ตอนที่ 72 การหายตัวไปของพระชายากง (4)

หวนคืนชะตาแค้น

มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นให้กับตัวเองในอดีตที่ผ่านมา

ตนมีตาแต่หามีแววไม่ หลงนึกว่าตัวเองนั้นเคยเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้มาก่อน

คุณ…คุณหนู? อู๋ซินมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย อันที่จริงนางมีอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปีแล้ว ทว่ากำลังแสดงสวมบทบาททำตัวอ่อนกว่าวัย อีกทั้งรอยยิ้มนั่นยิ่งทำให้นางดูเด็กลงไปอีก มองดูแล้วราวกับเด็กไร้เดียงสาที่อายุแค่สิบสามถึงสิบสี่ปีจริงๆ เพียงแต่ความขมขื่นที่ปรากฏบนใบหน้านั่นทำให้อู๋ซินรู้สึกฉงนใจขึ้นมา มู่ชิงอีส่ายหัวแล้วกล่าวว่า รออยู่ข้างนอกเถิด ข้าจะเข้าไปเอง

อู๋ซินพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ มู่ชิงอีเปิดประตูและเดินเข้าไป ภายในห้องเล็กๆ ทั้งมืดและชื้น มีกลิ่นเหม็นเน่าที่ทำให้ผู้คนต้องขมวดคิ้วโชยออกมา ห้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยรั้วเหล็ก จูหมิงเยียนนั่งอยู่บนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยวัชพืช ชุดพระชายาที่สง่างามและสูงส่งของนางดูไม่เข้ากันกับห้องที่มืดมิดและอึมครึมเช่นนี้เอาเสียเลย

ตรงมุมห้องมีตะเกียงน้ำมันที่เปล่งแสงจากเทียนขนาดใหญ่ทำให้ห้องนี้พอมีแสงสลัวอยู่บ้าง เมื่อมู่ชิงอีหยุดอยู่ที่ประตูก็ยังสามารถมองเห็นจูหมิงเยียนได้อย่างชัดเจนภายใต้แสงเทียนสลัวนั่น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจูหมิงเยียนมองกลับมาที่มู่ชิงอี นางมองเห็นเพียงเงาร่างของชายหนุ่มในชุดขาวเท่านั้น

เจ้า…เจ้าเป็นใคร เหตุใดต้องจับข้ามา ช่างบังอาจนัก รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร! จูหมิงเยียนโพล่งออกมาทันทีที่เห็นว่ามีคนเข้ามา แม้ว่าจะไม่มีใครทำร้ายนาง แต่ห้องแห่งนี้ก็ทั้งเล็กและมืดเต็มไปด้วยกลิ่นอับที่ไม่น่าพึงประสงค์ จูหมิงเยียนถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก เกรงว่านางคงไม่เคยต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้มาก่อนในชีวิต

มู่ชิงอีมองไปที่จูหมิงเยียนที่อยู่ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ พลางส่ายหัวและถอนหายใจออกมา

สตรีผู้นี้ไม่ใช่บุตรีแห่งจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องที่ตนเคยรู้จัก คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีเสน่ห์ที่นางพบในตอนนั้น หรือบางทีตนอาจจะไม่เคยรู้จักนางอย่างแท้จริง หรือบางทีนางอาจจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่…ในโลกนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่เปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้แต่ตัวนางเองที่ตายไปแล้วและกลับมามีชีวิตเป็นบุตรีแห่งจวนซู่เฉิงโหว

ข้าย่อมรู้ดีว่าเจ้าคือผิงหนานจวิ้นจู่ พระชายากง มู่ชิงอียิ้มอย่างสบายๆ

เจ้าเป็นใครกัน จูหมิงเยียนเอ่ยอย่างสับสนงุนงง นางไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนแต่นางมั่นใจว่านี่ต้องเป็นเสียงของผู้ที่ยังเยาว์วัย เสียงที่เปล่งออกมานั้นฟังดูยังไม่บรรลุนิติภาวะอยู่เล็กน้อย เจ้าต้องการจะทำอะไร ถ้าเจ้าต้องการเงินทองล่ะก็ ตราบใดที่เจ้ายอมปล่อยข้าไป อยากได้เท่าไรข้าก็จะเอามาให้

มู่ชิงอีหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา พระชายากงเคยเห็นคนลักพาตัวโง่เง่าที่ไหนลักพาตัวพระชายากงมาเพื่อขู่กรรโชกอย่างนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น…ทรัพย์สินเงินทองของกงอ๋องไม่อยู่ในสายตาข้าด้วยซ้ำ!

หัวใจของจูหมิงเยียนหล่นวูบลงทันที ในเมื่อไม่ใช่เพื่อเงินเกรงว่าเขาจะเป็นปฏิปักษ์กับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องหรือไม่ก็จวนกงอ๋อง เจ้าเป็นใครกันแน่

มู่ชิงอีกล่าวอย่างแผ่วเบา แซ่ของข้าคือกู้ กู้หลิวอวิ๋น สมญานามว่าชิง

กู้หลิวอวิ๋น? ข้าไม่รู้จัก… ทันใดนั้นจูหมิงเยียนก็ตาเบิกโพลง จ้องมองไปยังร่างสีขาวในความมืดที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะพูดด้วยความตื่นตระหนก เจ้าคือกู้หลิวอวิ๋น? เป็นไปไม่ได้? กู้หลิวอวิ๋น…กู้หลิวอวิ๋นตายไปนานแล้ว…

จำได้แล้วหรือ มู่ชิงอีเลิกคิ้วและเหยียดยิ้มออกมา พระชายากงมีความทรงจำเป็นเลิศจริงๆ ไม่เสียเปล่าที่พี่สาวของข้าเป็นสหายกับท่าน

เมื่อได้ยินดังนั้น จูหมิงเยียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กู้หลิวอวิ๋นบุตรชายคนที่สองของตระกูลกู้น้องชายของกู้ซิ่วถิงและกู้อวิ๋นเกอ ตอนเด็กเขาป่วยหนักและเสียชีวิตไปด้วยอายุเพียงแปดปี จูหมิงเยียนมองมู่ชิงอีอีกครั้งอย่างหวาดหวั่นและพูดว่า เจ้า…เจ้าคือกู้หลิวอวิ๋นจริงๆ หรือ ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ กู้หลิวอวิ๋นตายไปแล้ว! มู่ชิงอีขมวดคิ้วด้วยความรำคาญใจและพูดเบาๆ ว่า ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น ข้าไม่ใช่ผี

ไม่ว่าจะเป็นคนหรือผี จูหมิงเยียนก็อดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้ ถ้ากู้หลิวอวิ๋นยังไม่ตาย นั่นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะกลับมาเพื่อล้างแค้นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นนี้แล้ว มีหรือที่จะมีจุดจบที่ดีเกิดขึ้น

กู้หลิวอวิ๋น ตระกูลกู้วางแผนจะขายชาติ ความผิดบาปนั้นยกโทษให้ไม่ได้ แม้จะถูกลงโทษไปแล้วเจ้า…ในเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าควรจะไปมีชีวิตที่ดีและทิ้งไว้เพียงควันธูปของตระกูลกู้ เจ้า…เจ้าปล่อยข้าไปเสียเถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกใครว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดจูหมิงเยียนก็สรรหาเหตุผลขึ้นมาเจรจาโดยมีน้ำเสียงที่บางเบา ดูเหมือนจะกำลังเกลี้ยกล่อมชายที่อยู่ตรงหน้า

หึหึ… เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของจูหมิงเยียนภายใต้แสงสลัวแล้ว มู่ชิงอีก็หัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา ภายในห้องที่มืดมิดขนาดเล็กแห่งนี้ เสียงหัวเราะนี้จึงยิ่งเย็นยะเยือกเป็นพิเศษ จูหมิงเยียนจ้องไปที่เขาอย่างระแวดระวังแล้วเอ่ยถามว่า เจ้าหัวเราะอะไร หากเจ้ากล้าทำร้ายข้า ทั้งท่านพ่อและพระสวามีของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน!

มู่ชิงอีจ้องไปยังสตรีที่เห็นได้ชัดว่าแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง จะไม่ปล่อยข้าไปงั้นหรือ ตอนที่พวกเจ้าจัดการกับตระกูลกู้ในตอนนั้น เคยคิดบ้างไหมว่าลูกหลานของตระกูลกู้…ก็จะไม่ยอมปล่อยพวกเจ้าไปเช่นกัน

ตระกูลกู้…เรื่องตระกูลกู้ไม่เกี่ยวกับข้า! ตระกูลกู้ร่วมมือกับศัตรูเพื่อคิดทรยศ พวกเขาสมควรตาย! พวกเขาเป็นคนทรยศ! จูหมิงเยียนแผดเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว มู่ชิงอีส่งเสียงเย้ยหยันแล้วกล่าวว่า กบฏน่ะหรือ จดหมายที่แสดงว่าตระกูลกู้ทรยศในตอนนั้นไม่ใช่ว่าถูกประทับด้วยตราประทับที่เจ้าขโมยมันไปจากตระกูลกู้หรอกหรือ ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี แต่พระชายากงลืมมันไปสิ้นแล้วหรืออย่างไร เหอะๆ ถ้าโลกรู้ว่าตำแหน่งของพระชายากงนั้นได้มาจากการเป็นหัวขโมยล่ะก็ ไม่รู้ว่าคนบนโลกใบนี้จะคิดอย่างไรกัน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของจูหมิงเยียนก็ซีดเผือดทันที เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร นี่คือความลับที่สำคัญที่สุดในก้นบึ้งจิตใจของนาง

ความลับนี้…แม้แต่ท่านพ่อและท่านแม่ของนางก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ทุกคนที่ล่วงรู้ความลับนี้ในโลกนี้ นอกจากพระสวามีของนางแล้วล้วนแต่เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว

มู่ชิงอียืนพิงกำแพงพลางชื่นชมกับความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกของจูหมิงเยียน ยิ้มอย่างสบายอารมณ์ เป็นธรรมดาที่คนอื่นจะนำมาบอกข้า จะว่าไปเมื่อพูดถึงเรื่องนี้…ข้าก็อยากจะขอบคุณพระชายาที่ไม่ฆ่าพี่หญิงใหญ่ของข้าไปด้วย หากไม่เป็นเช่นนั้น…ข้าจะรู้เรื่องที่สำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร ณ จุดนี้ ดวงตาของมู่ชิงอีก็เย็นชาขึ้นมา

ตนไม่มีวันลืมวันที่ตนถูกคุมขังในความมืดมิดที่ไม่เห็นฟ้าเห็นตะวัน คิดว่าตนจะต้องอยู่ที่นั่นไปจวบจนสิ้นชีวาวายเสียแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งมีสตรีในชุดที่สง่างามและหรูหรามาปรากฏอยู่ตรงหน้าในคุกแห่งนั้น นางโบกมือไล่ให้ทุกคนออกไปและบอกบางอย่างด้วยน้ำเสียงที่กระหยิ่มยิ้มย่องว่านางใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ฉันมิตรอย่างไร และใช้ประโยชน์จากความไว้ใจที่ไม่มีการระแวดระวังของตระกูลกู้ที่มีต่อนางเช่นไรบ้าง โดยแอบเอาตราประทับที่ไม่ได้ใช้มานานของท่านปู่ในห้องหนังสือไปอย่างลับๆ หลังจากนั้นก็บอกกับตนเรื่องตระกูลกู้ถูกจำคุก จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องและจวนกงอ๋องกดขี่ตระกูลกู้อย่างไร จวนซู่เฉิงโหวประสบกับปัญหาอะไร ตำแหน่งองค์รัชทายาทฝั่งลูกพี่ลูกน้องชายถูกลดตำแหน่ง กงอ๋องจึงมีโอกาสที่จะขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแทน ส่วนนางจูหมิงเยียนก็จะกลายเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท

ในวันต่อมา สมาชิกในครอบครัวของตระกูลกู้ทั้งชายและหญิงต่างก็ตายลง มีเพียง…นางและพี่ชายเท่านั้นที่รอดชีวิต ครึ่งเดือนต่อมา กงอ๋องก็ได้อภิเษกสมรสกับผิงหนานจวิ้นจู่ สามวันต่อมาคุณหนูใหญ่กู้อวิ๋นเกอก็ถูกลดชั้นและจับไปอยู่ในหอนางโลม

ในวันที่ได้รู้ความจริง ตนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีชีวิตรอดมาได้อย่างไรเมื่อได้ยินข่าวว่าท่านปู่กับท่านพ่อและท่านอาถูกตัดศีรษะ ต่อมาก็มีข่าวว่าท่านย่า ท่านแม่และพี่สะใภ้ฆ่าตัวตาย ในขณะนั้นก็ได้แต่เจ็บใจที่ว่าทำไมตนถึงไม่ตายไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้น เพียงแต่น่าเสียดาย…ที่ตนจะตายไม่ได้ เพราะพี่ชายคนเดียวนั้นถูกนำตัวเข้ามาในจวนของหนิงอ๋องมู่หรงอาน

ตอนต่อไป