บทที่ 91 ความจริงโหดร้ายเช่นนั้น

“เจ้าตามหาข้าหรือ?”

สำหรับมู่ฉือแล้ว ตำหนักองค์รัชทายาทของซวนหยวนเช่อนั้นเขาคุ้นเคยนัก คืนนี้เขาจะพักที่นี่ ดังนั้นเมื่อผ่านทหารหน้าทางเข้ามาได้ ก็ตรงมาที่นี่โดยเร็ว

เขาอยู่ในชุดคลุมยาวสีงาช้าง สองมือไพล่หลัง ดูท่าทางแตกต่างจากองค์รัชทายาทผู้สูงส่งไม่แยแสสิ่งใดในยามปกติ วันนี้เขาอยู่ในตำหนักของตนเอง สวมชุดเรียบง่ายชุดหนึ่ง ดังนั้นจึงดูน่าเข้าหากว่าเดิมมาก

ซวนหยวนเช่อเห็นชายหนุ่มทิ้งร่างลงในห้องนั่งเล่นราวกับในร่างไร้กระดูก นัยน์ตาส่องประกายเล็กน้อย โยนเหล้าขวดงดงามขวดหนึ่งไปทางเขา ชายหนุ่มโผขึ้นรับขวดเหล้าราวกับปลาคาร์ปโผจากน้ำ จากนั้นถือไว้ใต้จมูก สูดดมกลิ่นคราหนึ่งตางดงามก็ส่องประกาย “เหล้าดียิ่ง! บ่มมาอย่างน้อยห้าสิบปีสินะ! เจ้าไปได้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้มาจากไหนกัน?”

มู่ฉือนั้นชื่นชอบการร่ำสุรานัก แม้จะมีอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีแต่ก็คอแข็งมาก พันจอกไม่ล้ม ดูแล้วหลายปีที่ผ่านมาก็ยังคงดื่มเหล้าต่างน้ำ

“เป็นของขวัญจากสหายเมื่อหลายปีก่อน ข้าเก็บไว้นานแล้ว” ซวนหยวนเช่อเอ่ยเสียงนุ่ม

มู่ฉือได้ยินดังนั้นนัยน์ตาพลันเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เช่นนั้นก็ดี มีเหล้าดีเช่นนี้กลับไม่นำออกมาแบ่งข้า เก็บไว้กับตน เจ้ายังเรียกตัวเองว่าพี่ชายได้เต็มปากอยู่อีกหรือ?”

ชายหนุ่มทำท่าทางราวกับตนถูกหลอกลวง ซวนหยวนเช่อเหลือบมองเขาเล็กน้อย กล่าวเพียง “เหล้านี่….. ข้าเก็บไว้ให้เจ้า แต่ตอนจะนำออกมาแบ่งเจ้า เจ้าก็หายตัวไปแล้ว”

หายไปไม่มีคำลาสักคำ

มู่ฉือชะงักไป หลุบตาลงต่ำยิ้มกับตนเอง เขาเปิดจุกเหล้าออกไม่พูดอะไร กลิ่นหอมของเหล้าหนักหน่วงสายหนึ่งส่งกลิ่นหอมตลบไปทั้งห้อง

“อืม… เหล้าดีจริง” มู่ฉือเอ่ยชื่นชม จากนั้นหยิบถ้วยเหล้าสองถ้วยแล้วรินเหล้าใส่ “ลองไหม?”

ซวนหยวนเช่อเดินมานั่งลง มองชายหนุ่มตรงหน้ากระดกเหล้าหมดจอก ส่วนเขาทำเพียงหรี่ตาลงแล้วจิบเหล้าเข้าไปอึกหนึ่งเท่านั้น

มู่ฉือเห็นแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เจ้ายังคงคอยยั้งตนดังเดิม แต่เทียบกับในอดีตที่เจ้าไม่ยอมดื่มสักหยดแล้วก็พัฒนาขึ้นเล็กน้อย”

“อาฉือ เจ้ารู้เรื่องที่ข้าอยากถามดี” ซวนหยวนเช่อวางจอกเหล้าลง เอ่ยเสียงนุ่ม

มู่ฉือส่ายหัว รินเหล้าให้ตนอีกจอกหนึ่ง “เรื่องผ่านไปแล้ว เหตุใดเจ้ายังกังวลใจอยู่อีก? ข้าปล่อยวางเรื่องนี้ไปนานแล้ว” ในตอนที่กำลังจะยกจอกเหล้าขึ้น มือหนึ่งก็จับแขนเขาไว้

“ปล่อยวางหรือ? เจ้าปล่อยวางได้จริงหรือ?” ซวนหยวนเช่อรู้ว่ามู่ฉือคิดจะทำอย่างคราก่อน ๆ หนีปัญหายามเมื่อถูกพูดถึง

“หากเจ้าปล่อยวางได้จริง เหตุใดจึงห่างเหินกับข้านัก?” ซวนหยวนเช่อเอ่ย มุมปากโค้งขึ้น น้ำเสียงราวกับยิ้มเยาะ “เจ้ารู้หรือไม่ในอดีตเจ้าเป็นอย่างไร? เจ้าเป็นคนที่ความรู้สึกเขียนบนใบหน้า ไม่ว่าจะสุข เศร้า หรือยินดี ยามเจ้าโกรธเจ้าก็มาเล่าให้ข้าฟัง แต่ตอนนี้เจ้าทำตัวเยี่ยงพวกคนเสแสร้งเหล่านั้น มีเพียงยิ้มไร้ความจริงใจประดับหน้า”

มู่ฉือชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้ม “แล้วไม่ดีหรือ? ข้าในอดีตทั้งยังเด็กและใจร้อน ตัดสินใจสิ่งใดไม่คิดให้รอบคอบ”

“ตอนนั้น….. เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ซวนหยวนเช่อกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาอยากรู้ว่าหลังจากที่ตนกลับมาจากการประลองสำนักละอองหมอกในครั้งนั้น เหตุการณ์พลิกผันที่จุดใดจึงทำให้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ได้

มารดาของอาฉือคือสนมเอกที่เป็นที่เคารพที่สุด มีอำนาจรองจากฮองเฮา เหตุใดจึงมีคนพบว่านางจบชีวิตตนในตำหนักตนเอง?

แล้วเหตุใดเสด็จพ่อของพวกเรา จึงลงมืออย่างหนักกับอาฉือที่อายุยังไม่ถึงสิบขวดปีดีเช่นนั้น?

เด็กตัวเล็กขนาดนั้นแต่กลับถูกโบยถึงห้าสิบครั้ง แส้โบยนั้นเต็มไปด้วยหนามมากมาย ทุกครั้งที่ฟาดลงบนร่างหนามเหล่านั้นก็จะทิ่มแทงเนื้อหนัง อาฉือเอาชีวิตรอดจากการลงโทษสาหัสเช่นนั้นได้อย่างไร?!

เขาจำได้เพียงว่าเมื่อตอนนั้นที่กลับมาถึงวัง ก็เห็นรอยเลือดสด ๆ ลากยาวตั้งแต่ท้องพระโรงไปไกล ใช้เวลานานพอสมควร กว่าเหล่าข้ารับใช้จะเช็ดรอยเลือดบนพื้นหมด

ภาพนั้นทำให้เขาตกใจยิ่ง ไม่รู้ว่าอาฉือเสียเลือดไปเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าเลือดเหล่านั้นเป็นของอาฉือ พี่น้องที่เขาใส่ใจมากที่สุด

เขาได้ยินมาจากคนในวังว่าองค์ชายหกออกจากวังไปทันทีหลังได้รับบทลงโทษ

เด็กตัวเล็กคนหนึ่งพยายามเยื้องย่างออกไปแต่ก้าวด้วยความเจ็บปวด เขามุ่งหน้าเดินออกไปจากวังหลวง อาจเพราะบาดแผลฉกรรจ์ที่ได้รับจึงทำให้ร่างเล็กซวนเซไปมาแล้วล้มลงหลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง แต่เขาก็ยืนหยัด ยันตนเองลุกขึ้นเดินต่อ สุดท้ายกว่าจะออกไปถึงหน้าประตูวังก็แทบคลานออกไปอยู่แล้ว

เขาเพียงได้ยินแต่กลับนึกภาพออกได้อย่างเด่นชัด อาฉือต้องรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสเท่าไหร่กัน? ในใจต้องรู้สึกเช่นไรที่ต้องจากสถานที่ที่ตนเติบโตมาตั้งแต่เยาว์วัย?

เพียงข้ามคืน ท่านแม่ที่รักเขาที่สุดกลับสิ้นใจ กระทั่งเสด็จพ่อก็ทอดทิ้งเขาไป

ทุกครั้งที่ซวนหยวนเช่อนึกถึงสิ่งที่มู่ฉือต้องเผชิญ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดลึกไปถึงกระดูก

มู่ฉือเหลือบมองใบหน้าโศกเศร้าเคร่งขรึมของซวนหยวนเช่อ นัยน์ตาพลันเลี่ยนเป็นจริงจัง เวลาผ่านไปนานเขาจึงพลักมือของซวนหยวนเช่อออก จากนั้นยกเหล้าขึ้นซดแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าให้ข้ามาถึงที่นี่เพื่อถามเรื่องนี้เท่านั้นเองหรือ? เรื่องผ่านไปสิบปีแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังต้องการรื้อฟื้นเรื่องเก่าเช่นนั้นขึ้นมาอีก? พวกเราก็ยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันดังเดิมไม่ใช่หรือ?”

“เจ้าโกหก” ซวนหยวนเช่อนัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “เจ้าเกลียดข้าใช่หรือไม่?”

เขายังไม่ลืมครั้งสุดท้ายที่เจอกัน นัยน์ตาของมู่ฉือที่มักจะเจือแววยิ้มอยู่ตลอดกลับเต็มไปด้วยแววสังหารดุดัน แม้แววตานั้นจะแปรเปลี่ยนไปในพลัน แต่เขาก็ยังจับสัมผัสนั้นได้

อาจเพราะทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานาน เขาใส่ใจมู่ฉือมาก ซวนหยวนเช่อยังจำนัยน์ตาของมู่ฉือในวันนั้นได้ดี

พวกเขาเคยสนิทสนมกันมาก ภายในวังหลวงที่ยิ่งใหญ่กว้างขวางแห่งนี้ มีองค์หญิงองค์ชายอยู่มากมาย มีเพียงพวกเขาที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างถูกคอ อีกทั้งระหว่างคนทั้งสองยังมีสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่ดีต่อกัน

ปริศนาดำมืดนี้กวนใจซวนหยวนเช่อมานานหลายปี ทุกวันนี้ยังคงเป็นปมในใจที่ไม่มีวันคลาย

“พี่ เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” มู่ฉือเอ่ยเสียงเบา “ครั้งนี้เป็นเพราะเจ้าเชิญมาข้าถึงเข้ามาเหยียบที่นี่อีกครั้ง แต่ครั้งหน้าไม่มีเช่นนี้อีกแน่”

“เพราะเหตุใดเสด็จพ่อจึงโกรธเกรี้ยวถึงขนาดสั่งปลดฐานะราชวงศ์เจ้าได้ อีกทั้งท่านแม่เจ้า…..”

“ซวนหยวนเช่อ ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องถาม เจ้าไม่เข้าใจหรือ?”

ในที่สุดบนใบหน้าชายหนุ่มก็ไม่เหลือรอยยิ้มไม่แยแสอีกต่อไป น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเย็นยะเยือก นัยน์ตาที่จ้องไปทางซวนหยวนเช่อเย็นชานัก

“จนกว่าเจ้าจะบอกข้า” ซวนหยวนเช่อขมวดคิ้วตอบเสียงมั่นคง

เขาไม่อยากให้มีกำแพงกันระหว่างคนทั้งสองไปตลอด ไม่ต้องการให้มู่ฉือตีหน้าหลอกลวงและมีรอยยิ้มประดับกับเขาเช่นนั้นอีก

มู่ฉือเงียบไปนาน แต่ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้น ร่างผอมสูงของเขาเหยียดตรง บรรยากาศรอบกายดูกดดันขึ้นในพลัน

“เจ้าอยากรู้สิ่งใด?” ชายหนุ่มเยี่ยมหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากสีแดงเผยออกเล็กน้อย “เหตุใดท่านแม่ข้าจึงปลิดชีวิตตนเองน่ะหรือ? ก็เพราะเรื่องฉาวโฉ่ของนางถูกคนพบอย่างไร สนมเอกแห่งแคว้นไม่อาจทนความโดดเดี่ยวระหว่างตั้งครรภ์ไหว ดังนั้นจึงไปมีความสัมพันธ์กับบุรุษอื่น สุดท้ายก็แท้งน่ะหรือ? เพื่อไม่ให้ซวนหยวนอ้าวเจ้าแห่งแคว้นต้องอับอาย นอกจากพาร่างที่ถูกลงโทษจนสาหัสของตนไปปลิดชีพด้วยตนเองแล้ว เจ้าคิดว่ายังมีทางลงใดที่ดีกว่านี้ได้อีกหรือ?”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ซวนหยวนเช่อเบิกตากว้างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “สนมเอกจะ…..”

สตรีผู้สูงส่งและงดงามผู้นั้นมีตำแหน่งยศสูงนัก อีกทั้งในครรภ์ยังมีทายาทบัลลังก์มังกรอยู่ ซึ่งนับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง นางสมควรจะปกป้องเด็กในครรภ์อย่างถึงที่สุด เหตุใดจึงนำตนเองไปเกี่ยวพันกับเรื่องน่าอับอายเช่นคบชู้เช่นนี้ได้? ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นแน่!

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตาไม่อยากเชื่อคำตน มู่ฉือก็เหยียดรอยยิ้มเยาะ “เจ้าถามว่าเหตุใดฐานะทายาทบัลลังก์ของข้าจึงถูกปลดไปใช่หรือไม่? หึ! แน่นอนว่าองค์ฮ่องเต้ผู้สูงส่งในตอนนั้นย่อมคิดว่าในเมื่อท่านแม่ข้ากล้าทำเรื่องเช่นนั้นลง ไม่แน่ว่าข้าก็อาจเป็นลูกบุรุษอื่นไม่ใช่ลูกของเขาก็เป็นได้! ไม่ว่าท่านตาที่สูงวัยของข้าจะคุกเข่าอยู่หน้าท้องพระโรง ร้องขอความเมตตาให้ละเว้นข้าสักเท่าไหร่ คนผู้นั้นก็ไม่สนใจ กระทั่งปฏิเสธการหยดเลือดพิสูจน์ว่าเลือดของข้ากับเขาจะเข้ากันหรือไม่”

เมื่อพูดถึงตรงนี้มู่ฉือก็หัวเราะเสียงดังออกมา ใบหน้ายื่นเข้าใกล้เรื่อย ๆ ใกล้จนซวนหยวนเช่อเห็นเงาสะท้อนตนในนัยน์ตาใสกระจ่างของอีกฝ่าย ลมหายใจของมู่ฉือปัดผ่านใบหน้าซวนหยวนเช่อเล็กน้อย

“ข้าเกลียดเจ้านั้นพูดได้ถูกต้องแล้ว มีหลายครั้งหลายคราที่ข้าเกือบคุมตนเองไม่อยู่แล้วอยากสังหารเจ้า”

นัยน์ตาของชายหนุ่มนั้นใสกระจ่างราวกับจะเอ่ยคำใดได้แปรเปลี่ยนเป็นเจือแววสังหารในพริบตา

“เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของมารดาเจ้า ฮองเฮาที่อ่อนโยนมีคุณธรรมผู้นั้น” มู่ฉือเอ่ย กล่าวเน้นย้ำคำทุกคำอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเยาะเย้ยถากถาง “ที่น่าขันคือท่านแม่ปฏิบัติกับนางราวกับพี่สาวน้องสาวมานานหลายปี แต่เมื่อหมอหลวงตรวจว่าในครรภ์ท่านแม่เป็นองค์ชาย อีกทั้งหลาย ๆ คนต่างกล่าวว่าข้าเป็นผู้ที่มีความสามารถพอจะเป็นรัชทายาทได้เช่นเดียวกันกับเจ้า นางจึงได้ลงมือเช่นนั้น”

มู่ฉือไม่เพียงเกลียดชังฮองเฮา เขายังเกลียดซวนหยวนเช่อ และที่เกลียดที่สุดคือตนเอง

เขาไม่น่าเผยความสามารถตน ไม่น่าสนิทสนมกับซวนหยวนเช่อ ไม่น่าแข่งขันกับซวนหยวนเช่อไปทุกสิ่งอย่าง ทำให้ฮองเฮาระแวงเขา ดังนั้นจึงทำให้น้องชายของเขาถูกทำร้ายตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาโลก อีกทั้งยังทำร้ายท่านแม่ที่รักเขาสุดหัวใจ

“ข้าไม่เชื่อ!” ซวนหยวนเช่อผลักมู่ฉือออกไปอย่างแรง “ท่านแม่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?”

“หึ แล้วแต่เจ้าว่าจะเชื่อหรือไม่” มู่ฉือเหยียดริมฝีปากตรง “เจ้าคิดว่าสาเหตุที่นางนอนไม่หลับมานานหลายปี จนต้องหันหน้าเข้าพึ่งศาสนาแล้วกินมังสวิรัติไปเป็นเพราะเหตุใดกัน? เป็นเพราะนางเอาชีวิตคนอย่างโหดร้ายไปถึงสองชีวิต หนึ่งคือท่านแม่ข้า สองคือน้องชายข้าที่ยังไม่ทันได้เกิด วิญญาณโศกเศร้าสองดวงคอยวนเวียนหลอกหลอนมารดาของเจ้าให้คืนชีวิตให้พวกเขาอย่างไรเล่า”

“แม้ตระกูลมู่จะเป็นตระกูลนักปรุงยา แต่ในอดีตท่านแม่ไม่เพียงเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ นางยังเป็นอาจารย์วิญญาณ ดังนั้นหากก่อนสิ้นใจนางโศกเศร้าไม่ได้รับความยุติธรรม วิญญาณของนางจะตามหลอกหลอนคนที่เป็นเหตุให้นางต้องสิ้นชีพ” มู่ฉือเอ่ยขึ้นช้า ๆ

เขาจ้องมองซวนหยวนเช่อที่ชะงักค้างไป ราวกับกำลังรับมือกับแรงซัดรุนแรง มู่ฉือเหยียดยิ้มมุมปาก หยิบขวดเหล้าขึ้นมือหนึ่ง จากนั้นแหงนหน้าเทเหล้าลงคอจนหมด ใช้แขนเสื้อปาดเหล้าที่ไหลออกจากมุมปากอย่างไม่ใส่ใจผู้ใดแล้วเดินออกไปไม่หันหลังกลับมาอีก

เมื่อเดินออกไปด้านนอก ฝีเท้าก็ชะงักลง จากนั้นเอ่ยเสียงเย็นชาออกมา “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวพันกับเจ้า แต่เรื่องในตอนนั้นข้าไม่มีวันลืม ดังนั้นซวนหยวนเช่อ เดิมทีข้าไม่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แต่ในเมื่อเอ่ยออกมาแล้ว เช่นนั้น พวกเรา….. คงไม่อาจเป็นพี่น้องกันได้ ต่อไปก็ปฏิบัติต่อกันเยี่ยงคนแปลกหน้าเถอะ”

พูดจบร่างของชายหนุ่มก็เดินลับหายไป

คนแปลกหน้าหรือ…..

หึ! ฝันไปเถอะ

รอยทะมึนดำมืดพลันเผยขึ้นบนใบหน้าอ่อนโยนสุภาพของชายหนุ่ม จอกเหล้าวิจิตรบรรจงในมือถูกบีบจนแตกละเอียด