บทที่ 94 คำขอร้องของฝ่าบาท

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ขันทีซุนที่อยู่เคียงข้างและคอยรับใช้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมานานหลายปีไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เขากำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น และเอื้อมไปซับเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดขึ้นบนหน้าผากของตนเองอย่างต่อเนื่อง

เขาคิดในใจว่า [ฝ่าบาท ฝ่าบาทห้ามพูดจายั่วโมโหอดีตฮ่องเต้เด็ดขาดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นแล้ว หากอดีตฮ่องเต้โกรธเคืองขึ้นมา ก็อาจทำเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น แล้วเขาก็จะต้องสั่งฆ่าทุกคนที่รู้เห็นเรื่องราวทิ้งอย่างแน่นอน… และคนที่โชคร้ายเหล่านั้น ก็คือบ่าวรับใช้อย่างพวกกระหม่อมนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ…]

“ก่อนหน้านี้ ท่านสัญญาอะไรไว้เล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอ้าปากหาวราวกับไม่มีใครอยู่รอบข้าง ก่อนจะหมุนตัว เหยียดแขนออกอย่างสุขุมและผ่อนคลาย ท่าทีของเขายังคงเฉยเมยและสง่างามเหมือนเช่นเคย

เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น อดีตฮ่องเต้ก็กัดฟันกรอดอย่างฉุนเฉียว “ใช่ ตอนนั้น ข้าสัญญากับเจ้าไว้ ตราบใดที่เจ้าเต็มใจจะเลือกพระชายาเอง เจ้าสามารถเลือกใครก็ได้…”

“ดีแล้วที่เสด็จปู่จำสัญญาของตัวเองได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองอย่างไม่ยี่หระ น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย และคำพูดนั้นก็ฟังดูยโสโอหัง “ตอนนี้ ข้าคิดว่าเสด็จปู่กำลังจะกลับคำพูดของตัวเองอีกครั้ง”

ขันทีซุนคิดในใจ […อมิตาพุทธ ขอพระพุทธองค์ทรงช่วยพวกเราด้วยเถิด องค์ชายสาม ท่านช่วยพูดให้น้อยลงสักสองสามคำได้หรือไม่ โอ้ บรรพบุรุษทั้งหลาย โอ้ สวรรค์ เขาไม่เห็นหรือว่าอดีตฮ่องเต้กำลังโกรธเคืองจนหนวดเคราของเขาชี้ไปจนถึงปลายเคราแล้ว แล้วท่านยังกล้าพูดเช่นนั้นอีก โอ๊ย]

อดีตฮ่องเต้บีบถ้วยชาในมือแน่น เขาโกรธเคืองอย่างมากจนคิ้วขาวของเขาผูกเป็นปม “เจ้า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเลือก.. แค่กๆ บอกข้ามาทีสิว่าทำไมเจ้าถึงต้องการเลือกเฮ่อเหลียนเวยเวย”

“นางชนะการทดสอบของสำนัก นี่เป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลงของพวกเรา หลานก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหมือนกัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดอย่างไร้อารมณ์ราวกับว่าเขาเพียงแค่พูดข้อเท็จจริงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงนี้ อดีตฮ่องเต้ก็ถึงกับหลุดคำสบถออกมา

[เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นเช่นนั้นหรือ แล้วในปีนั้น เจ้าใช้ข้ออ้างและเหตุผลตั้งกี่ข้อเพื่อหลบหนีจากงานคัดเลือกพระชายาที่ข้าได้จัดเตรียมไว้แล้ว]

[ตอนนี้ เจ้าบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่น เจ้าเป็นคนที่ยอมอยู่ภายใต้การตัดสินใจของคนอื่นเช่นนั้นหรือ]

อดีตฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึก เดิมที เขาพยายามจะควบคุมระดับเสียงของตนเอง แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาต้องการนัก “เจ้ารู้อยู่แล้วหรือว่านางจะชนะ”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเริ่มทำตัวสุภาพมากขึ้น และไว้หน้าอดีตฮ่องเต้เล็กน้อย ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ตอบกลับทันที แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็เปิดปากพูดอย่างสุขุมว่า “ข้าคิดไว้แล้ว”

ถ้าเช่นนั้น เขาก็รู้อยู่ก่อนแล้ว อดีตฮ่องเต้กัดฟัน และส่งเสียงดัง “เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เป็นคนที่มีทั้งความสามารถและจิตใจที่เมตตา นางอาจจะมีร่างหงส์ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายของนางก็เป็นได้ แต่เจ้ากลับยืนกรานที่จะเลือกหญิงสกปรกคนนั้น ทำไมเจ้าถึงต้องการเลือกนาง แทนที่จะเป็นคนอื่นล่ะ”

“นางน่าสนใจกว่า” แม้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต้องเผชิญหน้ากับอดีตฮ่องเต้ที่กำลังฉุนเฉียวอย่างมาก แต่ท่าทีของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เขายังยืนสะบัดนิ้วอยู่เฉยๆ ราวกับต้องการสะบัดละอองเกสรดอกไม้ออกจากปลายนิ้วของตนเองก็ไม่ปาน แต่เมื่อเขานึกถึงตอนที่ยัยจิ้งจอกผู้ไม่เกรงกลัวอะไรคนนั้นล้อเลียนเขาอยู่ในขณะนี้ แววตาของเขาก็เผยให้เห็นประกายของความเยือกเย็นในชั่วพริบตา

ขันทีซุนถึงกับตกตะลึง มันเป็นเพราะเหตุนี้เองหรือ

[ด้วยเหตุนี้ ถึงทำให้องค์ชายสามต้องโต้เถียงกับอดีตฮ่องเต้หัวชนฝาเช่นนี้]

[โอ้ ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าท่านกำลังต่อต้านอดีตฮ่องเต้อยู่หรอกหรือ ไม่ใช่ว่าท่านกำลังแสดงท่าทีไม่พอใจต่ออดีตฮ่องเต้หรืออย่างไรกัน]

แน่อนว่า อดีตฮ่องเต้ไม่สามารถระงับโทสะของตนเองได้อีกต่อไป และออกคำสั่งทันที “ดี ดีมาก ‘น่าสนใจ’ เช่นนั้นหรือ ใครก็ได้ เข้ามา แล้วพาตัวเขาออกไป ข้าอยากจะเห็นนักว่าหากเขาต้องถูกขังเป็นเวลาสามวันสามคืน แล้วเขาจะยังคิดว่าผู้หญิงคนนั้น ‘น่าสนใจ’ อยู่อีกหรือไม่”

ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างก็ตกตะลึง เป็นที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่องค์ชายสามเป็นทารกจนเติบโตมา อดีตฮ่องเต้ไม่เคยลงโทษองค์ชายสามเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้ อดีตฮ่องเต้กลับใจแข็งขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง และยังมุ่งมั่นที่จะขังองค์ชายสามไว้ในห้องขังอย่างโหดเหี้ยมอีกด้วย

บ่าวรับใช้ที่อยู่ทั้งซ้ายและขวาต่างมองหน้ากัน แต่ไม่กล้าก้าวเท้าไปข้างหน้า

พวกเขาไม่ได้กลัวว่าจะถูกลงโทษ แต่พวกเขากลัวว่าหากทำเช่นนี้แล้ว อดีตฮ่องเต้จะรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเองในภายหลัง

ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องก็เริ่มเย็นยะเยือกถึงขีดสุด

ไม่มีใครคิดว่าอดีตฮ่องเต้จะพูดจารุนแรงถึงเพียงนี้

แม้แต่เงาทมิฬก็ยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล จนเขาไม่สามารถที่จะเงยหน้าขึ้นมาได้เลย

ถ้าเขาไม่รู้ว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ คุณหนูเฮ่อเหลียนทำอะไรมาบ้าง เขาก็คงคิดว่านายท่านของเขามีความรู้สึกบางอย่างต่อนาง แต่หลังจากที่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว บางที นายท่านของเขาอาจจะไม่สามารถยกโทษที่เขาถูกจุมพิตอย่างไม่ตั้งใจ และโยนเงินยี่สิบเหรียญให้เขาเช่นนั้นได้

“ทำไมพวกเจ้าถึงยังยืนเฉยกันอยู่อีก” อดีตฮ่องเต้ที่กำลังโกรธเคืองลุกขึ้นยืน และปัดถ้วยชาแตกกระจาย

ขันทีซุนตกใจกับเสียงนั้นจนตัวสั่น ก่อนจะรีบหันไปมองนายท่านของตนเอง

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

อดีตฮ่องเต้ไม่มีทางคุมขังเขาได้ ดังนั้น เขาจึงหันหน้าไปทางตู๋ซูเฟิงที่อยู่ด้านข้าง และส่งสัญญาณให้ผ่านการขยิบตา

ตู๋ซูเฟิงกลั้นยิ้มอยู่นาน ก่อนจะกระแอมเบาๆ สองครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทควรสงบสติอารมณ์ลงก่อนพ่ะย่ะค่ะ การแข่งขันประลองยุทธ์ครั้งใหญ่กำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ คนที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นพระชายาก็จะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในตอนนั้นด้วย ส่วนองค์ชายสาม ก็ปล่อยให้เขาอยู่ที่สำนักไท่ไป๋ต่อไป นั่นก็เป็นการลงโทษที่เขาสมควรจะได้รับแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่มีใครรู้ว่าอดีตฮ่องเต้รับฟังตู๋ซูเฟิงตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความโกรธเคืองของเขาค่อยๆ บรรเทาลง “ทำตามที่เจ้าพูด ปล่อยให้เขาอยู่ที่สำนักไท่ไป๋และไม่ต้องกลับมาอีก ผู้เฒ่าคนนี้จะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าน้ำแข็งนั่น และจะได้ไม่ต้องอารมณ์เสียอีก”

หลังจากตรัสจบแล้ว อดีตฮ่องเต้ก็ปัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ก่อนจะหยุดฝีเท้าลง จากนั้นจึงหันศีรษะกลับมา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนและก้องกังวาน “เจ้าเด็กตัวเหม็นนั่นเลือกอาหารของเขาได้แย่มาก เจ้าควรดูแลเขาให้ดีกว่านี้ และหากเขาไม่อยากเข้าชั้นเรียน เจ้าก็ไม่ต้องบังคับเขา แค่นั้น เข้าใจหรือไม่”

หลังจากพูดอย่างตรงไปตรงมา เขาก็ทนไม่ได้ที่จะเดินจากไป

ตู๋ซูเฟิงยิ้มอย่างสุภาพและสำรวม “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบดี”

“แล้วตอนนี้เขายังอยู่ในหอสามัญหรือ” อดีตฮ่องเต้นึกถึงเรื่องนี้ และตรัสถามอีกครั้ง

มุมปากของตู๋ซูเฟิงกระตุก หลานชายของฝ่าบาทยังคงยืนอยู่ข้างๆ ฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทไม่ถามเขาเอง กลับยืนกรานที่จะพูดคุยกันทางอ้อมเช่นนี้

“พ่ะย่ะค่ะ เขายังอยู่ในหอสามัญ”

อดีตฮ่องเต้ถอนหายใจยาว “เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เป็นความผิดของข้าเอง ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เพลิงไหม้ในครั้งนั้น… ช่างเถอะ ปล่อยให้เขาเลือกคนที่เขาต้องการก็แล้วกัน”

ตู๋ซูเฟิงยิ้มอีกครั้ง และตอบรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าอดีตฮ่องเต้เลี้ยงดูองค์ชายสามมาอย่างประคบประหงมและตามใจอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม การดูแลเอาใจใส่นี้ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เขาไม่เคยพูดกับใครเลย หากตอนนนั้น อดีตฮ่องเต้ไม่ใจร้อนเกินไป จนรีบป่าวประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าร่างกายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเชื่อมต่อกับธาตุทั้งสามชนิด คนจำนวนมากก็คงจะไม่เข้ามาหาผลประโยชน์เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และวางแผนชั่วร้ายกับเขาที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับปราณไปได้แค่หนึ่งขั้นเท่านั้น

ในปีนั้น หลานชายสุดที่รักของเขาไม่เพียงแค่สูญเสียพลังปราณของตนเองเท่านั้น

แต่เขายังสูญเสียความศรัทธาที่มีต่อมนุษย์อีกด้วย

นับตั้งแต่ที่ท่านแม่ของเขาสิ้นพระชนม์ เขาและเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ต้องพึ่งพากันเพื่อความอยู่รอด

แต่ใครจะไปคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะสมรู้ร่วมคิดกับคนนอก เพียงเพื่อต้องการจะไต่เต้าไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น และในช่วงเวลาที่เขาระมัดระวังตัวน้อยที่สุด นางก็นำหมาป่าเข้ามาในวัง และจุดไฟเผา

ทำให้หลานชายที่เขารักเกือบเสียชีวิต

ตั้งแต่นั้นมา หลานชายอันเป็นที่รักของเขาก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงคนใดอีกเลย

เขาคงจะหวาดกลัวจริงๆ เฮ้อ

ในช่วงเวลานั้น หลานชายของเขาแทบจะไม่ก้าวเท้าออกนอกประตูเลยด้วยซ้ำ

ภายหลังจากที่เขาถูกเพลิงไหม้ เขาก็แสดงออกถึงความเฉยเมย และมักจะตอบสนองต่อทุกสิ่งอย่างไม่แยแสด้วยท่าทีเรียบเฉย

แต่ในฐานะที่อดีตฮ่องเต้เป็นปู่ของเขา จึงเข้าใจอีกฝ่ายได้ดีกว่าใคร และรู้ดีว่าเหตุการณ์นั้นจะต้องฝังลึกอยู่ในใจของหลานชาย และมันก็ไม่สามารถลบออกจากหัวใจของเขาได้อย่างง่ายดาย…