บทที่ 115 ภาพไม้ไผ่

คิงดราก้อน

เย่หยุนซูส่ายหน้า ตัวเองบุ่มบ่ามเกินไปจริง ๆ แต่การมาของเซียวหยางทำให้ส้งจื่อจับจุดอ่อนได้ เรื่องความร่วมมือดูท่าน่าจะหมดหวังแล้ว

มองแผ่นหลังเซียวหยางที่จากไป เฉียนกั๋วต้องก็ส่ายหน้า

ส้งจื่อรีบคว้าโอกาสที่มีอยู่ทันที “ประธานเฉียนครับ เซียวหยางคนนั้นเป็นผู้ชายที่เอาแต่อยู่บ้านทำงานบ้าน ภาพวาดจีนระดับสูงอย่างนี้เขาจะรู้จักชื่นชมได้ยังไง เย่หยุนซูก็เป็นผู้หญิงที่บ้าธุรกิจเกินไป มารบกวนความสนใจของประธานเฉียน ทำเกินไปจริง ๆ!”

เซียวหยางเดินไปที่ห้องรับรองแล้วสั่งน้ำผลไม้มาดื่มหนึ่งแก้ว เย่หยุนซูเดินอย่างหงอยเหงาหดหู่มานั่งตรงข้ามเซียวหยาง

“เซียวหยาง นายมาที่นี่ได้ยังไง? นายรู้เรื่องภาพวาดจีนเหรอ?”

เซียวหยางดื่มน้ำผลไม้เสร็จ ก็สะอึกหนึ่งครั้ง “ฉันเห็นข่าวเรื่องงานนิทรรศการภาพวาดในอินเทอร์เน็ต เห็นว่าฟรีเลยมาดู ใครจะคิดว่าได้เจอกับเธอที่นี่พอดี”

“ส่วนเรื่องภาพวาดจีน เมื่อครู่นี้ฉันพูดสุ่มสี่สุ่มห้าไปงั้นแหละ!”

“นาย……” เย่หยุนซูมองเซียวหยางด้วยความโมโห

ถึงแม้เรื่องความร่วมมือล้มเหลวก็ไม่โทษเซียวหยางหรอก ที่จริงเธอบุ่มบ่ามเลินเล่อเกินไปจริง ๆ!

แต่เซียวหยางก็ไม่ควรมาสร้างเรื่องเพิ่ม ต่อให้ครั้งนี้ไม่มีโอกาสร่วมมือกับเฉียนกั๋วต้อง แต่ครั้งต่อไปอาจจะมีโอกาสก็ได้

ครั้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์หยุดชะงักไปแล้ว ต่อไปเย่หยุนซูคงยากที่จะได้ร่วมงานกับบริษัทบริษัท เฉียนซื่อ กรุ๊ปแล้วล่ะ

“ภาพไม้ไผ่เมื่อครู่นี้จะบอกว่าไงดีล่ะ เป็นของแท้ แต่ก็ไม่ใช่ของแท้!” เซียวหยางเอ่ยพูด

เย่หยุนซูได้ยินก็รู้สึกงุนงงไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไง?”

เซียวหยางมองแววตาที่สงสัยของเย่หยุนซูก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เดี๋ยวพวกเราไปร่วมงานประมูลเธอก็จะได้รู้เองแหละ”

เซียวหยางเคยเข้าร่วมงานประมูลมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาถือว่าคุ้นเคยเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี

เห็นท่าทางหดหู่ของเย่หยุนซู เซียวหยางก็ยิ้มออกมาแต่ไม่พูดอะไร

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ห้องแสดงนิทรรศการได้ถูกตกแต่งใหม่อีกครั้ง เก้าอี้ห้าร้อยตัวถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บนเวทีมีของสะสมที่ถูกผ้าสีแดงปิดคลุมเอาไว้วางอยู่หลายชิ้น

ผู้เข้าร่วมงานประมูลการกุศลแบบนี้ปกติแล้วล้วนเป็นเถ้าแก่เจ้าของกิจการใหญ่โตในเมืองหยินโจวทั้งนั้น มาที่นี่ก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทของตัวเอง

เฉียนกั๋วต้อง ส้งจื่อและคนอื่น ๆ นั่งอยู่แถวที่หนึ่ง เย่หยุนซูและผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งนั่งอยู่แถวที่สอง

เฉียนกั๋วต้องปรายตามองเซียวหยางและเย่หยุนซูแวบหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร ผ่านเรื่องเมื่อครู่นี้มา เขาก็รู้สึกไม่ค่อยประทับใจเย่หยุนซูกับเซียวหยางสักเท่าไหร่

ส้งจื่อนั่งอยู่แถวที่หนึ่งหันกลับไปมองเย่หยุนซูแวบหนึ่ง มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยออกมา

งานประมูลได้เริ่มขึ้นแล้ว เหอเสวี่ยหมินเดินถือไมโครโฟนขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “สวัสดียามบ่ายครับทุกท่าน ดีใจมากที่ได้รับเกียรติมาเป็นพิธีกรในงานประมูลครั้งนี้……”

เพิ่งเริ่มงานประมูล ปกติแล้วจะเป็นผลงานของจิตรกรร่วมสมัยจำนวนหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วมีราคาไม่กี่พันหยวน

บริษัทเล็ก ๆ พากันแย่งประมูล เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นนักบุญด้วยการจ่ายเงินให้น้อยที่สุด

มีสื่อมวลชนมากมายอยู่ในงาน ถ้าเกิดสัมภาษณ์ตัวเองขึ้นมาก็สามารถอวดได้ว่าตัวเองมีส่วนช่วยเหลือสังคมเช่นกัน

จากนั้นงานประมูลได้เอาผลงานภาพวาดที่ค่อนข้างมีมูลค่าหน่อยออกมาหลายชิ้น มูลค่าโดยทั่วไปอยู่ที่หลักหมื่นขึ้นทั้งนั้น ตอนนี้ผู้ที่ชื่นชอบในภาพวาดจีนจริง ๆ ได้โอกาสประมูลแล้ว

ระหว่างนั้น เฉียนกั๋วต้องเห็นภาพวาดที่เข้าตาตัวเองก็ได้ประมูลไปหลายชิ้น

ไม่นานก็มาถึงช่วงไฮไลท์ของงานประมูล ปกติแล้วเป็นสิ่งของล้ำค่าที่เอาออกมาให้ประมูลก่อนถึงรอบสุดท้าย

เหอเสวี่ยหมินยืนอยู่บนเวทีพูดแนะนำให้ทุกคนฟังว่า “ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดี ว่าสมัยราชวงศ์ชิงมีนักวาดชื่อดังอยู่สามท่าน หนึ่งในนั้นคือผลงานของนักวาดเจิ้งป่านเฉียวที่วาดออกมาดูมีชีวิตชีวาเสมือนจริงมากที่สุด”

“ลำดับต่อไป การประมูลครั้งนี้ขอเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่แก่ทุกท่านด้วยภาพไม้ไผ่ของนักวาดเจิ้งป่านเฉียวนักวาดผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยราชวงศ์ชิง”

“ภาพไม้ไผ่ภาพนี้ได้รับการตรวจสอบจากองค์กรเฉพาะทางแล้ว เป็นของแท้ของนักวาดเจิ้งป่านเฉียว มูลค่าที่ได้จากการประมูลครั้งนี้แปดสิบเปอร์เซ็นต์จะบริจาคให้แก่เด็กยากไร้ในพื้นที่ภูเขา ต่อไปพวกเราจะเริ่มทำการประมูลแล้วนะครับ ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่หนึ่งแสนหยวนครับ การเสนอราคาประมูลแต่ละครั้ง ขั้นต่ำเพิ่มครั้งละห้าหมื่นหยวน!”

ตอนที่ผ้าแดงถูกเปิดออก เฉียนกั๋วต้องก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที!

เขาอยากรู้มาก ๆ ว่าภาพไม้ไผ่ที่อยู่บนเวทีตกลงเป็นของแท้หรือไม่

หรือว่าตอนนั้นนักวาดเจิ้งป่านเฉียวได้วาดภาพไม้ไผ่ที่เหมือนกันสองภาพ?

การเสนอราคาได้เริ่มขึ้นแล้ว เฉียนกั๋วต้องร้อนใจเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นผู้ชื่นชอบภาพวาดจีนคนหนึ่ง ถ้าหากไม่ได้ซื้อภาพของแท้มาคงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากเรื่องหนึ่ง!

เขาไม่มีทางยอมให้ในบ้านของตัวเองมีของปลอมเด็ดขาด และไม่อยากให้ภาพวาดที่มีมูลค่าเช่นนี้หลุดมือไป

ตอนนี้ภาพไม้ไผ่ได้ถูกเสนอราคาถึงหนึ่งล้านแล้ว!

เซียวหยางกับเย่หยุนซูนั่งอยู่ด้วยกัน เขานั่งไขว่ห้างมองเย่หยุนซูแล้วเอ่ยถาม “ร่วมงานกับคนที่แซ่เฉียนคนนั้น สามารถทำให้บริษัทได้กำไรมหาศาลเลยใช่ไหม?”

“ไม่ใช่กำไร แต่เป็นอนาคตและโอกาส! ถึงแม้ภายในระยะสั้นจะมองไม่เห็นผลประโยชน์มากมาย แต่ผลกำไรในระยะยาวเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงอยู่แล้ว สำหรับบริษัทหยุนซูก็เหมือนได้ขึ้นตึกไปอีกหนึ่งชั้น” ขณะพูด เย่หยุนซูก็มีสีหน้าหม่นหมองลง “แต่ว่าตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว……”

“สี่ล้านครั้งที่หนึ่ง! สี่ล้านครั้งที่สอง! สี่ล้าน……”

เฉียนกั๋วต้องจิตใจพะว้าพะวังมาก สำหรับคนที่หลงใหลคลั่งไคล้ในภาพวาดเช่นเขา ตอนนี้แทบจะอดใจไม่ไหวแล้ว

ต่อให้ภาพไม้ไผ่นี้เป็นของปลอมเขาก็ยอมแล้วล่ะ!

เขาหยิบป้ายขึ้นมาเพื่อจะเสนอราคาแต่ก็ได้ยินเสียงเอื่อยเฉื่อยดังมาจากด้านหลัง “แปดล้าน!”

หันกลับไปมองพบว่าเป็นเซียวหยางสามีของเย่หยุนซูนั่นเอง

เมื่อเสียงสิ้นสุดลง ทั้งงานก็เงียบลงทันที!

ภาพไม้ไผ่ภาพนี้อย่างมากก็ประมูลอยู่ที่ราคาห้าล้าน แต่วันนี้บริษัทเย่หยุนซูกลับเสนอราคาที่สูงถึงแปดล้าน ช่างทุ่มเทมากซะเหลือเกิน!

เย่หยุนซูทำหน้าดุใส่เซียวหยาง “นายบ้าไปแล้วหรือไง! ภาพวาดนี้ราคาไม่ถึงแปดล้านสักหน่อย!”

เดิมทีเธอก็ไม่มีหวังอะไรกับความร่วมมือครั้งนี้แล้ว ถ้าหากยังมีโอกาสอยู่บ้างเธออาจจะจ่ายเงินประมูลผลงานที่เฉียนกั๋วต้องชอบแล้วมอบให้เขา

แต่เฉียนกั๋วต้องพูดออกมาตรง ๆ ซะขนาดนั้นแล้ว บวกกับเรื่องที่เซียวหยางทำตัวงี่เง่าต่อหน้าเฉียนกั๋วต้อง เย่หยุนซูยิ่งสิ้นหวังกับความร่วมมือครั้งนี้

เห็นท่าทางมีดีใจมีความสุขของเซียวหยาง เย่หยุนซูก็ขมวดคิ้ว หรือว่าเซียวหยางจะมีแผนอะไร?

“แปดล้านครั้งที่หนึ่ง!”

“แปดล้านครั้งที่สอง!”

“แปดล้านครั้งที่สาม!”

“ปิดการประมูล!”

เหอเสวี่ยหมินยืนอยู่บนเวทีและกล่าวปิดการประมูลภาพนี้ ภาพไม้ไผ่ภาพนี้ได้ตกเป็นของเซียวหยางแล้ว

เซียวหยางลุกขึ้นจากที่นั่งทันที เดินขึ้นไปบนเวทีรับภาพไม้ไผ่มาสำรวจดู จากนั้นก็ทำเรื่องที่ทุกคนในงานต่างฮือฮากันด้วยความไม่พอใจ

เสียงฉีกกระดาษดังขึ้น ภาพไม้ไผ่ถูกเซียวหยางฉีกออกเป็นสองส่วน!

ผู้คนที่อยู่ในงานรู้สึกเหมือนแทบกระอักเลือด นี่เป็นภาพวาดที่ซื้อมาในราคาแปดล้านเชียวนะ ฉีกง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ!

“ไอ้คนนี้มันบ้าแน่ ๆ!”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนั่นแหละ นี่มันแปดล้านเลยนะ!”

……

เซียวหยางยิ้มพลางมองไปที่เฉียนกั๋วต้องที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ผู้ชมแถวที่หนึ่ง “คุณเฉียน ผมเห็นคุณมีสีหน้าลำบากใจ คุณชอบภาพวาดภาพนี้มากแต่กลับลังเลไม่ยอมซื้อ คุณคงสับสนมากสินะ!”

“เพราะที่บ้านคุณก็มีภาพไม้ไผ่ที่เหมือนกันเป๊ะอยู่ภาพหนึ่ง คุณเลยไม่แน่ใจว่าภาพไหนของจริง? ภาพไหนเป็นของปลอม?”

เฉียนกั๋วต้องแสร้งทำเป็นสงบนิ่งแล้วยิ้มออกมา “นายทำแบบนี้เพื่อให้ฉันยอมร่วมมือกับบริษัทหยุนซูเท่านั้น นายคิดว่ามันคุ้มเหรอ?”

“คุณเฉียน คุณฉลาดมาก แต่คุณเดาถูกแค่นิดหน่อยเท่านั้น” เซียวหยางยิ้มพลางเอ่ยพูด “ผมเข้าใจความรู้สึกคุณดี สำหรับคนที่ชื่นชอบภาพวาดพู่กันจีนจริง ๆ คนหนึ่งเห็นภาพวาดที่เหมือนกันเป๊ะถึงสองภาพ คงยากที่จะไม่รู้สึกสะดุดใจ ไม่รู้ว่าภาพไหนเป็นของจริง ภาพไหนเป็นของปลอม”

“ผมช่วยไขปริศนาให้คุณ เพื่อแลกกับโอกาสในการร่วมงานหนึ่งครั้ง คุณจะว่ายังไงครับ?”

เซียวหยางยิ้มมุมปาก “คุณเฉียน ผมไม่ได้บอกว่าภาพวาดนี้เป็นของปลอมนะ”

ทุกคนต่างพากันตกใจ!

“ไอ้หนุ่มนี่สงสัยสมองจะมีปัญหา!”

“น่าเสียดายจริง ๆ! น่าเสียดายมากเหลือเกิน!”

……

เฉียนกั๋วต้องสีหน้าตกตะลึง “หมายความว่ายังไง?”

“ผมบอกว่าภาพวาดของคุณภาพนั้นเป็นของจริง ภาพวาดของผมภาพนี้ก็เป็นของจริงเหมือนกัน!” เซียวหยางยิ้มพลางเอ่ยพูด

ส้งจื่อที่นั่งอยู่ข้างเฉียนกั๋วต้องหัวเราะเสียงดังออกมาทันที “น่าตลกจริง ๆ! จะบอกว่าตอนนั้นนักวาดเจิ้งป่านเฉียววาดภาพไม้ไผ่ที่เหมือนกันสองภาพน่ะเหรอ?”

เซียวหยางเหลือบมองส้งจื่อ แล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา “คุณเข้าใจเรื่องภาพวาดจีนงั้นเหรอ? ไม่มีความรู้เลยสักนิด!”

ส้งจื่อถูกยั่วโมโห ก็ชี้นิ้วด่าเซียวหยาง “แกมันก็แค่เขยสวะที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรมาถามฉัน แกมันไร้ค่า!”

เซียวหยางแบมือที่มีกระดาษซวนจื่อที่ถูกฉีกเป็นสองส่วนออก “ผมเชื่อว่าคนที่เข้าใจเรื่องภาพวาดจีนต่างรู้ว่ากระดาษซวนจื่อมีแบบสองชั้นและสามชั้นด้วย”

“ผลงานภาพวาดของนักวาดเจิ้งป่านเฉียวในสมัยราชวงศ์ชิงนั้นขึ้นชื่อเรื่องลายเส้นที่หนักแน่นมีพลัง ดังนั้นแม้ว่าภาพวาดของเขาถูกวาดลงบนกระดาษเพียงแผ่นเดียว แต่กระดาษอีกแผ่นก็มีรอยวาดอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน”

“ประธานเฉียนครับ ถ้าหากผมเดาไม่ผิดล่ะก็ ภาพไม้ไผ่ที่บ้านคุณภาพนั้นกระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอย่างหนัก หมึกที่ใช้วาดภาพนั้นก็มีสีเข้มกว่าภาพนี้มากเลยใช่ไหมครับ?”

เฉียนกั๋วต้องพยักหน้า “ภาพวาดที่บ้านฉันภาพนั้นสีเข้มกว่าภาพนี้จริง ๆ”

“นั่นเป็นเพราะภาพวาดที่อยู่บ้านคุณภาพนั้นเป็นกระดาษชั้นแรก ส่วนภาพนี้เป็นกระดาษชั้นรอง ตอนนั้นขณะที่นักวาดเจิ้งป่านเฉียวได้วาดภาพนี้หมึกได้ซึมไปถึงกระดาษชั้นรอง เลยทำให้มีภาพไม้ไผ่ภาพนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งภาพ” เซียวหยางอธิบาย

ส้งจื่อทำเสียงเหอะอย่างไม่พอใจ “พูดมั่วซั่วไปเรื่อย! นักวาดเจิ้งป่านเฉียวอยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง ตอนวาดภาพเป็นยังไงพวกเราจะไปรู้ได้ยังไงกัน แกมันก็พูดไปเรื่อยเพื่อให้ทุกคนยอมรับ!”

“เมื่อครู่ที่บอกว่าคุณไม่มีความรู้เลยสักนิด! ดูท่าทางผมจะพูดไม่ผิดจริง ๆ ด้วย!” เซียวหยางเอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ

ส้งจื่อโมโหจนหน้าแดง “ไอ้เวร! ฉันว่าแกก็แค่โกหกหลอกลวงคนอื่น คุณเฉียน คุณอย่าไปเชื่อมันเด็ดขาดนะครับ!”

ที่เซียวหยางพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ตอนนี้ เฉียนกั๋วต้องก็ไม่รู้ว่าควรเชื่อเซียวหยางดีหรือเปล่า

ขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็มีชายชราผมขาวท่านหนึ่งเดินเข้ามาในงาน คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นศาสตราจารย์หวง หวงจิ่งต๋านั่นเอง

“น้องชาย คิดไม่ถึงเลยว่านายก็อยู่ที่นี่ด้วย!”

คนที่อยู่ในงานฮือฮากันขึ้นมาทันที