดี๋ยวเจ้าอย่าทำอะไร ให้อาจิ้งของเจ้าตกใจล่ะ”

“เสี่ยวชีจะไม่ก่อความวุ่นวายแน่นอนขอรับ ท่านปู่วางใจเถอะ” ซูชีรับปาก พร้อมกับเดินตามหลังท่านผู้เฒ่าถง เขาเองก็อยากจะเจอหนิงเหนียงจื่อเร็วขึ้น

ไม่ได้พูดคุยกับนางนานแล้ว แม้จะได้เจอ ก็แค่วันนั้นที่เจอครู่หนึ่งจากที่ไกลๆ โดยมีแม่น้ำกั้น

เห็นด้านหลังมีคนเดินมา ถงจื่อจิ้งเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ

ตอนที่เขาเห็นท่านผู้เฒ่าถงเดินมา ตกใจถึงขั้นโยนหิมะในมือทิ้ง หลบอยู่ด้านหลังมั่วเชียนเสวี่ย

ท่านผู้เฒ่าถงเห็นบุตรชายของตนเจอตนเดินมาแล้วเหมือนเจอภูติ จิตใจเศร้าหมอง พยายามฝืนยิ้ม “จิ้งเอ๋อร์ หิวแล้วกระมัง กลับไปกินข้าวกับพ่อเถอะ”

ถงจื่อจิ้งหลบอยู่ด้านหลังมั่วเชียนเสวี่ย จับชายเสื้อของมั่วเชียนเสวี่ย ส่ายหน้าแทบเป็นแทบตาย

เขาไม่กลับไป ไม่กลับไปในกรงนั้นแล้ว

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นซูชีเดินมาพร้อมกับท่านผู้เฒ่าถง รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

จากนั้นเห็นถงจื่อจิ้งต่อต้านท่านผู้เฒ่าถงเช่นนี้ กลับรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่า การมาของซูชีไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง ขอเพียงไม่ได้มาหาเรื่องตนก็พอแล้ว

มั่วเชียนเสวี่ยสลัดความคิดทิ้ง จดจ่อกับเรื่องตรงหน้า เมื่อวาน ไม่เห็นถงจื่อจิ้งต่อต้านท่านผู้เฒ่าถงเช่นนี้ เมื่อวานถงจื่อจิ้งเห็นท่านผู้เฒ่าถง ยังทำเหมือนเจอคนแปลกหน้า

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เข้าใจขึ้นมา ‘ความคิดของเขาฟื้นตัวกลับมาบ้างแล้ว มีความรู้สึกพึงพอใจต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ นี่คือสัญญาณที่ดี ในเมื่อตอนนี้มีความรู้สึกต่อต้าน จึงแสดงความรู้สึกออกมา เมื่อสามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาการออทิสซึมของเขาก็จะถึงขั้นแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้’

เข้าใจในส่วนนี้ ใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเผยความดีใจ มองถงจื่อจิ้งแล้วพูด “น้องจื่อจิ้ง กองทัพต้องเดินด้วยท้อง หากไม่กินข้าวแล้วจะเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด เจ้าจะตัวโตและแข็งแรงได้อย่างไร พวกเราให้คนเอาอาหารไปตั้งที่ศาลา กินอาหารกลางแจ้ง ดีหรือไม่”

ถงจื่อจิ้งขอเพียงไม่ต้องกลับห้องนั้นก็พอแล้ว กินหรือไม่กิน สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ด้วยเหตุนี้จึงพยักหน้าเล็กน้อย

ซูชีเห็นมั่วเชียนเสวี่ยอ่อนโยนกับถงจื่อจิ้ง ทั้งยังเห็นว่าถงจื่อจิ้งแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขาเป็นคนปราดเปรื่อง เวลานี้ไม่เข้าใจไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง

เขาชำเลืองไปมองมือของมั่วเชียนเสวี่ยที่จูงถงจื่อจิ้ง ยิ้มแล้วพูด “ท่านอาจิ้ง ยังจำเสี่ยวชีได้หรือไม่ เสี่ยวชีร่วมทานอาหารกลางแจ้งกับท่านอาดีหรือไม่”

ถงจื่อจิ้งไม่มองเขา จ้องมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ยเท่านั้น คล้ายกลัวว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น

มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเขาร้องเรียกท่านอา เกือบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่

ถงจื่อจิ้งเรียกนางว่าพี่ ประเดี๋ยว เขาไม่ต้องเรียกนางว่าน้าหรอกหรือ

เพียงแค่คิดถึงสีหน้าของซูชี มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแก้มปริ

ท่านผู้เฒ่าถงได้ฟังคำสั่ง รีบหมุนตัวหันหลังเดินไปสั่งพวกบ่าว ให้ยกอาหารไปไว้ในศาลา

เห็นบ่าวรับใช้สองคนใช้ช้อนป้อนถงจื่อจิ้งกินข้าว คิ้วของมั่วเชียนเสวี่ยขมวดเป็นปม

วางถ้วยและตะเกียบในมือลง สั่งให้บ่าวรับใช้ออกไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของท่านผู้เฒ่าถงและซูชี มั่วเชียนเสวี่ยเริ่มสอนถงจื่อจิ้งให้ใช้ช้อนกินข้าวด้วยตนเอง

เดิมทีท่านผู้เฒ่าถงจะห้าม ทว่าซูชีปรามเอาไว้

ใบหน้าของถงจื่อจิ้งเปี่ยมไปด้วยความสุข มือหนึ่งถือช้อน อีกมือหนึ่งคว้าจับอาหาร กินจนเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งใบหน้า เสื้อผ้าเต็มไปด้วยเม็ดข้าว ผักหกเต็มพื้น แต่เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย กินอย่างมีความสุข

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ช้อนกินข้าวด้วยตนเอง

แค่เพียงเพราะ เมื่อนานมาแล้ว มีครั้งหนึ่งท่านผู้เฒ่าถงเห็นเขากินเปรอะเปื้อนไปทั่วพื้น รู้สึกสกปรก รู้สึกว่าบ่าวรับใช้ไม่ดูแลทั้งยังไม่มีระเบียบเรียบร้อย บ่าวรับใช้ทั้งหลายที่ปรนนิบัติรับใช้ไม่เพียงแต่ถูกโบย ทั้งยังถูกขับออกจากตระกูลถง ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง นับจากนั้น บ่าวรับใช้คนใหม่ที่มาดูแลเขาจึงได้เรียนรู้ อาหารสามทั้งมื้อในหนึ่งวันของเขา ล้วนมีคนคอยป้อนโดยเฉพาะ ไม่เคยได้จับช้อนและตะเกียบอีกเลย

มั่วเชียนเสวี่ยมองดูเขาจับช้อนผิดเพี้ยน กินด้วยความรีบร้อน กินอย่างมีความสุข รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที นางวางตะเกียบลง ใช้ช้อน สาธิตอยู่ข้างๆ สอนเขาว่าต้องใช้ช้อนอย่างไร จับถ้วยเช่นไร ทำให้เขาดู…

นางมีความอดทนสูงมาก

ท่านผู้เฒ่าถงมองอยู่ข้างๆ ตอนแรกรู้สึกโมโห ชีวิตนี้สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือความสกปรกเลอะเทะ แต่ว่า ในตอนหลัง กลับหวั่นไหวเพราะความอดทนของมั่วเชียนเสวี่ย ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ หมุนตัวหันหลังเดินออกไป

ทว่าซูชีกลับไม่ได้ตามไปด้วย

หลังจากกินข้าวเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยสั่งให้บ่าวรับใช้หยิบตะเกียบและถั่วมาหนึ่งถ้วย

มั่วเชียนเสวี่ยเคยเห็นในบทความหนึ่งว่า การใช้ตะเกียบเกี่ยวโยงการเคลื่อนไหวของข้อกระดูกและกล้ามเนื้อตั้งแต่นิ้วมือ แขนไปจนถึงไหล่ สามารถช่วยฝึกการทำงานของมือและสมอง

อีกเรื่องหนึ่ง การใช้ตะเกียบ มองดูแล้วเหมือนจะง่าย ทว่ากลับเป็นการเคลื่อนไหวของมือที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน จำเป็นต้องใช้แรงให้เหมาะสม ควบคุมท่าทาง จึงจะคีบอาหารขึ้นมาแล้วเอาเข้าปากได้

มือและสมองเกี่ยวโยงกัน เพื่อให้ท่วงท่าที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนนี้สำเร็จจำเป็นต้องใช้ ‘ทั้งมือและสมอง’ ดังนั้นเวลาเดียวกันที่ฝึกมือฝึกสายตา ก็สามารถส่งเสริมพัฒนาการของสมองได้

พวกเขานั่งแข่งขันคีบถั่วในศาลา มีซูชีมาร่วมด้วย ชักนำถงจื่อจิ้งให้ร่วมด้วยได้ง่ายขึ้นมาก