ช้าก่อน ถ้อยคำสองคำนี้ ตัดสินความเป็นตาย!
และคราวนี้ ดูเหมือนว่าผู้ถูกตัดสินจะเป็นตัวเขาเอง…
ทว่าในช่วงเวลาที่หลี่ฉางโซ่วร้องตะโกนนั้น จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังแรงกดดันจากฟากฟ้า แล้วเขาก็ตระหนักรู้บางอย่างขึ้นมาฉับพลัน!
สถานการณ์ในยามนี้ของเขา…หลี่ฉางโซ่วยินดีที่จะรับผิดชอบด้วยตัวเองครึ่งหนึ่งจริงๆ และพร้อมกันนั้นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเต๋าสวรรค์ก็ควรรับผิดชอบอีกครึ่งหนึ่งในฐานะที่ต้องตรวจสอบทุกอย่าง!
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ทันใดนั้นก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นบนท้องนภาอย่างประหลาดพร้อมด้วยเสียงดังกึกก้องสนั่นฟ้า!
พลังแรงกดดันที่น่าตื่นตกใจนี้ครอบคลุมพื้นที่ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ ทำให้สิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้นล้วนสั่นสะท้านและไม่กล้าเคลื่อนไหวด้วยความหวาดกลัว
ตูม!
หลี่ฉางโซ่วมองขึ้นไปอีกครั้ง และเห็นเมฆสีเทาดำที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดสิบฉื่อปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน
มีรอยแยกสองรอยเปิดแยกออกอย่างช้าๆ ในเมฆสีเทาดำราวกับว่าดวงตาขนาดใหญ่สองดวงค่อยๆ ลืมตาขึ้น และเมฆสีเทาดำทั้งหมดก็รวมตัวกันเป็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของนักพรตเต๋าชรา และทันใดนั้นดวงตาที่ว่างเปล่าเย็นชาของเขาก็จับจ้องมองลงมาที่หลี่ฉางโซ่ว
เต๋าสวรรค์? บรรพจารย์แห่งเต๋า?
ในช่วงเวลานั้นหลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกมองทะลุผ่านและเปิดเผยออกมาอย่างสมบูรณ์ในทันที ทั้งยังมีลางสังหรณ์ถึงอันตรายรุนแรงในใจของเขา
บัดนี้สัญชาตญาณของเขาไม่ได้เป็นเพียงให้เขารับรู้หยั่งเชิงผิวเผินอีกต่อไป แต่กำลังกู้ก้องร้องตะโกนเตือนเขาราวกับกาต้มน้ำโลหะที่เต็มไปด้วยน้ำเดือด!
ในเวลานี้แม้แต่แสงเซียนที่เปล่งประกายออกมาจากร่างกายส่วนบนของเขาก็ยังถอยกลับเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว!
แล้วเขาควรทำอย่างไร!?
สถานการณ์ในยามนี้ของเขา หากถูกมองว่าเป็นความผิดปกติในโลกบรรพกาล เขาย่อมจะถูกเต๋าสวรรค์สังหารอย่างแน่นอน!
แม้เขาจะไม่ได้ทำอะไรและไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรรมใดๆ ก็ตาม!
ในเวลานี้หลี่ฉางโซ่วไม่อยากสนใจอะไรมากอีกต่อไป
ภายใต้พลังกดดัน เขาก็ตะโกนเสียงลั่นออกมาว่า “ศิษย์ไม่มีเจตนาที่จะท้าทายพลังแห่งสวรรค์! นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ! ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเต๋าสวรรค์ โปรดรอก่อนเถิด!”
นี่ข้าพูดอันใดไป ข้าจะให้เต๋าสวรรค์รอข้าหรือ
บัดซบ! นี่ข้าเกิดบ้าอันใดขึ้นมา นี่คือสัญญาณเตือนแห่งสายฟ้าเทพสวรรค์ม่วง!
หลี่ฉางโซ่วรีบเปิดเสื้อคลุมเต๋าของเขา แล้วถอดเสื้อคลุมสั้นวิเศษซึ่งมีกระเป๋าผ้าหกสิบใบที่ใส่สมบัติเวทอยู่ภายในนั้นออกมาก่อนจะหยิบกระเป๋าผ้าทั้งหกสิบใบนั้นออกมาใส่ไว้ในสร้อยข้อมือของเขา
เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเปิดไพ่ไม้ตายของเขาในสถานการณ์เช่นนี้
เขาเตรียมการสำหรับทัณฑ์สวรรค์มามากมายจนไม่อาจคาดถึงเรื่องเช่นนี้ได้อย่างสิ้นเชิง…
ในคราแรกเต๋าสวรรค์ก็ไม่ได้ใส่ใจระมัดระวังเขามากนัก
มีเชือกผ้าเส้นหนึ่งที่มีชิ้นส่วนหยกพันรอบไหล่ซ้ายของเขา ชิ้นส่วนหยกนั้นสาดประกายด้วยอักขระเต๋าลึกลับบางๆ
มันคือชิ้นส่วนหยกนิรนามซึ่งในยามที่หลี่ฉางโซ่วมีวัยได้ห้าขวบ มีกลุ่มโจรขุดสุสานได้นำเครื่องถ้วยโบราณที่ขุดขึ้นมาแลกเปลี่ยนเป็นวัวควาย แกะ ทองคำและเงินกับชนเผ่าของพวกเขา ชิ้นส่วนหยกนี้ได้รับการดูแลเสมือนหยกธรรมดา ทว่าเมื่อหลี่ฉางโซ่วค้นพบว่ามีการจารึกอักขระโบราณซึ่งแปลว่า ‘ไฟ’ เอาไว้บนนั้น เขาก็อ้อนวอนขอมันมา
ในเวลานั้นเขายังไม่รู้ว่ามันสามารถทำสิ่งใดได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วเข้าร่วมสำนักได้สิบปี เขาได้แอบวางชิ้นส่วนหยกเอาไว้ข้างๆ อาจารย์ของเขา และเมื่อเขาใช้เคล็ดวิชาการทำนายที่เขาเพิ่งเรียนรู้ไป เขาก็ค้นพบว่าเขาไม่อาจทำนายการเคลื่อนไหวในอนาคตของอาจารย์ของเขาได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเคยทำได้มาก่อนหน้านี้
เขาจึงคาดเดาว่า หน้าที่ของชิ้นส่วนหยกนี้คือช่วยให้หลีกเลี่ยงการถูกค้นพบจากวิธีการทำนายได้ และมันก็กลายเป็นสิ่งที่เขาพกติดตัวไปด้วยเสมอนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ส่วนเชือกผ้านั้น เดิมทีมันเป็นผ้าป่านที่มีคราบเลือดติดอยู่ชิ้นหนึ่ง มันถูกพบในระหว่างที่เขานำม้วนหนังสัตว์โบราณที่บันทึกประวัติศาสตร์เรื่องราวของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผ้าป่านชิ้นนี้น่าจะเป็นชิ้นส่วนของเสื้อผ้าที่ปรมาจารย์บางคนสวมใส่หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ
ตามบันทึกที่เขียนบนหนังสัตว์นั้น มันระบุว่ามนุษย์คนใดก็ตามที่สวมมันจะได้รับการคุ้มครองจากเทพาจารย์แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ต้องใช้มันด้วยเจตนาบริสุทธิ์เท่านั้น
หลังจากที่เขาถอดเชือกผ้าและชิ้นส่วนหยกนิรนามแล้วใส่กลับเข้าไปในสร้อยข้อมือของเขา หลี่ฉางโซ่วก็หยิบกริชออกมาจากสร้อยข้อมือก่อนที่จะหันศีรษะไปมองทางด้านหลังของเขา
ขณะนี้พลังแรงกดดันแห่งสวรรค์ที่ตกลงมาจากฟากฟ้าได้อ่อนกำลังลงเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ทว่าไม่นานก็สงบลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง จากนั้นจึงหันศีรษะไปมองทางด้านหลังไหล่ซ้ายของเขาที่มียันต์โบราณถูกลงรอยสักเอาไว้บนผิวหนังของเขาโดยตรง ซึ่งขณะนี้มันกำลังเปล่งแสงสว่างวาบบางๆ
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เลื่อนกริชของเขาแล้วกรีดผ่านรอยสักยันต์ทันที…
โชคดีที่ตราบใดที่บาดแผลหายดี รอยสักยันต์นี้ก็จะกลับคืนเป็นปกติเฉกเช่นเดิม
นี่คือยันต์ลับโบราณของเผ่าเวท มันถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษเผ่าเวท เพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันเผ่าพันธุ์ปีศาจ และใช้เพื่อหลบเลี่ยง ได้รับการคุ้มครองจากภัยพิบัติ ปัญหา และการถูกทำนายคาดการณ์
มันจะมีผลหลังจากถูกสักลงบนหนังสัตว์ แต่การสักลงบนเนื้อหนังจะให้ผลมากกว่า
และยังมียันต์ลับที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้ถูกสักเอาไว้ที่ด้านข้างลำตัวใต้ซี่โครงด้านขวาของเขา ซึ่งหลี่ฉางโซ่วก็สักลงไปด้วยตัวของเขาเองเช่นกัน…
ฉับพลันนั้นพลังแรงกดดันแห่งสวรรค์จากฟากฟ้าที่กวาดใส่เขาก็อ่อนกำลังลงไปอีกครั้ง
แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด…
หลี่ฉางโซ่วจับคำสำคัญได้ว่า ‘ป้องกันการทำนาย’ ดังนั้นเขาจึงเก็บสิ่งของอื่นๆ ที่เขามักจะพกติดตัวไปในทันที
ตัวอย่างเช่น เหรียญโบราณขนาดเล็กสองเหรียญที่ถูกเย็บติดเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงชั้นในของเขา
ว่ากันว่า มันเป็นเหรียญรุ่นแรกที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงมีคุณธรรมจารึกอยู่ภายใน ผสานรวมกับความสามารถในการป้องกันการทำนายและหลบเลี่ยงภัยพิบัติ
นอกจากนี้ยังมีเศษกระดูกปีศาจผูกเอาไว้ที่ข้อเท้าของเขา และมีเกล็ดปลาสีรุ้งติดเอาไว้ที่ต้นขาของเขาอีกด้วย…
โดยรวมแล้วมีเครื่องประดับ ‘แปลกประหลาด’ ทั้งหมดประมาณเจ็ดชิ้นที่หลี่ฉางโซ่วเคยใช้กับอาจารย์ของเขาเพื่อทดสอบและตรวจสอบดูว่ามันเป็น ‘สิ่งมหัศจรรย์’ จริงๆ ที่สามารถใช้หลบเลี่ยงวิธีการทำนายในระดับต่างๆ…
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติและอาวุธเวท จึงยากต่อการค้นพบ ทว่าง่ายที่จะได้รับมา
เมื่อพูดถึงยุคบรรพกาล ความจริงแล้วมันค่อนข้างน่าประทับใจ นอกเหนือจากสมบัติอาวุธเวท และวิชาเวททุกประเภท รวมถึงปรมาจารย์ทั้งหลายแล้ว สิ่งที่น่าจดจำมากที่สุดก็คือวิธีการทำนายลึกลับ
ปรมาจารย์ที่มีขอบเขตพลังสูงและฝึกฝนอย่างลึกซึ้งจนเชี่ยวชาญในการทำนายจะยืมพลังแห่งเต๋าสวรรค์แล้วกดนิ้วเข้าหากันเพื่อคำนวณคาดการณ์ และจะรู้ได้ในทันทีว่าเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นในสถานที่ห่างไกล
หลี่ฉางโซ่วเองก็ถือได้ว่าเป็น ‘ความลับเล็กๆ’ ที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ในโลกบรรพกาลนี้พร้อมกับความทรงจำจากชีวิตในอดีตของเขา ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกที่ดีในการป้องกันเรื่องนี้เพื่อเฝ้าระวังอยู่ได้ตลอดเวลา ซึ่งเขาได้รับเครื่องประดับเล็กๆ เหล่านี้มาจากความพากเพียรอย่างหนักและโชควาสนาของเขา
ทว่าเขาก็ไม่เคยคาดหวังว่า แม้แต่เต๋าสวรรค์ก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย!
ในเวลานี้พลังแรงกดดันค่อยๆ หายไปแล้วพร้อมกับรูปทรงของใบหน้าของนักพรตเต๋าชราที่อยู่บนเมฆสีเทาดำที่ค่อยๆ สลายไปเช่นกัน แต่เมฆสีเทาดำนั้นก็ยังคงลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา
ขณะนี้หลี่ฉางโซ่วผุดเหงื่อเย็นออกมา หากจิตใจของเขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาก็อาจทรุดตัวลงไปในท้องทะเล
เขารับสิ่งเหล่านี้มาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นใช้วิธีการทำนายกับเขา ทว่าไม่ใช่เพื่อต้านทานเต๋าสวรรค์
‘เมื่อมีขอบเขตพลังต่ำเกินไป การจงใจปลอมตัวจะดึงดูดความสนใจจากปรมาจารย์และสร้างปัญหาให้ตัวเองแทน’
เมื่อเข้าใจความจริงนี้มาแต่แรกแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็มักจะใช้การอำพรางตัวธรรมดาในยามที่เขาอยู่ในสำนักมาโดยตลอด
เขาจะไปจงใจต่อต้านเต๋าสวรรค์ได้อย่างไรกัน
บางที…
เป็นไปได้ว่า…
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เต๋าสวรรค์มีรูปแบบที่แตกต่างกัน
ใช้โอกาส ประหยัดพลังงาน ปฏิบัติการเต็มประสิทธิภาพ และทรงอานุภาพสูง?
แค่กๆ แค่ล้อเล่นน่า
เต๋าสวรรค์เฝ้าติดตามดูแลสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่ไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังไม่บรรลุเซียนและไม่มีอำนาจทำลายล้าง
แปดสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ในครั้งก่อนหน้านี้ที่หลี่ฉางโซ่วเพิ่งประสบมานั้น ขึ้นอยู่กับวิธีที่เต๋าสวรรค์จะคำนวณศักยภาพของเขา และได้ถูกกำหนดพลังเอาไว้แล้ว
ครั้งนี้มันเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหลังจากที่เขาข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ซึ่งเต๋าสวรรค์ให้ความใส่ใจกับเขา
เดิมทีเต๋าสวรรค์จะปรับพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์สำหรับผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ เช่น หลี่ฉางโซ่วซึ่งมีการฝึกบำเพ็ญเกินกว่าความคาดหมายตามคุณสมบัติของเขา ด้วยวิธีนี้ผู้บำเพ็ญก็จะได้รับการทดสอบอย่างหนักเพียงพอ และหากผู้บำเพ็ญไม่อาจต้านทานทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างเต็มที่ พวกเขาก็จะตาย และเต๋าของพวกเขาก็จะหายไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตามไม่คาดคิดว่า หลี่ฉางโซ่วจะพกเครื่องประดับเล็กๆ แปลกประหลาดมากมายที่สามารถป้องกันการทำนายได้ ดังนั้นเต๋าสวรรค์จึงมองและตัดสินใจผิดในขณะที่อยู่ในรูปแบบ ‘ประหยัดพลังงาน’
เต๋าสวรรค์ได้พิจารณาให้เขาเป็น ‘กึ่งเซียน’ และเปิดเผยความลับทั้งหมดของเขา
พลังแรงกดดันที่ลดลงซึ่งเขาสัมผัสได้ในยามนี้หาใช่วิธีการหยั่งเชิงใดๆ ไม่ แต่เป็นการเตือน
มันเป็นการเตือนของสายฟ้าเทพสวรรค์ม่วง
………………………………………………