บทที่ 89 สิ่งที่ซ่อนอยู่ในภาพวาด

หัวใจของเจิ้งติ่งสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรเสียในขณะที่หมอคนก่อนบอกว่าแม่ของเขาไม่มีทางรักษา แต่หมอคนนี้ก็มอบโอกาสให้มารดาเขา

อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง

“ท่านหมอขอรับ โอกาสที่แม่ข้าจะตื่นขึ้นมามีมากเพียงใดขอรับ”

หมอซูประเมินอาการ “ประมาณสามในสิบส่วน พรุ่งนี้ข้าจะมาฝังเข็มให้นางอีกครั้ง”

“ขอบคุณ ขอบคุณท่านหมอขอรับ!” เจิ้งติ่งกล่าวขอบคุณด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

“หมั่นพูดคุยกับคนไข้ล่ะ หากตัวคนไข้มีความหวังอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป โอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาก็มีมากขึ้น”

“ขอรับท่านหมอ”

“หมอซู อาการป่วยของนางอาจจะไม่คงที่ หากเกิดอะไรขึ้น…คืนนี้ท่านนอนในเมืองได้หรือไม่?” ถังหลี่ถาม

“ข้าก็ตั้งใจเช่นนั้นอยู่แล้ว” หมอซูพยักหน้า

ถังหลี่ได้จัดเตรียมห้องในโรงเตี๊ยมใกล้ ๆ ให้หมอซู และกำชับกับเจิ้งติ่งให้ไปตามหมอซูที่โรงเตี๊ยมหากเกิดอะไรขึ้น เด็กชายขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า

หลังจากที่ส่งถังหลี่และหมอซูกลับ เจิ้งติ่งกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง เขายืนอยู่ข้างเตียงนอนของมารดา ก่อนจะหันหน้าไปเจอบิดาที่เนื้อตัวสกปรกเดินเข้ามา ตอนนี้เด็กน้อยเหมือนสิงโตตัวเล็ก ๆ ที่กำลังพองขนเพื่อข่มขู่ศัตรู

“อย่าเข้ามานะ!”

“ข้าแค่มาเอาของ” ชายคนนั้นพูดอย่างใจเย็น

เขาหยิบของบางอย่างออกจากตู้ที่ทรุดโทรมแล้วเดินออกไป จากนั้นก็นั่งยอง ๆ มองดูเงาตนเองที่สะท้อนบนคูน้ำคลำ ก่อนที่จะเริ่มโกนหนวดเคราตัวเองออก เขาจุ่มมีดโกนลงในอ่างน้ำ ล้างเนื้อตัวและใส่เสื้อผ้าสีขาวสะอาด ยืนอยู่ภายใต้แสงแดดที่แผดเผาส่องมากระทบที่ร่างของตัวเอง

หลังจากที่เช็ดตัวจนแห้งดีแล้ว ชายขี้เมาก็เดินเข้าไปในห้อง เมื่อเจิ้งติ่งผู้เป็นบุตรชายเห็นบิดาของเขา ก็ตกตะลึงพรึงเพริดไป ก่อนที่จะพยายามไล่เขาออกไปอีกครั้ง

“ติ่งเอ๋อร์ ข้าแค่อยากจะพูดคุยกับมารดาของเจ้า…นางอาจจะฟื้นขึ้นมาหากได้ยินถึงความผิดพลาดที่ข้าเป็นคนก่อขึ้น”

…เจิ้งติ่งจึงตัดสินใจไม่ไล่เขาไป

….

เช้าวันรุ่งขึ้น

ถังหลี่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่บ้านหยุนเหนียง นางจึงเดินทางมาพร้อมกับหมอซู ทำให้นางได้เห็นชายชุดขาวที่นั่งพูดคุยกับคนไข้อยู่ข้างเตียง ชายชุดขาวมีลักษณะใบหน้าที่ดี คิ้วหนาตาโตและแผ่นหลังที่เหยียดตรง หากไม่ได้ยินเสียงพูดของเขา ก็จะไม่มีใครคิดได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับชายขี้เมาคนนั้น

“หยุนเหนียง ข้ารู้ว่าข้าผิด ตราบใดที่เจ้าฟื้นขึ้นมาข้าจะไม่ดื่มเหล้าอีก ครอบครัวของเราจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น เจ้าว่าดีหรือไม่?”

“หยุนเหนียงเจ้าจำครั้งแรกที่เราพบกันได้หรือไม่ วันนั้นสหายกับข้าคุยเรื่องงานกันจนดึก ทำให้ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ข้าที่กำลังหิวก็ได้กลิ่นที่หอมมากบนถนน ข้าตามกลิ่นไปจนได้พบเจ้า…ข้ากินหมั่นโถวของเจ้าไปครั้งเดียวห้าชิ้น เจ้าคงตกใจมาก ตอนนั้นข้ารู้สึกว่ามันเป็นของอร่อยที่ข้าไม่เคยได้กินมาก่อน เจ้าช่างดีถึงเพียงนั้น ข้าถึงได้อยากแต่งงานกับเจ้า”

“ตอนที่ข้าแต่งงานกับเจ้า มีแต่คนคัดค้าน…ถึงแม้มีเพียงเราแค่สองคนเท่านั้น ข้าก็มีความสุขมาก”

“หลังจากแต่งงานกัน เจ้าดูแลครอบครัวของเราเป็นอย่างดีแต่ข้ากลับทำแต่งาน จากนั้นเมื่อมีติ่งเอ๋อร์…ข้าละเลยเจ้า… ตอนนี้ข้ามาคิดทบทวนแล้ว ข้าไม่ใช่สามีและพ่อที่ดี ข้าใส่ใจเจ้าน้อยเกินไปหยุนเหนียง…”

“หยุนเหนียงตื่นได้แล้วนะ ให้โอกาสข้าได้ดูแลเจ้าทั้งสองคน ดีหรือไม่?”

เสียงเคาะประตูขัดจังหวะคำพูดของเขา เมื่อหันกลับมาเขาเห็นถังหลี่และหมอซู ชายชุดขาวรีบปาดน้ำตา

“ท่านหมอ แม่นางถัง…มาแล้วหรือ”

เขาหลีกทางให้คนทั้งคู่ หมอซูจับชีพจรของหยุนเหนียง จากนั้นจึงฝังเข็มอีกครั้ง หลังจากที่ฝังเข็มครบชุด เขาก็ตรวจชีพจรของนางอีกครั้ง และมองไปที่รูม่านตาของหญิงตรงหน้า

“ท่านหมอ ภรรยาข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ชีพจรดีขึ้นมาก ร่างกายกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัว” หมอซูกล่าว

ชายคนนั้นขอบคุณหมอซูหลายครั้ง จากนั้นเขาก็เดินมาหาถังหลี่และโค้งคำนับให้นางอย่างจริงใจ

“ข้าน้อยเจิ้งซูขอขอบคุณแม่นางที่เตือนสติข้า หาไม่แล้วข้าคงทำสิ่งที่ผิดพลาดไปใหญ่หลวง”

แต่ถังหลี่ไม่ได้เห็นอกเห็นใจเขาแม้แต่น้อย

“ขึ้นอยู่กับหยุนเหนียงว่านางจะให้โอกาสเจ้า และให้อภัยในความผิดพลาดของเจ้าหรือไม่”

ชายชุดขาวพยักหน้ารับ

“อย่างน้อยก็เป็นโอกาสที่ข้าจะได้กลับตัว ความเมตตากรุณาและมีคุณธรรมของแม่นาง ข้าผู้แซ่เจิ้งคนนี้จะจดจำไว้ในภายหน้าข้าจะตอบแทนแม่นางอย่างแน่นอน”

หมอซูพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมอีกสองวันและคอยมาฝังเข็มให้หยุนเหนียง เมื่อเห็นว่าอาการของนางทรงตัวดีขึ้นแล้วเขาจึงขอตัวกลับหมู่บ้านไป หมอซูทำดีที่สุดแล้วต่อจากนี้ไม่ว่านางจะฟื้นหรือหลับใหลต่อไปก็ขึ้นอยู่กับความปรารถนาในการมีชีวิตของหยุนเหนียง

ถังหลี่เทียวไปเยี่ยมพวกเขาทุกวัน

สำหรับถังหลี่แล้วหยุนเหนียงคือสตรีที่น่าสงสาร แม้ว่าโลกนี้จะใจร้ายต่อนางมาตลอด แต่นางก็พยายามดิ้นรนมีความหวังในการมีชีวิตรอด ถังหลี่หวังว่านางจะฟื้นขึ้น

สองวันต่อมาในขณะที่ถังหลี่มาเยี่ยมหยุนเหนียงก็พบว่านางได้ตื่นขึ้นมาแล้ว! ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงค่อย ๆ ขยับนิ้วก่อนจะเปิดดวงตาขึ้นช้า ๆ

“หยุนเหนียงเจ้าฟื้นแล้ว!” ถังหลี่กล่าวด้วยความประหลาดใจ

เจิ้งซูที่ได้ยินคำพูดนั้นก็รีบวิ่งมาหาหยุนเหนียงและจับมือของนางไว้แน่น

“หยุนเหนียง!”

หยุนเหนียงลืมตาขึ้นมองสามี นางแทบไม่เชื่อสายตาตนเองจนต้องเผลอยกมือขึ้นขยี้ตา เพื่อพิสูจน์ว่านางไม่ได้ฝันไป

“เจิ้ง…หลาง…”

“หยุนเหนียงมันเป็นความผิดของข้าเอง ที่ผ่านมาข้าไม่ควรเสเพลเช่นนั้น ข้าขอโทษเจ้าด้วย ข้าจะไม่ดื่มอีกแล้วครอบครัวของเราจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ข้าจะหางานทำ!…ข้าจะ…จะคัดลอกหนังสือ เรียนรู้ทำงานฝีมือ จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องเหนื่อยคนเดียวอีกแล้ว!”

หยุนเหนียงมองสามีด้วยแววตาว่างเปล่า หลังจากนั้นครู่หนึ่งน้ำตาของนางก็ค่อย ๆ ไหลซึมจากหางตา

ในที่สุดวันที่นางรอก็มาถึง

เจิ้งหลางของนางกลับมาแล้ว

เจิ้งหลางผู้มีความสามารถ สุขุมและซื่อตรง…

ถังหลี่ไม่อยากรบกวนเวลาของครอบครัว นางเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ หญิงสาวตัดสินใจกลับไปที่เป่าชิงเก๋อ และตรวจสอบบัญชีก่อนจะคัดลอกแยกประเภทบัญชี เมื่อคัดลอกไปได้สองสามหน้า ฉับพลันก็มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของนาง!

เจิ้งติ่ง …เจิ้งซู…ชื่อสองชื่อที่คุ้นเคย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจิ้งติ่ง!

ในนวนิยายเรื่อง ‘เส้นทางสู่ฮองเฮา’ เจิ้งติ่งคือจอมวายร้ายที่มีอำนาจ แต่เดิมเขาเคยเป็นเถ้าแก่โรงรับจำนำ เป็นพวกปลิ้นปล้อน เป็นพ่อค้าที่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของพวกคนเลวคือความทะเยอะทะยานและตั้งใจจะทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของตน!

แม้ว่าเขาจะเป็นชาวต้าโจวแต่เจิ้งติ่งก็เกลียดแผ่นดินต้าโจวเป็นอย่างมาก เขาให้ความช่วยเหลือพวกซยงหนู[1]จนมีอำนาจและนำทหารอาชาเหล็กบุกผ่านประตูเมืองต้าโจวมาได้ ทำให้เป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงของต้าโจว

เมื่อชาวเมืองได้ยินชื่อเจิ้งติ่ง พวกเขาต่างดูแคลนและหวาดกลัว ส่วนเหตุผลที่เจิ้งติ่งเกลียดต้าโจวนั้นเกี่ยวข้องกับบิดาของเขาเจิ้งซู

เดิมทีเจิ้งซูเป็นขุนนางของต้าโจวและได้รับการชื่นชมจากองค์ฮ่องเต้โจวผู้ยิ่งใหญ่ ทว่า เนื่องจากเขาเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาและโผงผางจึงทำให้เขาถูกทรยศ ขัดแย้งกับฮ่องเต้ ถูกปลดออกจากตำแหน่งและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวงอีกตลอดชีวิตที่เหลือของเขา

ตอนนี้ถังหลี่เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดเจิ้งซูถึงใส่ใจภาพวาดนั้นมาก เพราะตราประทับบนภาพวาดนั้นเป็นตราของฮ่องเต้! ครอบครัวสกุลเจิ้งถูกริบทรัพย์ แต่เจิ้งซูก็ไม่อาจจะตัดใจทิ้งภาพวาดนั้นลงได้เขาจึงซ่อนมันไว้อย่างลับ ๆ

แต่สุดท้ายแล้วก็มีผู้ค้นพบภาพวาดนั้นและนำหายนะมาสู่ครอบครัวของเขา! ในหนังสือนิยาย เจิ้งติ่งขายมันให้กับพ่อค้า และพ่อค้าก็มอบให้กับเจ้าหน้าที่ ทันทีที่จำตราประทับได้ จึงได้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต และเมื่อศาลมีคำสั่งลงมาเจิ้งซูกับภรรยาขัดขวางอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือบุตรชาย แต่พวกเขาก็เสียชีวิตจากการถูกตัดศีรษะ

เจิ้งติ่งไม่เพียงแต่เกลียดชาวต้าโจวเท่านั้น แต่ชายหนุ่มยังเกลียดตัวเองอีกด้วย เป็นเพราะเขา บิดามารดาจึงต้องถูกประหาร! ภายใต้การโทษตัวเองและความเกลียดชัง ความคิดของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยวขึ้น เขาสนุกกับการเข่นฆ่าและแก้แค้นต้าโจว

ในนวนิยาย เจิ้งติ่งเป็นตัวละครที่น่ารังเกียจและน่าสมเพช! แต่วายร้ายที่แสนร้ายกาจและเจ้าเล่ห์คนนั้น ยังคงเป็นเด็กที่ซื่อตรงและไร้เดียงสา….

เนื่องจากการแทรกแซงเนื้อเรื่องของถังหลี่ภาพวาดของเจิ้งซูจึงไม่ถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้พวกเขาไม่โดนหมายจับ ครอบครัวพ่อแม่ลูกสามคนก็มีชีวิตที่ดีขึ้น และจากการดูแลของบิดามารดา เจิ้งติ่งคงไม่ได้เจริญรอยเท้าไปตามหนังสือเล่มนั้น!

——————————

[1] ซฺยงหนู ตามสำเนียงกลาง หรือ เฮงโน้ว ตามสำเนียงฮกเกี้ยน เป็นชื่อเรียกกลุ่มชนโบราณซึ่งมีพวกร่อนเร่เป็นพื้น และตั้งตัวกันเป็นรัฐหรือสหพันธรัฐอยู่ในภาคเหนือของประเทศจีน ชาวซยงหนูเก่งกล้าสามารถในการรบและมักเข้ารุกรานปล้นชิงมาในดินแดนจีนและสาเหตุที่จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างแนวกำแพงเมืองจีน ก็เพื่อเป็นปราการป้องกันซยงหนู