เฒ่าเรืองปัญญาเพ่งสมาธิ เลิกคิ้วมองดูการเคลื่อนไหวของฉินจิ่วเกอ

สีหน้าของฉินจิ่วเกอยามนี้เปี่ยมความมั่นใจสุดแสน ยังมั่นใจกว่าแอปเปิลลิท(เด็กหัวกะทิ)ตอนเดินเข้าสนามสอบอีก ที่แท้เป็นเพราะเหตุใด มันถึงได้ตัวพองขึ้นมาถึงขั้นนี้?

“คงมิใช่ มันมีไม้ตายอะไรจริงๆ?” เฒ่าเรืองปัญญาลูบเครายาวตระเตรียมพร้อม ท่วงท่าเคร่งขรึมจริงจังยิ่ง หากว่าเด็กน้อยนี้เกิดก่อกวนอันใดขึ้นมา มันสามารถบังเกิดปฏิกิริยาอย่างทันท่วงที

ฉินจิ่วเกอยืนยืดอกร่างตรงแหน่ว สายตาทอดมองยังพฤกษาสวรรค์ ประกายแสงสีสันห้าสีอันพร่าพรายฉาบทอไปทั่วทั้งแดนดิน คงอยู่ชั่วกาลนาน

“สวรรค์? ไม่เห็นจะแน่สักแค่ไหน ดิน? ก็ไม่เห็นจะยอดเยี่ยมสักเท่าใด คน? ล้วนไม่มีใดเลิศลอย เมื่อไหร่ที่ข้าชักเอาสมบัติชิ้นนี้ออกมา ขุนเขาบรรพตล้วนสั่นสะท้าน สายธารแม่น้ำพลิกตลบ สุริยันจันทราสั่นระรัว ผู้ใดกล้าต้านติด?”

ฉินจิ่วเกอจู่ๆ ก็กลายเป็นดุดันห้าวหาญประดุจดั่งขุนพลสวรรค์ วีรบุรุษที่ทอดตามองทั่วหล้าดั่งไก่กำพร้าสุนัขไร้บ้าน

วาจาสะท้อนสะท้านดั่งสายฟ้าฟาด สะเทือนไปทั่วแปดทิศ แม้แต่ผู้เฒ่าเรืองปัญญาเองยังตะลึงลาน

มัน ที่แท้มีไพ่ตายอะไร? ศาสตราวิญญาณหรือศาสตราเซียน ล้วนเป็นไปไม่ได้

“คอยดูเถอะ ข้าจะบันดาลให้ฟ้าเปลี่ยนสีสัน ดินหดลงเหลือชุ่นเดียว สมบัตินี้เมื่อเผยโฉม ทั้งหกภพภูมิล้วนปราศจากคู่ต่อกร!” ฉินจิ่วเกอเพ่งจิต ควานหาภายในแหวนมิติรอบหนึ่ง สุดท้ายค้นหาสมบัติสูงสุดของมันจนเจอ

ผู้เฒ่าเรืองปัญญาในห้องศิลาเอนกายมาด้านหน้า ตอนนี้มันเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว ต้องยืนขึ้นอย่างลังเล เฒ่าเรืองปัญญารวบรวมกำลังขั้นสูงสุดของมัน เนื่องเพราะมันบังเกิดไม่มั่นใจ ที่แท้เป็นเพราะอะไรกัน?

“ศาสตรากฎเกณฑ์!” ฉินจิ่วเกอควักเอาสมบัติของมันออกมา สายตาทอประกายคมกล้าดั่งกระบี่ กวาดกราดออกทั่วบริเวณ หยุดลงที่ใต้เท้าที่กำลังคืบคลาน ชักเอาสมบัติเรืองประกายสีทองอร่ามของมันออกมาจากแหวนมิติ เมื่อวัตถุปรากฏ แม้แต่พฤกษาสวรรค์คงกระพันหมื่นปียังต้องหม่นหมองลง

เฒ่าเรืองปัญญาเบิกตาโปนโต ต้องติดขัดในลำคอ มันไม่ทราบลักษณะของสมบัติชนิดนี้ นั่นมิใช่ทั้งศาสตราวิญญาณหรือศาสตราเซียน ทั้งมิได้ตกทอดมาจากบรรพชนวิญญาณ ยิ่งมิใช่มาจากเต๋ายิ่งใหญ่ใด

เส้นด้ายสีเขียวเส้นหนึ่งถูกฉินจิ่วเกอคว้าหมับไว้กลางฝ่ามือ ชี้นิ้วขึ้นฟ้า ยิ่งแผ่สยายออกอย่างอาจหาญกลางสายลม

“เส้นผม?” เฒ่าเรืองปัญญาสั่นศีรษะ ไม่ถูกต้อง ตนเองต้องดูให้ดีอีกครั้ง ที่แท้เป็นสมบัติชนิดใดกันแน่ เฒ่าเรืองปัญญาใช้เนตรจิตกวาดกราดไปมาเจ็ดแปดรอบ ไม่ว่ายังไงก็เหมือนเส้นผมเส้นเดียว ไม่มีใดสะดุดตา หรือว่าเป็นตนเองที่มองไม่ออก

“ไร้ตัวตนจึงเหนือคน ไร้กระทำจึงเป็นเทพ หรือจะเป็นวัตถุสูงสุดสู่สามัญอันใดจริงๆ?” สองมือเฒ่าเรืองปัญญากางคว้าออกดั่งอุ้งตีนไก่ ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนอาการเส้นสมองตีบกำเริบ รู้สึกเหมือนฉี่จะราดขึ้นมา

ฉินจิ่วเกอหัวร่อเหอเหออย่างชั่วร้าย คนไม่กล่าววาจา ใบหน้าฉาบทอด้วยสีหน้าคางคกขึ้นวอที่กำลังลำพองความสำเร็จของมันอย่างน่ารังเกียจ

เห็นมันทำลำพองปานนั้น เฒ่าเรืองปัญญาเองก็ไม่กล้าเพิ่มพลังกดทับมากมายจนเกินไป กริ่งเกรงประสบการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหันที่ไม่อาจย้อนกลับ

นี่ ที่แท้มันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงเหมือนเส้นผมถึงปานนั้น?

เฒ่าเรืองปัญญาขบคอดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ ปวดกบาลเต็มทน นั่นมันคือตัวอะไร ประหลาดพิกลเกินไปแล้ว

หลังแหงนหน้าหัวร่อจนปากแทบเป็นตะคริว ฉินจิ่วเกอก็เก็บเสียงหัวร่อระคายหูลงไป กล่าวยอย่างชั่วช้า “เห็นแล้วหรือยัง นี่ก็คือเส้นผมของพระเอก หมูหมากาไก่อย่างพวกเจ้าเห็นแล้วยังไม่รีบคุกเข่าคำนับอีกหรือ? ”

มิผิด นี่ก็คือเส้นผมหนึ่งเส้น แต่เส้นผมนี้มิใช่ธรรมดาๆ แต่เป็นผมของศิษย์น้องรอง วันที่ออกจากพรรค ฉินจิ่วเกอได้ย่องเข้าห้องของศิษย์น้องรองเพื่อเอาผมของอีกฝ่ายมาเป็นยันต์คุ้มภัย

มีเส้นผมของพระเอกอยู่ในมือ ผู้เฒ่าเรืองปัญญามิอาจไม่ตระหนักถึงความสำคัญของพระเอก ไม่ว่าอย่างไรก็ยังต้องไว้หน้าอยู่บ้างกระมัง?

ผลอู๋เลี่ยงต่อให้ล้ำค่าสักเพียงใด ไหนเลยจะสู้พระเอกของเรื่องได้?

ยังไงก็เกินสามัญสำนึกกันอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าพอได้เห็นผมเส้นนี้เข้า เฒ่าเรืองปัญญาอาจสะดุ้งตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเลยก็ได้

ภายในห้องศิลา เฒ่าเรืองปัญญาสีหน้าแข็งค้าง พูดอะไรไม่ออกโดยแท้จริง อย่างไรก็คิดไม่ถึงเด็ดขาดว่านั่นจะเป็นเส้นผมจริงๆ เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์ เส้นผมพระเอกอันใดของเจ้า จะทำเป็นมีลับลมคมในหาพระแสงอะไร

พรืด!

เฒ่าเรืองปัญญาถูกฉินจิ่วเกอทำให้ตะลึงจนลืมตัว เผลอเหยียบหนวดเคราตนเองที่ลากยาวจรดพื้นจนหน้าทิ่ม จากนั้นเป็นต้องหัวร่อออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง ไม่นานก็เริ่มจะหายใจหายคอไม่ทัน

เป็นเพราะด่านทดสอบที่สามนี้ล้วนอยู่ใต้การควบคุมของผู้เฒ่าเรืองปัญญาทั้งหมด

พอท่านผู้เฒ่านอนกุมท้อง สองขาปัดป่ายไปมา ลูกตากลอกขึ้นจนเห็นแต่ตาขาว สภาพเหมือนอาวุโสสี่ที่กินโอสถสะบั้นชีพจนช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้

พลังกดดันที่ครอบคลุมอยู่ในโลกพฤกษาก็เลยหลุดการควบคุม แรงกดดันหายวับไปจากตัวฉินจิ่วเกอทันควัน ทันทีที่ปราศจากแรงกดดัน ฉินจิ่วเกอที่ตัวเบาเหมือนนกนางแอ่นก็ฉวยโอกาสนี้ตะเกียกตะกายวิ่งข้ามระยะที่เหลือไม่กี่ร้อยลี้ไปทันที

เห็นรึยังความร้ายกาจของพระเอก แม้แต่เส้นผมยังทรงอานุภาพยิ่งกว่าศาสตราเซียนเล่มหนึ่งอีก

ในใจฉินจิ่วเกอตอนนี้ยิ่งมั่นใจว่าศิษย์น้องรองจะต้องเป็นพระเอกไม่ผิดแน่ นอกจากมันแล้ว ก็ไม่มีใครที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองเทียบเท่าอีก

ส่วนเฒ่าเรืองปัญญายามนี้กำลังทุบอกตัวเองอยู่ในห้อง รู้สึกราวกับว่าตัวเองใกล้จะหัวเราะจนขาดใจตายเต็มที

น้ำตาร่วงกระจายเต็มพื้นห้อง มุมปากอ้าค้างจนแทบเป็นตะคริว ห้ามยังไงก็ไม่อยู่

เป็นเวลากว่าแสนปีแล้วที่มันไม่ได้หัวเราะหนักขนาดนี้ หัวเราะอย่างสาแก่ใจขนาดนี้

ภายใต้เสียงหัวเราะ จะเป็นด่านทดสอบก็ดี ต้นพฤกษาสวรรค์ก็ดี ทั้งหมดล้วนไม่ดำรงคงอยู่อีก

รอจนเฒ่าเรืองปัญญาสงบจิตใจลงได้ มันก็ยืนขึ้นทั้งๆ ที่ยังส่ายไหวไปมา ฉินจิ่วเกอตอนนี้เข้าไปถึงระยะร้อยเมตรสุดท้ายแล้ว ที่นั่นคืออาณาเขตของต้นพฤกษาสวรรค์ แม้แต่เฒ่าเรืองปัญญาก็ยังไม่อาจก้าวก่าย

“ไอ้เด็กเวร เด็กอันประเสริฐ กลวิธีต่ำช้าโดยแท้! ” เฒ่าเรืองปัญญาตะลึงงัน ที่แท้อีกฝ่ายจงใจทำเป็นหัวอ่อน แต่กลับใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้เล็ดลอดเข้าไป ส่วนฉินจิ่วเกอนั้นกำลังคิดว่าเฒ่าเรืองปัญญาช่างเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีเหลือเกิน ถึงกับจงใจปล่อยให้ตัวเองผ่านไปได้

ต่างคนต่างหัวเราะ ก่อเกิดความเข้าใจผิดอันสมบูรณ์แบบ ใครก็ไม่อาจอธิบายได้

เมื่อเข้ามาในระยะหนึ่งร้อยเมตร ต้นพฤกษาสูงชะลูดที่มีรัศมีนับพันฉื่อก็ผงาดง้ำอย่างอหังการ์อยู่ตรงหน้าฉินจิ่วเกอ ใต้เท้า แม้แต่ผืนดินยังเปลี่ยนเป็นสีผลึกใสห้าสี ในอากาศ ไอวิญญาณควบผนึกเป็นแก่นพลัง บันดาลให้ระดับพลังของผู้ฝึกตนขยับเคลื่อนไปอีกขั้น

“กดไว้ก่อน กดไว้ก่อน” ฉินจิ่วเกอยังคงกดไอวิญญาณที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างเอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมปล่อยให้ระดับพลังทะลุเกินชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุดเด็ดขาด

เงยขึ้นมองต้นพฤกษาตรงหน้า นี่มันจะใหญ่ยักษ์เก่าแก่เกินไปหน่อยแล้วกระมัง ดีไม่ดีคงอยู่มานานนับล้านปีเลยด้วยซ้ำ มีคนกล่าวไว้ ต้นพฤกษาสวรรค์คือหนึ่งในสองสมบัติอันเร้นลับของบรรพชนวิญญาณ

รากของต้นพฤกษานี้ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่าที่สุดในแดนไท่จี๋ ในแดนแมงเม่าใบนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งรู้เนื้อแท้ที่เป็นอยู่ได้

โลกพฤกษาสวรรค์ รากมังกรเลื้อยพันแพร่ขยายไปทั่วทั้งพันลี้ เวลายืนอยู่ใต้ต้นแล้วมองผ่านลำแสงที่หักเหผ่านดงไม้แน่นหนา จะพบว่ารากไม้นี้มีลักษณะเหมือนคลื่นอสรพิษที่กลืนกินผืนดินด้านใต้จนมิดชิด

ฉินจิ่วเกอชื่นชมธรรมชาติสร้างสรรค์ตรงหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่ามีอุปสรรคอย่างหนึ่งกั้นขวางอยู่

ตัวมันเอง คล้ายไม่สามารถปีนต้นไม้ได้

นี่เป็นปัญหาอันหนักหน่วง ฉินจิ่วเกอปีนต้นไม้ไม่ได้จริงๆ

น่าขัน มันไม่ใช่วานร ต้นไม้ใหญ่สูงชะลูดร่วมพันจั้งหมื่นจั้งนี้ ต้องปีนนานแค่ไหนถึงจะขึ้นไปถึงกันเล่า

“ยอดคนช่างสมกับเป็นยอดคนจริงๆ”

ฉินจิ่วเกอพลันเข้าใจกระจ่างขึ้นมา ว่าทำไมเฒ่าเรืองปัญญาต้องไว้ผมเผ้าหนวดเครายาวตั้งหลายเมตร ที่แท้เอาไว้ใช้ทำเชือกนิรภัยเวลาปีนต้นไม้นี่เอง ลองนึกภาพตาแก่หัวขาวเอาเคราผูกห้อยกับลำต้นไม้ ห้อยต่องแต่งราวเนื้อตากแห้งถูกลมโชย นั่นช่างน่าสนุกสนานไม่น้อย

จะขึ้นไปเก็บผลอู๋เลี่ยงสดอย่างไร เป็นก้าวที่สำคัญ ถ้าเกิดผลอู๋เลี่ยงสดเป็นเหมือนโสมอายุยืน (人参果 ผลอายุยืนของเจิ้นหยวนต้าเซียน ออกลูกทุกเก้าพันปี) ขึ้นมา ตนเองเสียเวลาปีนป่ายเป็นสิบปีล้วนไม่มีประโยชน์

ส่วนจะให้ใช้หินปาขึ้นไปให้โดนกิ่งไม้ ขอทีเถอะ นั่นคือต้นพฤกษาที่สูงหลายหมื่นเมตรเชียวนะ ยอดเขาสูงเป็นตระหงาด หนักแน่นดั่งรากฐานแห่งท้องนภา ตนแม้จะฝึกเคล็ดกิเลนครองฟ้า แต่พลังระดับนั้นยังนับว่าห่างไกลนัก

เมื่อไม่มีอะไรจะทำ ฉินจิ่วเกอจึงเริ่มฝึกปรือใต้ต้นไม้

อย่างไรเสีย ไอวิญญาณฟ้าดินในที่นี้ก็หนาแน่นน่าดูชม ระดับความบริสุทธิ์กระทั่งเหนือกว่าศิลาวิญญาณระดับต่ำไปไกล ได้ดูดซับไอวิญญาณที่นี่ เท่ากับได้ชำระขัดเกลาร่างกายให้สะอาดเกลี้ยงเกลา

ในขณะเดียวกัน ฉินจิ่วเกอก็ไม่คิดที่จะทะลวงด่าน เพราะตอนนี้มันยังไม่พร้อม แต่ต้องการที่จะสร้างเสริมรากฐานให้มั่นคงไว้ก่อนเฉยๆ

พร้อมกับที่ฉินจิ่วเกอขับเคลื่อนไอวิญญาณเข้าสู่จุดตันเถียน มิติภายในตันเถียนก็ค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น

บางทีอาจเป็นเพราะฉินจิ่วเกอไม่ยอมเข้าสู่ขอบเขตต่อไปสักที พอไอวิญญาณเข้าไปหล่อเลี้ยงตันเถียนได้ระยะหนึ่ง กลับไม่ได้ชำแรกเข้าสู่คลื่นทะเลความคิด แต่กลับเปิดเส้นชีพจรอันคดเคี้ยวที่หลบซ่อนอยู่หลายเส้นสายแทน

ไร้ซึ่งเคล็ดโคจรพลังนำทาง ก็ยิ่งเหมือนดั่งเดินออกนอกกฎเกณฑ์ชะตาฟ้า แม้แต่ตัวฉินจิ่วเกอเองก็ยังไม่ทราบชัด แต่ดูเหมือนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งตนกลับทะลวงไปขั้นต่อไป หากแต่ไม่ได้บรรลุสู่ขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น

พอลองขยับกำปั้นไปมา พบว่าตัวเองยังอยู่ในขอบเขตปราณสุริยันจริงๆ เพียงแต่พละกำลังกลับสูงล้ำกว่าตอนที่ยังอยู่ในช่วงชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุดไปไกล กับการทะลวงด่านชนิดนี้ ฉินจิ่วเกอให้ชื่อว่าเป็นการทะลวงด่านขั้นสมบูรณ์ เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยมีใครเคยผ่านพ้นมาก่อน

ช่างเป็นอาวุธสังหารที่ร้ายกาจเสียจริง อำมหิตเสียจนแทบร้องขอชีวิต เห็นกันอยู่ว่าฉินจิ่วเกอเป็นเพียงชนชั้นปราณสุริยัน แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดมันกลับทะลวงเข้าสู่ขอบเขตใหม่ ซึ่งเพียงพอที่จะต่อกรกับพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลายได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ

ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย ขั้นสูงสุด ขั้นสมบูรณ์ นี่คือขอบเขตที่ฉินจิ่วเกอเคยประสบมา และเส้นทางสายใหม่นี้ก็ได้ถูกเปิดขึ้นภายใต้ต้นพฤกษาแห่งนี้เอง

หลังบรรลุปราณสุริยันขั้นสมบูรณ์ ฉินจิ่วเกอก็ปีติยินดีเป็นล้นพ้น เพียงแต่ นี่ไม่ได้ช่วยให้เก็บผลอู๋เลี่ยงได้เลย

หากต้องการบินเหินขึ้นไปพันเมตร มีแต่ชนชั้นกฎสรรพสิ่งที่กระทำได้ แล้วตนเองเล่า?

ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้เก่าแก่อย่างถึงที่สุด อยู่ยงยาวนานยิ่งกว่าไท่หวงบรรพกาล มองดูร่องผิวบนลำต้น ขนาดความลึกยังพอให้สอดมือเข้าไปได้ แม้แต่ลวดลายบนพื้นผิวยังถูกกาลเวลาสลักเสลาออกมา

ฉินจิ่วเกอเชื่อว่าพฤกษาสวรรค์ต้นนี้จะต้องมีจิตวิญญาณรับรู้ ไม่แน่ตนอาจสื่อสารกับมันรู้เรื่องก็ได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่เมื่อครู่ตนวิ่งมาอย่างดีใจจนเกินเหตุ ภายใต้ความหลงระเริง เลยทำเส้นผมของน้องรองตกหายไปไหนแล้วไม่รู้

ไม่เป็นไร รอให้กลับไปถึงพรรค ฉวยจังหวะที่น้องรองยังไม่ตื่น ค่อยถอนออกมาสักเจ็ดแปดสิบเส้น เอาไว้แบ่งให้พวกศิษย์น้องเล็กด้วย ต่อให้น้องรองตื่นขึ้นมาเพราะรัศมีแห่งพระเอกก็ไม่เป็นไร ตนยังสามารถแนะนำทรงผมหล่อลากดินให้น้องรองได้พิจารณาสักหลายแบบ หมดปัญหาเรื่องทรงผมไปโดยปริยาย

“ฮี่ฮี่ สหายพฤกษา ท่านงอกเงยออกมาได้อย่างสง่างาม ผู้น้องเลื่อมใสในตัวท่านยิ่ง ทั้งช่วงอกที่ผ่าเผย รัศมีอันไพศาล ช่างกระตุ้นความสดชื่นแก่ผู้คนยิ่ง”

ฉินจิ่วเกอหรี่ตา ยกสองมือค้อมเอว เริ่มปฏิบัติการเชลียก้นอาชา[1]*แก่พฤกษาสวรรค์

แต่ละประโยคยิ่งมายิ่งเลิศลอย ขนาดที่ว่าหากดวงจันทร์ได้สดับฟัง ยังต้องโน้มลงมาจากฟ้า

ซ่าซ่า ลมเหนือโชยมา พฤกษายักษ์ยังคงไม่เคลื่อนไหว

“ท่านช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ยอดค้ำสวรรค์รากยันพื้น เสาหลักค้ำแดนดิน!”

พฤกษายักษ์ยังคงไม่มีปฏิกิริยา คล้ายลืมเลือนมดปลวกที่ใต้ต้นของมันไปแล้ว ยังคงยืนหยัดอย่างปลอดโปร่งต่อไป

“ร้อยลำน้ำไหลรวมลงสู่ทะเล….”

“รัศมีโอ่อ่า….”

ฉินจิ่วเกอตะโกนร่ำร้องจนปากคอแห้งผาก คำหวานประจบสอพลอใดๆ ในท้องมันล้วนอาเจียนออกมาจนหมดสิ้น พฤกษาสวรรค์ยังคงไม่เคลื่อนขยับ มันจดจำได้อย่างเลือนรางว่ามีคนแซ่นิวผู้หนึ่ง นั่งเหม่อลอยไม่ทำอันใดอยู่ใต้ต้นไม้ ยังมีผลแอปเปิลร่วงลงใส่ศีรษะมา[2]

.

.

.

[1] สำนวน เลียก้นม้า หมายถึง ประจบ เยินยอ

[2] หมายถึง ไอแซค นิวตัน ที่ค้นพบกฏแรงดึงดูด