ตอนที่ 364 – ฝูเหยาจื่อ
“ที่แท้จิตหยั่งรู้สหายเต๋าเสวียนเยว่โดดเด่นเป็นเอก บนตัวมีทักษะลับ กลับเป็นข้าที่ทะนงตนแล้ว” โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ ให้ประมุขมารเสวียนเยว่ เอ่ยชื่นชม
ประมุขมารเสวียนเยว่สายตาหลุกหลิก ภาคภูมิใจในตนเองยิ่งนัก ไม่รู้ว่าจงใจอวดความสามารถหรือไม่ โม่เทียนเกอนับว่าดูออกแล้ว ผู้ฝึกมารผู้นี้หลงตัวเอง วัน ๆ เอาแต่รักษาท่วงท่าปลอดโปร่ง ไม่ได้จงใจยั่วยวนนางคนเดียวเลย หากเป็นเช่นนี้ก็รับมือได้ไม่ยาก
ถัดจากนั้น ทั้งแปดคนพูดจาเกรงอกเกรงใจกันเล็กน้อย สุดท้ายประมุขมารเสวียนเยว่กระแอมหนึ่งคำ ดึงหัวข้อกลับมา เขากวาดมองทุกคนก่อนหนึ่งรอบ สุดท้ายสายตาตกลงที่ตัวโม่เทียนเกอ “ฉินกูเหนียง เมื่อครู่นี้เราทั้งเจ็ดกำลังแลกเปลี่ยนวัตถุวิญญาณ ไม่ทราบว่าท่านมีความสนใจหรือไม่”
พอพูดแล้ว สายตาของเจ็ดคนล้วนตกลงบนตัวนางอีกครั้ง
หานซื่อจือยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราเหล่านี้มาชุมนุมกันที่นี่ กว่าครึ่งล้วนเพื่อมาเสาะหาสมบัติ สหายเต๋าฉินในเมื่อมาจากโพ้นทะเล คิดว่าวัตถุวิญญาณบนตัวคงจะไม่เหมือนกับพวกเราเหล่าผู้ฝึกตนอวิ๋นจงอย่างมาก ไม่แน่ว่าพวกเราแต่ละฝ่ายจะมีสิ่งของที่อีกฝ่ายต้องการอย่างรีบด่วนนะ!”
“ใช่เลย” ชิงอวิ๋นจื่อยิ้มรับ “ไม่ทราบสหายเต๋าฉินมาจากเซียวหยางหรือว่าหยวนโจว? ผินเต้าก็เคยคิดจะไปโพ้นทะเล แต่ปลีกตัวไปไม่ได้เสมอมา จนกระทั่งวันนี้ก็เพียงแค่เคยไปทะเลในเท่านั้น”
ทะเลในหมายถึงน่านน้ำทะเลที่อยู่ใกล้เกาะจำนวนหนึ่ง น่านน้ำทะเลเหล่านี้มักจะเป็นฐานที่มั่นที่ผู้ฝึกตนจับอสูรทะเล อย่างเช่นเกาะเป่ยจี๋ ส่วนโพ้นทะเลก็คือสถานที่ซึ่งตัดขาดจากอวิ๋นจงด้วยมหาสมุทรอย่างหยวนโจวเซียวหยาง
โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้ม ปล่อยผ่านคำถามนี้ไปอย่างเบาสบาย “สถานที่ที่จ้ายเซี่ยจากมากับหยวนโจวเซียวหยางไม่เหมือนกันอยู่บ้าง แต่ว่าอาจจะมีสิ่งของที่ทุกท่านต้องการจริง ๆ”
ได้ยินนางแจ้งอย่างนี้ ประมุขมารเสวียนเยว่จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อฉินกูเหนียงไม่คัดค้าน เช่นนั้นก็ถือว่าเข้าร่วมกับการแลกเปลี่ยนวัตถุวิญญาณกับพวกเราแล้ว?”
โม่เทียนเกอพยักหน้า แสดงออกว่าไม่มีข้อขัดข้อง
ประมุขมารเสวียนเยว่ยิ้มมุมปากเหลือบมองทุกคน กล่าวต่อว่า “ก่อนที่ฉินกูเหนียงจะเข้าร่วม พวกเราเพิ่งจะถกเรื่องการฝึกตนเสร็จพอดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เริ่มเลยเถิด”
งานชุมนุมค้าขายที่เหล่าผู้ฝึกตนจัดกันเองย่อมไม่เหมือนกับที่ร้านค้าจัด ไม่มีคนแนะนำสมบัติ แล้วก็ไม่มีคนปลุกเร้าบรรยากาศ ในหมู่ทุกคน ประมุขมารเสวียนเยว่ระดับการฝึกตนสูงที่สุด ให้เขาดำเนินการไปโดยปริยาย
พูดอย่างนี้จบแล้ว ประมุขมารเสวียนเยว่โยนสิ่งของหลายอย่างนำมาก่อน พูดอย่างไม่อินังขังขอบว่า “สิ่งของเหล่านี้ พวกท่านดูแล้วหากมีความสนใจ เอาสิ่งของมาแลกหรือศิลาวิญญาณมาซื้อล้วนได้”
โม่เทียนเกอก้มหน้าไปดู เห็นเพียงบนโต๊ะโยนไว้ด้วยหินแร่กับหญ้าวิญญาณหลายชนิด ยังมีอาวุธเวทหนึ่งชิ้น วิธีการฝึกตนของผู้ฝึกมารกับผู้ฝึกเต๋าไม่เหมือนกัน ดังนั้นสิ่งของจำพวกโอสถสมบัติวิญญาณที่ต้องการแตกต่างจากผู้ฝึกเต๋า หญ้าวิญญาณและแร่พวกนี้เป็นของดีที่ผู้ฝึกตนหลอมยาสร้างสมบัติ ประโยชน์สำหรับผู้ฝึกมารกลับไม่มาก อาวุธเวทยิ่งเป็นเช่นนี้ ดังนั้น ประมุขมารเสวียนเยว่โยนของพวกนี้ออกมา แม้แต่หางตายังไม่เหลือบแล
หินแร่กับหญ้าวิญญาณล้วนเป็นสิ่งของที่ไม่เลว แต่โม่เทียนเกอไม่ได้ต้องการเลย กลับเป็นอาวุธเวทชิ้นนั้นที่ทำให้นางมองอยู่หลายที อาวุธเวทนี้ดูแล้วเป็นกระบี่ขึ้นสนิมเขรอะด้านบนเปื้อนฝุ่นมากมาย แต่ปราณแห่งวายุอัสนีที่เปล่งออกมาอย่างเลือนรางกลับพิเศษเหนือธรรมดา นางคิดไม่ตกอยู่บ้างว่าอาวุธเวทนี้เป็นเรื่องราวอันใด หากเป็นสมบัติวิญญาณจริง ๆ น่าจะไม่ปรากฏรอยสนิมเขรอะอย่างนี้กระมัง? แต่ก็ไม่ใช่เหล็กสามัญของโลกปุถุชน หากเป็นวัตถุสามัญจะมีพลังสภาวะอันกล้าแข็งเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกันเล่า อาวุธเวททั่วไปมีเพียงตอนที่ใช้จึงจะปรากฏลมปราณ แค่โยนมาตรงนี้ก็มีพลังสภาวะเยี่ยงนี้แล้ว แทบจะต้องเป็นอาวุธเวทที่สื่อวิญญาณจึงจะครอบครอง
หินแร่กับหญ้าวิญญาณถูกคนอื่น ๆ แลกไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายสายตาของทุกคนล้วนตกลงที่อาวุธเวทนี้ พวกเขาเป็นเหมือนกับโม่เทียนเกอ ดูเนื้อแท้ของอาวุธเวทนี้ไม่ทะลุ ลังเลพักหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะแลกหรือไม่
ประมุขมารเสวียนเยว่ยิ้ม ๆ เอ่ยกับทุกคนอย่างเชื่องช้าตามสบายว่า “ทุกท่านหรือว่าไม่มีความสนใจต่อกระบี่ฝูเซิงเล่มนี้หรือ”
วาจานี้ของเขาหลุดจากปาก ทุกผู้คนตะลึงงัน ยงหรูอวี้กับฉินเฉิงรั่วสองคนสีหน้าตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ชิงอวิ๋นจื่อ, หยวนคงล้วนสีหน้าเคร่งขรึม สายตาจับจ้องกระบี่ขึ้นสนิมบนโต๊ะไม่ขยับเขยื้อน
“กระบี่ฝูเซิง? หรือว่าจะเป็น……กระบี่ฝูเซิงของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อ?!” ยงหรูอวี้จ้องกระบี่ขึ้นสนิมเขม็ง ถามอย่างกระวนกระวาย
ประมุขมารเสวียนเยว่ยกเปลือกตา เผยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่เช่นนั้นสหายเต๋ายงนึกว่ายังมีกระบี่ฝูเซิงอีกเล่มหรือ”
เมื่อได้รับคำตอบยืนยัน อารมณ์บนใบหน้าของทุกคนยิ่งตื่นเต้น ยงหรูอวี้, ฉิวเฉิงรั่ว, ชิ่งอวิ๋นจื่อสามคนสีหน้าเต็มไปด้วยกระวนกระวาย หยวนคง, หานซื่อจื่อกลับสีหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ กระบี่ฝูเซิง? ฝูเหยาจื่อ? สิ่งของอะไร?
ประมุขมารเสวียนเยว่เหล่มองนาง เผยรอยยิ้มล่อลวงของปีศาจ “ฉินกูเหนียงมิใช่ชาวอวิ๋นจง ดูท่าก็ไม่เคยได้ยินถึงกระบี่ฝูเซิงและฝูเหยาจื่อแล้ว?”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “จ้ายเซี่ยมาอวิ๋นจงไม่นาน ไม่เคยได้ยินจริง ๆ ไม่ทราบกระบี่ฝูเซิงนี้เป็นวัตถุใด ฝูเหยาจื่อเป็นผู้ใดอีกเล่า”
“กระบี่ฝูเซิงเป็นกระบี่ประจำกายของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อ” ผู้ที่ตอบกลับเป็นยงหรูอวี้ เขาปล่อยลมหายใจยาวเหยียดคำหนึ่ง สงบจิตสงบใจขึ้นมาเล็กน้อย มองโม่เทียนเกอ “ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อเป็นผู้อาวุโสยอดตนท่านหนึ่งในตำนานอวิ๋นจงเรา ท่านเป็นผู้ฝึกตนหลายหมื่นปีก่อน ผู้ฝึกตนอิสระไร้สำนักไร้สังกัด อาศัยความน่าอัศจรรย์ท่องไปทั่วอวิ๋นจง แม้แต่ผู้ฝึกตนของหยวนโจวกับเซี่ยวหยางล้วนกราบไหว้บูชา ตอนที่ท่านอยู่บนโลก เต๋ามารไม่อยู่ร่วมกัน เพราะท่านคนเดียว สายอธรรมถูกสะกดข่มจนแทบจะไม่มีที่ยืน ตำราว่าเอาไว้ว่าตอนที่ท่านยังอยู่จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ตัวคนเดียวต่อสู้กับประมุขมารระดับจิตวิญญาณใหม่สิบคน ไม่เผยลางพ่ายแพ้เลยสักเศษเสี้ยว สุดท้ายประมุขมารสิบคนนั้นไม่อาจไม่ล่าถอยไปเฝ้าทะเลกุยสวี”
“ไม่เพียงเท่านี้” ชิวอวิ๋นจื่อสีหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส กล่าวต่อว่า “ถึงท่านจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระ แต่กลับสร้างวิชาเวทฝึกเต๋าครบชุด ถ่ายทอดสู่โลกหล้า อีกทั้งยังแบ่งปันประสบการณ์ฝึกตนของตัวเองสู่สาธารณะอย่างไม่เก็บงำสักนิด ทำให้ผู้ฝึกตนอิสระมากมายสามารถเดินบนเส้นทางอันถูกต้องของการฝึกตนไปด้วย หลายหมื่นมีมานี้ ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อถึงจะไม่ได้สืบทอดสำนักลงมา แล้วก็ไม่ได้มีลูกศิษย์ แต่มีผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนที่ได้รับประโยชน์จากท่าน อ้างตนเป็นทายาท” พูดถึงตรงนี้ ชิงอวิ๋นจื่อเสริมมาอีกหนึ่งประโยคว่า “ผินเต้าก็เป็นเช่นนี้”
“อวิ๋นจงถึงกับมีบุคคลเช่นนี้?” โม่เทียนเกอประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง เต๋าแห่งการฝึกตนเต็มไปด้วยขวากหนาม การเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายระหว่างผู้ฝึกตนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติ ประสบการณ์ฝึกตนยิ่งเป็นความลับในความลับของผู้ฝึกตน เขาถึงกับเผยแพร่สู่สาธารณะทั้งหมด ช่างน่าตกตะลึงโดยแท้
“ฮา ๆ ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อท่านนี้ยังไม่ใช้เพียงเท่านี้นะ” หานซื่อจือยิ้มกว้างกล่าวต่อ เขาเป็นอาจารย์ผู้สอนของสถาบันการศึกษา ความรู้ย่อมกว้างขวาง “เท่าที่ข้ารู้ ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อท่านนี้ไม่เพียงความแข็งแกร่งสยบแดนดิน ด้านคุณธรรมก็มีดุลยพินิจอันเป็นเอกลักษณ์ ข้าเคยศึกษาคุณธรรมที่ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อยึดถือในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ไม่เหมือนกับเหล่าสหายเต๋าผู้ฝึกเต๋าทุกวันนี้อย่างใหญ่หลวง ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อท่านนี้เชื่อว่า ผู้ฝึกเซียนเทียบกับปุถุชนแล้วครอบครองพลังอำนาจที่กล้าแข็งกว่า เช่นนั้นก็ควรจะมีความรับผิดชอบมากยิ่งกว่า หลังจากพลังอำนาจชนิดหนึ่งสูญเสียการเหนี่ยวรั้งก็จะส่งผลกระทบต่อกฎแห่งฟ้าดิน ดังนั้น ระหว่างผู้ฝึกเต๋าไม่เพียงไม่ควรเข่นฆ่า ยิ่งต้องช่วยเหลือกัน”
โม่เทียนเกออึ้งไป พึมพำท่องประโยคนี้ “ไม่ควรเข่นฆ่า ยิ่งต้องช่วยเหลือกัน……”
“มิผิด” ชิงอวิ๋นจื่อถอนหายใจเอ่ยว่า “ชั่วชีวิตของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อล้วนยึดถือหลักการเช่นนี้ แม้แต่คนที่เคยเข่นฆ่ากันก็สามารถยิ้มแล้วปล่อยวางความแค้น จิตใจสูงส่งโดยแท้ ความใจกว้างนี้ อวิ๋นจงหมื่นกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยมีมาก่อน”
“……เช่นนี้ ถึงกับสามารถฝึกตนไปถึงจิตวิญญาณใหม่?” โม่เทียนเกอยิ่งตกตะลึง คนเช่นนี้สามารถเดินบนเส้นทางฝึกเซียนไปจนถึงสุดปลายได้จริง ๆ หรือ
“ไม่แค่จิตวิญญาณใหม่” ยงหรูอวี้เอ่ย “ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อท่องไปทั่วอวิ๋นจงตลอดเวลา ว่ากันว่าสุดท้ายเลื่อนระดับเป็นแปลงเทพ แต่ว่า นี่เป็นเพียงคำร่ำลือ เกี่ยวกับผลลัพธ์สุดท้ายที่ของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อ ในบันทึกโบราณมีความเห็นต่าง ๆ นานา ใครก็ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นเรื่องจริง”
“แต่มีจุดหนึ่งที่สามารถยืนยัน” ผู้ที่กล่าวต่อคือประมุขมารเสวียนเยว่ เขาคล้ายกับจะไม่ยอมรับนับถือวาจาของยงหรูอวี้ชิงอวิ๋นจื่อกับพวกเป็นอย่างมาก สีหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่ง “ฝูเหยาจื่อเป็นอุดมคติในใจของผู้ฝึกเต๋าทั้งหมด”
เมื่อครู่ยงหรูอวี้เคยพูดว่า ยุคสมัยที่ฝูเหยาจื่อมีชีวิตอยู่ อวิ๋นจงเต๋ามารไม่อยู่ร่วมกัน แล้วฝูเหยาจื่อยังเคยเอาชนะประมุขมารสิบคน ประมุขมารเสวียนเยว่ผู้นี้เป็นผู้ฝึกมาร ย่อมเห็นฝูเหยาจื่อไม่รื่นตา แต่ว่า จะไม่รื่นตาอีกแค่ไหน เขาก็ต้องยอมรับว่าฝูเหยาจื่อความแข็งแกร่งเลิศล้ำจริง ๆ
“ถึงกับเป็นเช่นนี้” โม่เทียนเกอสนอกสนใจยิ่งนัก “น่าเสียดายผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อท่านนี้มีชีวิตหลายหมื่นปีก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นก็อยากจะเห็นลักษณะยอดคนสูงส่งของท่านสักคราจริง ๆ”
“พวกเราผู้ฝึกเต๋า แต่ละคนล้วนเป็นเช่นนี้” ยงหรูอวี้เห็นนางมีสีหน้าสนอกสนใจ รู้สึกสนิทสนมขึ้นมาทันที ยิ้มบาง ๆ พูดหนึ่งประโยค ผลคือกลับดึงดูดการเหล่มองอย่างโมโหของฉินเฉิงรั่ว บีบมือของเขา
โม่เทียนเกอเห็นฉากนี้ก็อดยิ้มมิได้ นางจะดวงตามืดมัวอีกแค่ไหนก็ดูออกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้มีจิตใจสอดประสานกัน ตอนนี้ในใจนางมีคนรักแล้ว ย่อมจะไม่ไปก่อกวนผู้อื่น เพียงแต่ฉินเฉิงรั่วนี้ก็เคร่งเครียดเกินไป หรือว่ามีสตรีเอ่ยวาจากับยงหรูอวี้นางก็ระแวงว่ามีจิตคิดไม่ซื่อแล้ว?
ยงหรูอวี้กลับมีท่าทางว่าไม่ได้สังเกตเห็นเลย สายตากลับไปตกลงบนกระบี่ฝูเซิงบนโต๊ะ “สหายเต๋าเสวียนเยว่ กระบี่ฝูเซิงนี้สรุปว่าท่านไปได้มาจากที่ใด หากเป็นสิ่งตกทอดของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อ นั่นก็มีราคาสูงเทียมฟ้าแล้ว”
ประมุขมารเสวียนเยว่ยกเปลือกตาขึ้น เอ่ยว่า “กระบี่นี้ข้าได้มาโดยบังเอิญ หลังจากตรวจพิสูจน์หลายฝ่าย ยืนยันว่าเป็นกระบี่ฝูเซิงของฝูเหยาจื่อ ข้าได้สอบถามผู้อาวุโสสายอธรรมจำนวนมาก กระบี่นี้ในปีนั้นตอนที่ประมุขมารผู้เป็นใหญ่ทั้งสิบต่อสู้ได้สาบสูญร่องรอย คงจะทิ้งอยู่ในแดนมารเมื่อตอนนั้น พวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเช่นนี้ กระบี่ฝูเซิงถึงจะร้ายกาจ แต่เล่มนี้กลับมิใช่กระบี่ฝูเซิงที่สมบูรณ์”
ได้ยินวาจานี้ ชิงอวิ๋นจื่อตะลึงไป เร่งถามว่า “สหายเต๋าเสวียนจื่อหมายความอันใด”
ประมุขมารเสวียนเยว่เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “พวกท่านนึกว่าผ่านช่วงเวลาหลายหมื่นปี แล้วยังถูกปราณมารกัดกร่อนที่แดนมาร กระบี่นี้ยังจะสามารถพลังวิญญาณเต็มเปี่ยมอย่างตอนแรกเริ่มได้หรือ”
ยงหรูอวี้กับพวกตะลึงไป สีหน้าตื่นเต้นบนใบหน้าสงบลงมาเล็กน้อย มิผิด แดนมารเต็มไปด้วยปราณมาร สมบัติชิ้นนี้หากอยู่ที่แดนมารมาโดยตลอดย่อมจะได้รับการกัดกร่อนของปราณมาร หลายหมื่นปีมาแล้ว ไม่กลายเป็นเหล็กธรรมดากองหนึ่งก็หายากแล้ว
ชิงอวิ๋นจื่อคิด ๆ แล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “สหายเต๋าเสวียนเยว่เชื่อว่ากระบี่นี้ยังสามารถใช้ได้หรือ”
“เปิ่นจวินในเมื่อหยิบออกมาแลกเปลี่ยน ย่อมยังจะมีประโยชน์” ประมุขมารเสวียนเยว่เอ่ยอย่างชืดชา “พูดขึ้นมาแล้ว กระบี่นี้ไม่เสียทีที่เป็นกระบี่ประจำกายของฝูเหยาจื่อ ปราณมารกัดกร่อนมาหลายหมื่นปี ถึงกับยังรักษาพลังสภาวะของสมบัติวิญญาณเอาไว้ได้ แน่นอนว่าทุกท่านล้วนเป็นผู้มีความเข้าใจ กระบี่นี้จะต้องไม่สามารถใช้ออกตรง ๆ ต้องขจัดปราณมาร ชำระใหม่ จึงอาจจะสามารถฟื้นฟูพลังดั้งเดิมส่วนหนึ่ง แต่ก็เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น”
…………………………….