บทที่ 78 มาลองกันเถอะ

คนอื่นได้ฟังก็ไม่มีใครคิดว่ามันผิดปกติอะไร

ถึงคนในครอบครัวส่วนใหญ่จะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของฉือเก๋อกับหัวหน้าเฉิน

แต่พวกเขาไม่ได้โง่และมองออกว่าที่หัวหน้าเฉินดูแลครอบครัวเราขนาดนี้ เพราะนอกจากจะมีความสัมพันธ์กับหัวหน้าชุมชนแล้ว ก็ยังเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือครอบครัวเราได้ดูแลสองปู่หลานด้วย

ท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้ประโยชน์จากมัน

“แกทำถูกแล้วเหล่าซาน” คุณปู่ซูพอใจมากกับการจัดการของลูกชาย

“วันนี้แกซื้อเนื้อไปกี่จิน เหมือนเห็นเจ็ดแปดจินนะ” คุณย่าซูพูดแล้วจับจ้องไปที่ชิ้นเนื้อบนโต๊ะ

“เนื้อสิบจินครับ แม่ให้ตั๋วมาสิบใบ ผมไปทันพอดีเลยซื้อมาหมดเลย แต่ไม่ทันซื้อมันหมู เลยมีแต่พวกเนื้อส่วนไม่ติดมันนะครับ”

“ต้มโจ๊กหมูให้คุณย่ากันค่ะ เอาที่เป็นเนื้อ ๆ ก็พอนะคะ เนื้อที่มีมันไม่อร่อย” เสียงออดอ้อนของซูเสี่ยวเถียนดังขึ้น

เหลียงซิ่วมองลูกสาวก่อนจะยิ้ม “ยังเด็กจริง ๆ ส่วนที่เป็นเนื้อ ๆ ไม่มีน้ำมันหรอกนะ”

ไม่มีน้ำมันแล้วจะเอาสารอาหารที่ไหนไปบำรุง

ซูเสี่ยวเถียนตกตะลึง สารอาหารบำรุงของเนื้อติดมันกับเนื้อไม่ติดมันไม่ได้แตกต่างกันมากหรือเปล่า?

จากนั้นเธอก็จำได้ว่า คนในวัยนี้มักขาดน้ำมัน คนเลยเชื่อมั่นว่าเนื้อติดมันเป็นของดี

“แม่คะ ที่หนูพูดถูกแล้ว ทำโจ๊กเนื้อแต่ใส่มันหมูมันกินไม่ได้หรอก” ซูเสี่ยวเถียนว่า “หน้าโจ๊กจะมีชั้นน้ำมันอยู่ ไม่มีใครกินได้หรอกค่ะ”

ทุกคนหัวเราะเมื่อได้ยินอย่างนั้น ขนาดนั้นเลยหรือ?

“เอาเนื้อติดมันไปผัด ส่วนเนื้อไม่ติดมันนำไปทำโจ๊ก ผัดฉ่ำ ๆ แล้วเอาไปให้ปู่หลานบ้านฉือนะ”

ตอนที่พวกเขากำลังสนทนา หลี่จู้จื่อก็เข้ามา

ในมือของเขาถือไก่เอาไว้ มองคนในห้องด้วยสายตาค่อนข้างชั่งใจ

“จู้จื่อ คุณเอาไก่มาทำไม?” หวังเซียงฮวารีบถาม

“ที่บ้านผมมีไก่ตัวเดียว ไม่สะดวกเลี้ยงครับ เลยคิดจะใช้ประโยชน์ด้วยการให้บ้านคุณช่วยเลี้ยงหน่อย ผมได้ยินน้องสี่บอกว่าที่บ้านไก่ออกไข่เยอะมาก” หลี่จู้จื่อกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย

ทุกคนเข้าใจความหมายของหลี่จู้จื่อ เพราะไม่ให้ฆ่าก็เลยเอาไก่มาให้ทั้งตัวเพื่อที่คุณย่าจะได้กินไข่ได้มากขึ้น

หลี่จู้จื่อเป็นคนกตัญญูคนหนึ่ง

แค่น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตอนแรกยังจำได้ถึงตอนนี้

“จู้จื่อส่งมาแล้วก็รับไว้เถอะ” คุณปู่ซูพูดขณะจับเครา

หลี่จู้จื่ออยู่ตัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย สถานการณ์ที่บ้านไม่ต้องดูแลอะไรมากเลยยังดีอยู่

ตอนนั้นเองที่ซูเสี่ยวเถียนยังจำการรักษาโรคเรื้อนบนหัวหลี่จู้จื่อได้ จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณลุงจู้จื่อ หนูถามหมอหลี่เมื่อสองวันก่อนว่ามีสมุนไพรกี่ชนิดที่จะสามารถรักษาแผลบนหัวของลุงได้ อยากลองไหมคะ?”

ฟังจบก็ลูบหัวตัวเองแล้วตอบ “ช่างมันเถิด ถ้ามีวิธีจริง ๆ คงไม่รอจนถึงตอนนี้หรอก”

แต่เมื่อคุณย่าซูได้ยินสิ่งที่หลานสาวตัวเองพูดกลับรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นความจริง

“จู้จื่อ ลองฟังที่เสี่ยวเถียนพูดดูนะ เสียเงินไม่เท่าไรหรอก”

“ใช่แล้วค่ะ ลุงจู้จื่อ ใช้สมุนไพรไม่กี่อย่างต้มน้ำใช้สระผมทุกวัน เปลืองฟืนกับไฟนิดหน่อยค่ะ”

“ถ้ามันลำบาก เอามาให้ฉันต้มได้นะ” เหลียงซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลี่จู้จื่อมีเรื้อนบนหัวตั้งแต่เด็กจึงถูกเยาะเย้ยมาหลายปีแล้ว ที่เมื่อครู่ปฏิเสธก็เพราะว่ากลัวจะผิดหวังอีก

พอคนบ้านซูชักชวนเช่นนี้ ก็คิดว่าไม่เสียหายอะไรที่จะลองสักหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว

“งั้นผมจะลองดูนะครับ ให้ภรรยาพี่สามต้มยาให้ แต่ว่าจะไปเก็บฟืนบนเขามาให้นะครับ”

หลี่จู้จื่อไม่ถนัดกับเรื่องแบบนี้ จึงทำได้เพียงทำตามคำพูดของเหลียงซิ่ว

ณ อำเภอ

บ้านของเฉินจื่ออัน

ซูหม่านซิ่วกำลังทำอาหาร จานหลักเป็นข้าวสองจาน ส่วนกับข้าวคือเต้าหู้ผัดหมู

เธอเป็นคนขยันตั้งแต่เด็ก ทำงานที่บ้านหวังทุกวันไม่หยุดไม่หย่อน ไม่อาจหยุดพักผ่อนได้เลย

หลังจากถูกเฉินจื่ออันพาตัวไป เธอคิดจะตอบแทนน้ำใจ ทุก ๆ วันจึงตอบแทนเขาไม่หยุด

ลานบ้านของเฉินจื่ออันเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ซูหม่านซิ่วเข้ามา

เดิมทีมันเป็นสวนอันแห้งแล้ง แต่หลังจากที่หญิงสาวตั้งใจไถพรวนหน้าดินแล้วปลูกต้นหอมกับผักกาดขาวที่โตง่าย ผ่านไปไม่กี่วันก็เติบโตได้ที่พร้อมกินแล้ว

ดอกไม้ที่หน้าตาบิดเบี้ยวก็ฟื้นกลับมาภายใต้การดูแลของเธอ ทั้งยังจัดชั้นวางดอกไม้อย่างระมัดระวังด้วย

ตรงลานบ้านเดิมที่จะวางกองฟืนไว้ต้นท้อ แต่ซูหม่านซิ่ววางมันไว้อย่างเรียบร้อยตรงมุมของลาน

จากนั้นก็ย้ายโต๊ะหินและเก้าอี้หินซึ่งเดิมทีกองอยู่ตรงมุมมาเช็ดให้สะอาด แล้วตั้งไว้อย่างดี พออากาศดีก็สามารถนั่งใต้ต้นไม้กินข้าวรับลมเย็นได้

ทันทีที่เฉินจื่ออันเดินเข้าไปประตูมา ก็ได้กลิ่นอาหารหอมฉุย

รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก

ไม่แปลกใจเลยที่เขาพูดกันว่า มีผู้หญิงอยู่ในบ้านจะมีชีวิตเช่นนี้นี่เอง

ไม่ใช่แบบนี้หรือ? มันนานเท่าไรแล้วนะ? ตัวเขาเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าพลิกดินแบบนี้

“หัวหน้าเฉินกลับมาแล้ว ล้างมือเสร็จก็กินข้าวได้เลยค่ะ วันนี้กินเต้าหูผัดหมูค่ะ” ซูหม่านซิ่วเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

วันนั้นที่เธอออกจากโรงพยาบาล เดิมทีคิดจะไปตาย แต่ก็ถูกเฉินจื่ออันไล่ตาม

หลังจากนั้นเฉินจื่ออันไม่ถามไถ่ถึงสถานการณ์ของเธออีกเลย แล้วพากลับบ้านตัวเองเท่านั้น

เฉินจื่ออันบอกว่าเขาจากบ้านเกิดมา เพราะที่นั่นไม่สามารถอยู่ได้และต้องคอยพึ่งพาคนอื่นจึงมาที่นี่

อันที่จริงเฉินจื่ออันจัดการเรื่องของซูหม่านซิ่วให้ถูกต้องตามกฎหมาย และให้เธอหางานทำชั่วคราวที่โรงอาหารในอำเภอ

“วันนี้ผมเจอคนรู้จักระหว่างทางด้วย” เฉินจื่ออันพูดกับซูหม่านซิ่วขณะล้างมือ

ซูหม่านซิ่วยิ้ม “ใครหรือคะ?”

“คนจากชุมชนการผลิตหงซิน!”

ตอนที่พูดก็จับจ้องไปที่หญิงสาวข้างกาย

ถึงซูหม่านซิ่วจะไม่ได้บอกว่าเธอมาจากไหน แต่เฉินจื่ออันคิดว่าอีกฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซูจากชุมชนการผลิตหงซิน

เขาจึงให้คนไปสอบถามมา ได้ความว่าบ้านซูมีลูกสาวชื่อซูหม่านซิ่ว ชีวิตก่อนหน้านี้โดนบ้านสามีทารุณจึงโดดน้ำฆ่าตัวตาย เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ช่วยเธอขึ้นมาจากน้ำพอดี

ซูหม่านซิ่วได้ยินคำว่า ‘ชุมชนการผลิตหงซิน’ ก็เผลอทำมีดบาดนิ้ว

“โถ่ ทำไมคุณถึงไม่ระวังขนาดนี้?” พอเห็นซูหม่านซิ่วได้รับบาดเจ็บ เฉินจื่ออันก็รีบจับมือเธอไว้

ซูหม่านซิ่วรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ก่อนจะดึงมือออกจากเกาะกุม “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ไม่ระวังเผลอทำบาดนิดหน่อย”

“ผมจะไปหาผ้าก๊อซมาพันแผลให้” เฉินจื่ออันหน้าแดง วิ่งไปเข้าห้องโดยไม่หันกลับมามอง

ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เกิดความรู้สึกผิดแปลกไปจากเดิมกับผู้หญิงคนนี้ แต่เขารู้แน่ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ถึงซูหม่านซิ่วจะโดดน้ำ แต่เธอยังไม่ตายและยังเป็นภรรยาของบ้านหวัง เป็นภรรยาของไอ้หมาหวัง

ซูหม่านซิ่วยังเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เขาไม่ควรคิดไปในทางอื่น