ตอนที่ 185 บรรพบุรุษตัวน้อยก็เอาออกมาขาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 185 บรรพบุรุษตัวน้อยก็เอาออกมาขาย

อารามชิงผิง

นักพรตชิงหย่วนรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะทึ้งผมตัวเองจนร่วงหมดทั้งศีรษะ เขาไม่เข้าใจว่าบรรพบุรุษตัวน้อยของเขาไปเอาตัวซวยอย่างมู่ซีมาจากไหน ถึงได้เอาใจยากขนาดนี้

วันหนึ่งก็อย่างหนี่ง แม้แต่นกบนภูเขาด้านหลังก็ยังกระพือปีกบินหนีไปเมื่อเห็นเขา เพราะกลัวว่าจะถูกจับไปย่าง ต้นว่านสิบแสนที่เขาดูแลอย่างระมัดระวังก็ใบร่วงไปหมดแล้ว

ถ้าบรรพบุรุษตัวน้อยฉินหลิวซียังไม่เชิญตัวซวยคนนี้ไปอีก เขา เขาจะหนีจากอารามเอาอย่างอาจารย์แล้วนะ!

“นักพรต นักพรต…”

ปัง!

ชิงหย่วนเหลือบมองประตูที่จะพังมิพังแหล่ที่กำลังสั่นสะเทือนเพราะถูกเตะไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งพลางท่องคำเต๋าเงียบๆ ข้าแต่เทพเจ้าสูงสุด หากถ้ามีเวรกรรมใดก็ให้มันเกิดขึ้นเสียเถิด อย่าได้ให้ประตูของข้าต้องรับกรรมแทนเลย

ประตู : รอยเท้านับไม่ถ้วน ประตูเองก็เหนื่อยใจ

มู่ซีปรากฏตัวที่หน้าประตู เมื่อเห็นชิงหย่วนคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะเล็ก เขาก็ส่งเสียงเฮ้อออกมาทันที “ข้ารู้ว่าท่านกำลังหลบหน้าข้า รีบบอกเร็วว่านักพรตหลอกหลวงนั่นอยู่ที่ไหน จะกลับมาเมื่อใด”

ชิงหย่วนยืนขึ้น เขาประสานมือโค้งคำนับ “ท่านผู้มีบุญ ท่านเป็นถึงซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ เป็นสุภาพบุรุษ จะปล่อยประตูนี้ไปได้หรือไม่ อย่าได้เตะมันอีกเลย มันทนรับฝ่าเท้าของอันสูงส่งของท่านไม่ไหวแล้ว”

มู่ซีเหลือบมองที่ประตู เขาเชิดหน้าขึ้นพล่างเอย “มันก็แค่ประตู มีค่าแค่ไม่กี่ตังค์ ถ้าพังไป ข้าจะชดใช้ให้ ท่านบอกข้ามาว่านักพรตหลอกลวงนั่นอยู่ที่ไหน ข้าจะเปลี่ยนประตูทุกบานในอารามนี้ให้ท่านก็ได้”

เปลือกตาชิงหย่วนเต้นกระตุกทันที “ข้าไม่ใช่นักพรตเช่นนั้น…”

“ข้าเห็นว่าโถงข้างของพวกท่านเก่าชำรุดมากแล้ว ทำขึ้นใหม่ดีหรือไม่ จะเอาเป็นทองคำหรือทองแดงดี?” มู่ซีพูดพลางเอามือไพล่หลัง

ชิงหย่วนเอามือกุมหัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง เสแสร้งสงวนท่าที “โบราณว่าไว้วิญญูชนไม่พึงรับอาหารจากผู้อื่นเพียงเพราะความหิวโหย ท่านยังพูดจาไร้หลักฐานเลื่อนลอย…”

มู่ซีได้ยินเช่นนั้น “ซวงเฉวียน ไปเอาเงินมา”

ซวงเฉวียนหยิบตั๋วเงินร้อยตำลึงจำนวนห้าใบออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วยื่นให้ทันที

ชิงหย่วนยื่นมือออกมาไปหยิบตั๋วเงินแล้วยิ้มออกมาทันที “ผู้มีบุญต้องการบริจาคน้ำมันหรือไม่ เชิญที่ห้องโถงใหญ่เถิด”

ซวงเฉวียนไม่ยอมปล่อย “ข้าเติมน้ำมันไปแล้ว นักพรตน้อยอยู่ที่ไหน ท่านนักพรตจะบอกซื่อจื่อของพวกเราได้แล้วหรือยัง”

ชิงหย่วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอย่าได้กังวลไป เทพบูรพาจารย์จะดลบันดาลให้ท่านผู้มีบุญสมปรารถนา ท่านผู้มีบุญจะสมความปรารถนาในไม่ช้า”

บรรพบุรุษตัวน้อยอะไรก็มีไว้ขายทั้งนั้น

มู่ซีแค่นเสียงเยาะออกมาทันที “อย่าได้หลอกข้าก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะรื้ออารามชิงผิงให้ราบ”

ชิงหย่วนยิ้มให้เขา ในใจก็คิดว่า ทั้งที่ตัวเขายังพกยันต์และอาวุธวิเศษไว้ทั่วร่างเพื่อคุ้มครองตนเองให้ปลอดภัย แต่กลับยังกล้าพูดคำพูดไร้สาระพวกนั้นที่นี่อีก ไม่กลัวว่าจะสูญเสียพลังวิญญาณต่อหน้าเทพบูรพาจารย์บ้างหรือ

แต่เห็นแก่ที่เขาเพิ่งเติมน้ำมันไปเยอะมาก ทั้งหมดนี้เพราะน้ำมัน และอารามชิงผิงจะได้เป็นอารามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาจะต้องอดทนไว้

รอให้บรรพบุรุษตัวน้อยมาก่อน แล้วคอยดูกันว่าเขาจะยังดุดันได้ไหม!

นั่นมันอสุรเทพที่แท้จริง!

ชิงหย่วนยิ้มอย่างมีเลศนัย หนวดทั้งสองข้างของเขาสั่นระริก

มู่ซีบังเอิญเหลือบไปเห็นพอดี และรู้สึกแผ่นหลังหนาวยะเยือกขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

ให้ตายเถอะ อารามเต๋าร้ายๆ นี้มีผีด้วยหรือ?

ฉินหลิวซียื่นหน้าออกไปมองยังทิศทางอารามบนเขา นางหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง และรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติราวกับว่ากำลังถูกหลอก

อวี้ฉังคงเองก็มองออกไปเช่นกัน ตอนนี้ดวงตาของเขามองเห็นได้แล้ว มองอะไรก็เห็นว่าเป็นเรื่องสดใหม่ไปหมด แม้แต่แสงที่เข้าตาก็ยังไม่รู้สึกว่าแยงตาแต่อย่างใด

ดูเหมือนว่าการได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

เขามองฉินหลิวซี สีทองอันนุ่มนวลที่ส่องสะท้อนอยู่บนร่างของอีกฝ่ายนั้นพราวตา แม้แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะอาบไล้ไปด้วยแสง

ไม่ปิดผนึกดวงตาคู่นี้ก็ดีเหมือนกัน

“หืม?” ฉินหลิวซีมองมาและถามเขาว่า “ท่านว่าอะไรนะ”

อวี้ฉังคงนิ่งไป เขาพูดอะไรออกไปหรือ

“ข้าคิดว่า ดวงตาคู่นี้มองเห็นสิ่งที่คนปกติมองไม่เห็น ไม่ปิดผนึกก็ไม่เป็นไรหรอก”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “ตลอดทางมานี้ ท่านก็ได้เห็นวิญญาณมาไม่น้อย ไม่กลัวหรือ”

อวี้ฉังคงส่ายศีรษะ “ยังน่ากลัวน้อยกว่าจิตใจคนมาก”

ฉินหลิวซียิ้ม นางเห็นด้วยกับคำพูดนี้

“ความจริงแล้ว ภาพที่น่ากลัวที่สุดคือการเห็นบิดามารดาตายอย่างอนาถต่อหน้าตนเอง แต่ตนเองกลับไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ มันน่ากลัวยิ่งกว่าการเห็นวิญญาณแค้นนับพันตัวเสียอีก” อวี้ฉังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าจะไม่พูดว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป ถ้าท่านมีความแค้นก็แก้แค้นเถิด”

“โชคดีที่ท่านไม่เหมือนชาวพุทธที่ชอบเอ่ยว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ควรปล่อยวางความแค้น”

ฉินหลิวซีเยาะ “ข้าเป็นคนยึดหลักเวรกรรม และเป็นพวกที่มีแค้นต้องชำระ นิสัยของข้าเป็นเช่นนี้ จะมีหน้าไปบอกให้คนอื่นปล่อยวางได้ที่ไหน ไม่เคยประสบความยากลำบากอย่างคนอื่น ก็อย่าไปบอกให้เขาทำตัวเป็นคนดี ทำตัวเองให้ดีก็พอ”

อวี้ฉังคงยิ้มน้อยๆ “นั่นดีมาก”

“ในเมื่อท่านไม่คิดจะปิดผนึกดวงตาคู่นี้ เช่นนั้นท่านก็ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดี อย่าให้ผีพวกนั้นรู้ว่าท่านมองเห็นพวกมันได้ ไม่อย่างนั้นถึงแม้พวกมันไม่สามารถเข้าร่างท่านได้ พวกมันก็จะตามหลอกหลอน ก็จะเป็นปัญหาเหมือนกัน” ผีบางตัวก็ไม่ได้คิดจะสิงร่าง แต่อาจจะมองหาความช่วยเหลืออยู่

คิ้วของอวี้ฉังคงขยับเล็กน้อย “ข้าตาบอดมาสิบปีแล้ว วิธีแกล้งทำเป็นตาบอด ข้าทำเป็นอยู่บ้าง แต่อย่างที่ท่านพูด ถ้าพวกมันรู้เข้าและเข้ามาติดตามหลอกหลอนก็จะเป็นปัญหา เช่นนั้นแล้วท่านพอจะมีคาถาอะไรพอที่จะให้พวกเขาไปได้บ้างหรือไม่”

“อยากเรียนหรือ”

อวี้ฉังคงประสานมือคารวะ “ขอให้เสี่ยวฉินชี้แนะด้วย”

“สอนแล้ว ท่านก็จะกลายเป็นคฤหัสถ์ของอารามชิงผิง”

อวี้ฉังคงยิ้มพลางพยักหน้า “อารามเต๋าที่มีของจริง เป็นคฤหัสถ์ก็ไม่มีอะไรเสียหาย”

ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านตาถึง ไม่ต้องกังวล เมื่อใดที่ท่านกลายเป็นคฤหัสถ์ของอารามชิงผิง อารามชิงผิงจะปกป้องท่าน”

“ตกลง”

“ตอนนี้เรามาแก้ไขปัญหานี้กันก่อน” ฉินหลิวซีเห็นประตูขึ้นเขาอารามชิงผิงแล้ว และนางก็สามารถเห็นได้ในทันทีว่า องครักษ์เงาของมู่ซีซุ่มซ่อนอยู่ที่ไหนบ้าง

ส่วนอวี้ฉังคงก็มองอารามชิงผิงที่อยู่บนภูเขา แล้วมองไปรอบๆ และคำนวณทิศทางในใจของเขาอย่างเงียบๆ แผนภาพห้าธาตุและผังแปดทิศปรากฏขึ้นในใจของเขา

“ข้าขอถามสักหน่อย อารามชิงผิงมีค่ายอาคมใช่หรือไม่”

ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านมองออก” นางหยุดไปเล็กน้อย “คุณชายฉังคงตระกูลอวี้มากความสามารถ คงจะมีความรู้เรื่องค่ายอาคมมาบ้าง”

อวี้ฉังคงเอ่ย “ข้ารู้ บิดาของข้าเคยสอนตอนเด็กๆ แต่ข้ายังไม่เก่ง ข้าแค่ว่าเห็นตำแหน่งของอารามและทิวทัศน์โดยรอบดูคล้ายกับแผนภาพห้าธาตุและผังแปดทิศ แต่บางทีข้าอาจจะดูผิดก็ได้”

“ท่านไม่ได้ดูผิดหรอก นี่เป็นแผนภาพห้าธาตุและผังแปดทิศจริงๆ ในแผนภาพนี้ยังมีค่ายอาคมป้องภูเขา ค่ายอาคมเก้าดารา ซึ่งนอกจากจะงดงามแก่สายตาแล้วยังปกน้ำป้องดินด้วย”

“ค่ายอาคมเก้าดารา มันวิเศษตรงไหนหรือ”

“หากมีภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือสงคราม หากกระตุ้นให้ค่ายอาคมทำงาน มันจะสามารถปกป้องอารามและคนที่อยู่ในค่ายอาคมได้เป็นเวลาสามเดือน” ฉินหลิวซีตอบอย่างภาคภูมิใจ

นัยน์ตาของอวี้ฉังคงสั่นสะท้าน สามารถปกป้องไว้ได้สามเดือน ทรงพลังถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

หากสิ่งที่ฉินหลิวซีเอ่ยเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นแล้วการสร้างค่ายกลของอารามนี้ก็ร้ายกาจกว่าเขาจินตนาการไว้เสียอีก ไม่สิ อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางโกหกแน่นอน

แววตาของอวี้ฉังคงเจือความตื่นเต้น ขณะที่เขากำลังจะถามให้ชัดเจน เงาร่างสีแดงเพลิงก็กระโดดออกมาทันที

“ฮ่า ชิงหย่วนนักพรตหลอกลวงคนนั้นไม่ได้เอาเงินของข้าไปโดยเปล่าจริงๆ ด้วย นักพรตน้อยมาแล้วจริงๆ”

ฉินหลิวซี “…”

ลางสังหรณ์เป็นจริง นางถูกขายแล้ว!