“ท่านจะซ่อนตัวจากอะไรหรือเพคะ”
ศีรษะของฉินปู้เข่อเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ขณะที่ซือต๋ารีบห่อหุ้มร่างกายของตนเองด้วยผ้าคลุมสีแดงและวิ่งเข้าไปในห้อง
หมี่โม่หรู่เหลือบมองช่องว่างระหว่างฉากที่กั้นด้านในกับด้านนอกของห้อง และหัวเราะออกมา “เมื่อวานนี้คุณหนูสี่จากตระกูลจานได้ส่งคำขอเชื้อเชิญมาและบอกว่านางจะมาแวะมาวันนี้ ข้าก็เห็นดีงามด้วย”
“คุณหนูจานที่สี่ได้ยินมาว่าซือต๋ากำลังป่วยหนัก นางจึงไปหาเจ้าที่หมิงเทาเยี่ยนเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน แต่ก็ยังไม่ได้เจอหน้าซือต๋า ข้ากลัวว่านางจะเป็นกังวล ข้าคิดว่าเจ้าจะลุกขึ้นมาวันนี้ ก็เลยให้นางมาหาเจ้าที่นี่แทน”
ฉินปู้เข่อกะพริบตา ทำไมนางถึงรู้สึกว่าเวลาเข้าออกของซือต๋านั้นดูเหมือนจะได้รับการตรวจสอบมากเป็นพิเศษ
“พระชายา คุณหนูจานที่สี่มาแล้วเพคะ” ซวงหวนเคาะประตู
จานหานชิวยืนอยู่หน้าประตู ขณะกล่าวคำทักทายกับหมี่โม่หรู่ “ถวายบังคมเพคะ ท่านอ๋อง”
“พวกเจ้าไปคุยกันเถิด ข้าจะออกไปเรียนก่อน” หมี่โม่หรู่พยักหน้าเพื่อตอบรับคำทักทาย เมื่อนางไม่มีท่าทีจะเดินเข้ามา หมี่โม่หรู่จึงเดินออกไป
เมื่อหมี่โม่หรู่จากไปแล้ว จานหานชิวจึงก้าวเข้ามาในห้องและกวาดสายตามองรอบห้องด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านอ๋องอยู่กับเจ้าหรือ?”
“ก็ใช่”
จานหานชิวป้องปากขณะอมยิ้ม หยอกล้อด้วยท่าทางเขินอาย ก่อนจะกล่าวออกไปอย่างอิจฉาว่า “ท่านอ๋องเมตตาเจ้ายิ่งนัก ขนาดพี่ใหญ่แต่งงานเข้าบ้านตระกูลโซวมาหลายปี แต่พี่เขยโซวก็ยังปล่อยให้นางอยู่บ้านลำพัง และหาเวลาไปห้องพี่ใหญ่เดือนละครั้งเท่านั้น”
“ฮ่า ๆ” ฉินปู่เข่อยิ้มเจื่อนออกมา
หมี่โม่หรู่เป็นแค่สายสืบที่ ‘มุ่งมั่น’ จะเสาะหาความลับของนางเท่านั้น เขาจึงจงใจย้ายเข้ามาอยู่กินกับนาง ทุ่มเทอะไรเยี่ยงนี้!
อย่างไรก็ตาม นางไม่อาจเล่าเรื่องข้างในนี้ให้กับคนนอกฟังได้ จานหานชิวจึงเข้าใจผิดและอิจฉาเพียงชั่วคราวเท่านั้น
หลังจากพูดนินทาอีกเล็กน้อย ฉินปู้เข่อก็เหลือบมองไปที่ห้องด้านในและกล่าวว่า “วันนี้เจ้าว่างงั้นหรือ เมื่อเร็ว ๆ นี้คงรู้สึกไม่ค่อยดีสินะ”
จานหานชิวรู้สึกอายเกินกว่าจะพูดถึงหัวข้อหลัก แต่ไม่นานนักนางก็เริ่มพูดเข้าเรื่อง ที่แห่งนี้ยังคงมีใครบางคนซ่อนตัวอยู่ข้างใน และเมื่อจานหานชิวเริ่มพูดถึงประเด็นหลัก ซือต๋าถึงกับคลั่งจนแทบบ้า
แก้มทั้งสองข้างของจานหานชิวกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ และกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องกับคุณชายซือต๋ามีสัมพันธ์อันดีงาม ไม่กี่วันก่อนหน้านี้คุณชายซือต๋าป่วยหนัก ไม่รู้ว่าท่านอ๋องได้ไปเยี่ยมบ้างหรือไม่”
“ซือต๋าป่วยหรือ? ข้าไม่ได้ยินท่านอ๋องพูดอะไรเลย” ฉินปู้เข่อเพิ่มน้ำเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้มั่นใจว่าคนในห้องจะได้ยิน
“เสี่ยวเข่อ ข้ามีเรื่องจะขอร้องน่ะ…” จานหานชิวใจดีสู้เสือ กลัวว่าคำขอร้องดังกล่าวจะถูกปฏิเสธ
“เจ้าต้องการให้ท่านอ๋องพาเจ้าไปจวนซือหรือหมิงเทาเยี่ยนดีล่ะ?” ฉินปู้เข่อถามต่อ
“ไม่ ไม่ใช่ ไม่จำเป็นต้องพาข้าไป…” ใบหน้าของจานหานชิวแดงก่ำและโบกมือพัลวัน
“ไม่มีปัญหา!” ฉินปู้เข่อเห็นดีงามด้วย
ปัง! เสียงของหนักที่ตกลงมากระแทกกับพื้นดังขึ้นภายในห้องชั้นใน
จานหานชิวเอียงคอและหันไปมองบริเวณโดยรอบ “มีใครอยู่ข้างในหรือ?”
“นางกำนัลอาจจะกำลังเก็บตู้เสื้อผ้าอยู่น่ะ เปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรืออะไรสักอย่าง” ฉินปู้เข่อกล่าวอธิบายพร้อมกับรอยยิ้ม “วันนี้อยู่กินอาหารกับข้าก่อนนะ และข้าจะขอให้ท่านอ๋องพาเจ้าไปพบเขาในตอนบ่าย!”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่กังวลเกี่ยวกับอาการของคุณชาย ไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องพาข้าไปที่นั่นหรอก แค่ไปพบเขาและตรวจสอบดูว่าเขายังแข็งแรงดีก็พอ” จานหานชิวกล่าวขึ้น ขณะที่ก้มหน้าลง “ไม่อย่างนั้น ข้าคงฟุ้งซ่าน ไม่เป็นตัวเอง…”
ฉินปู้เข่อกระแอมในลำคอและกล่าวว่า “ไม่เป็นตัวเองหรือ? ในฐานะสหาย ถ้าเจ้าอยากมีตัวตนในสายตาเขาเพิ่มขึ้น บางทีซือต๋าอาจจะทำให้เจ้าพึงพอใจได้นะ”
ปัง! เสียงบางอย่างตกลงมาอีกครั้ง
ทว่าคราวนี้ฉินปู้เข่อตะโกนออกไป “ตอนที่เจ้าทำความสะอาด หัดขยับตัวเบา ๆ บ้าง ไม่อย่างนั้นแขกของข้าคงตกใจหมด หานชิว เจ้าพูดต่อเลยเถิด”
“เสี่ยวเข่อ เจ้าจะพูดอะไร!” จานหานชิวไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวภายในห้องด้านในอีกต่อไป และจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเหม่อลอย “ข้าได้เจอเขาไม่กี่ครั้งเอง ยังไม่ทันได้พูดอะไรจริงจังออกไปด้วยซ้ำ”
จานหานชิวกล่าวขึ้น และระลึกถึงช่วงเวลาที่นางพบเข้ากับซือต๋าในหมิงเทาเยี่ยนเมื่อไม่กี่วันก่อน
ครั้นเมื่อซือต๋าพบกับนางในช่วงเวลาที่ผ่าน เขาทั้งสุภาพและรู้จักวางตัว และในครั้งนั้นเองเขาเปิดปากเอ่ยชมนางหลายต่อหลายครั้ง และนางไม่รู้เลยว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่…
ตอนที่อยู่บ้าน นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินว่าเขากำลังป่วยหนัก และในที่สุดนางก็รวบรวมความกล้าหาญเพื่อไปเยี่ยมเขา ทว่านางกลับถูกปฏิเสธกลับมา และนั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น
“ช่วงบ่ายวันนี้ข้าจะไปหมิงเทาเยี่ยนกับท่านอ๋อง ส่วนเจ้าก็ติดตามพวกเราไปที่นั่นด้วยสิ หากเจ้ามีโอกาสได้พบกับเขา เจ้าก็จะได้ยกหินก้อนใหญ่ในอกออกไปเสียที แต่หากเจ้าไม่มีโอกาสได้พบเขา ก็อย่ากังวลไปเลย เมื่อเขาหายดีแล้ว เขาจะรับรู้ได้เองว่าเจ้าไปเยี่ยมเขา”
ดวงตาของจานหานชิวเป็นประกาย ‘ดีเลย’ เมื่อกล่าวเช่นนั้น ร่องรอยแห่งความกังวลใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “วันนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจเลือกชุดนัก หากข้าต้องไปพบเจอผู้คนในยามบ่าย ข้าจะไม่ดูหยาบคายไปใช่หรือไม่?”
ท่าทางที่วิตกกังวลของหญิงสาวผู้โหยหาความรักทำให้ฉินปู้เข่อไม่เพียงแต่ยกยิ้มที่มุมปาก แต่ยังถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นานจานหานชิวก็ขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำ ซือต๋าจึงรีบออกมาจากห้องด้านใน และตอนนี้ขนดกดำยาวทั่วร่างกายของเขาก็ได้จางหายไปแล้ว
ฉินปู้เข่อส่ายหัวและจ้องมองไปที่เขา “โอ้ คุณชายซือหายป่วยแล้วหรือเพคะ แม่หญิงงามตัวน้อยของหม่อมฉันจะเข้าไปดูใจท่าน ท่านต้องให้นางเข้าพบนะเพคะ”
ซือต๋ารีบออกมาจากห้องที่ใช้ซ่อนตัว ก่อนจะชี้เรียวนิ้วไปทางฉินปู้เข่อด้วยความขุ่นเคือง และรีบวิ่งออกไปก่อนที่หญิงสาวจะออกมาเจอ
หลังจากพักรับประทานอาหารไม่นาน ฉินปู้เข่อก็พาจานหานชิวขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางไปยังหมิงเทาเยี่ยน
นอกจากเทศกาลรวมญาติและงานสำคัญต่าง ๆ ซือต๋ามักจะอาศัยอยู่ห่างจากจวนตระกูลซือเพื่อแสวงหาอิสรภาพ ตอนนี้ฮ่องเต้โม่ก็ชราภาพลงมากแล้ว จึงไม่สามารถออกไปไล่ตามหาเขาข้างนอกได้ เว้นแต่ว่าเข้าบ้านไม่ได้ ถึงจะออกไปตามหาเขา
หลังจากกล่าวทักทายเพียงไม่กี่คำ ฉินปู้เข่อก็สั่งให้ซวงหวนพาจานหานชิวเข้าไป
ทันทีที่จานหานชิวก้าวเข้าไปในห้อง ดวงตาทั้งสองก็สบกัน ก่อนที่ทั้งสองคนจะหน้าแดงระเรื่อ
คนหนึ่งนึกถึงความโง่เขลาที่พูดโอ้อวดโดยไม่ทันคิดในวันนั้น และเกือบจะกลายเป็นผู้มักมากบ้าตัณหาไปเสียแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งกลับวิตกกังวลหลังจากได้รับคำเยินยอ และไม่รู้ว่าหัวใจตนเองต้องการอะไร
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากพาท่านออกไปเดินเล่นเพคะ” ฉินปู้เข่อไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ และหมี่โม่หรู่เองก็รู้จักตลาดเป็นอย่างดี
แต่ทันใดนั้นจานหานชิวก็เดินออกมาพร้อมกับนางกำนัลส่วนตัว พวกนางยังไม่ได้ทันเดินออกมาถึงหน้าปากประตูของหมิงเทาเยี่ยนด้วยซ้ำ ทว่าใบหน้าของนางกลับยังคงแดงก่ำ อีกทั้งท่าทางยังดูผ่อนคลายมากขึ้น
“ทำไมถึงเร็วนักล่ะ” คนสมัยก่อนตกหลุมรักและตกลงดูใจกันรวดเร็วยิ่งนัก ทั้งที่ยังไม่มีเวลาได้เรียกชื่อและจับมือกันด้วยซ้ำ
จานหานชิวนั่งลง “ข้าโล่งใจมากที่รู้ว่าร่างกายของเขาฟื้นตัวแล้ว วันนี้ที่พวกเราได้เจอกันอีกครั้งมันช่างเหมือนกับของขวัญ ขอบคุณนะ เสี่ยวเข่อ”
ฉินปู้เข่อตอบรับคำขอบคุณอย่างจริงใจและยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรหรอก”
หญิงสาวในสมัยโบราณช่างถอดใจง่ายยิ่งนัก การมองดูจากระยะไกลคงจะเพียงพอแล้ว
หากเปรียบเทียบกับคืนแรกที่นางต้องพบกับหมี่โม่หรู่ นางตั้งใจอยากจะจูบเขา แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
เมื่อพวกเขากลับมาที่พระราชวัง ผู้ตรวจตราชั้นในก็ได้รออยู่พระราชวังเรียบร้อยแล้ว
หมี่โม่หรู่และฉินปู้เข่อได้รับรู้สิ่งที่รับแจ้งจากผู้ตรวจตราชั้นในแล้ว และสิบวันถัดไป พวกเขาก็ได้นั่งเกี้ยวพระที่นั่งไปที่วังน้ำพุร้อน
“ว่าแต่ องค์หญิงเก้าไปด้วยไหมเพคะ”
นางไม่ได้เจอหมี่เสวี่ยหลีมานานแล้ว คราวนี้นางจึงสามารถเดินทางไปเยี่ยมเยียนที่พระราชวังได้
ผู้ตรวจตราชั้นในที่ได้รับเหรียญตรามีทัศนคติที่ยอดเยี่ยมมาก “ครั้งนี้องค์หญิงเก้าไม่ได้ไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมหรือ” ฉินปู้เข่อคิดว่าพระสนมชูกุ้ยเฟยผู้เป็นที่โปรดปรานจะมาเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย อีกทั้งหมี่เสวี่ยหลียังเป็นลูกสาวสุดรักสุดหวงแหนของฮ่องเต้ต้าเซี่ย แล้วนางจะไม่มาเข้าร่วมได้อย่างไร?