รูปร่างกู้เจียวสูงเพรียวกว่ากู้จิ่นอวี้ ถึงแม้ว่ากู้จิ่นอวี้จะสวมรองเท้าปักลายพื้นหนาเอาไว้ แต่กู้เจียวก็ยังคงสามารถกดตามองต่ำอีกฝ่ายได้ด้วยความเหนือกว่า
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบว่า “หากความจริงใจแค่นี้ยังไม่มีก็อย่ามาโน้มน้าวให้ข้ากลับไป”
กู้จิ่นอวี้ดวงตาทั้งสองข้างแดงขึ้นเล็กน้อย “หากพี่อยากจะไล่ข้าไป…”
กู้เจียวเอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “ข้าไม่เสียดายหรอก เจ้าจะเอาอะไรก็เอาไป ไม่ต้องมาตอแยข้าก็พอ”
นี่เป็นบทสนทนาที่ยาวที่สุดที่กู้เจียวพูดคุยกับคนแปลกหน้าแล้ว เห็นได้ชัดว่านางมีความอดทนเพียงนี้ต่อคนที่น่าห่วงใย
จากนั้นกู้เจียวก็แสดงแสงยานุภาพทำให้รู้ว่า การทำกู้จิ่นอวี้ให้กลายเป็นอากาศธาตุนั้นมันเป็นอย่างไร
กู้จิ่นอวี้กัดฟันฝืนเผากระดาษเงินจนหมด จนกระทั่งสุดท้ายก็ยังไม่สามารถเรียกกู้ซานหลังและแม่นางสวีว่าพ่อแม่ต่อหน้ากู้เจียวได้แม้แต่คำเดียว
กู้จิ่นอวี้คุกเข่าอยู่เนิ่นนานจนขาชาไปหมด ยังคงเป็นสาวใช้และแม่นมที่เข้าไปพยุงนางขึ้นมา
นางค้อมกายคำนับให้กู้เจียว “ข้ากลับไปก่อนนะ หากว่างจะมาเยี่ยมพี่สาวใหม่”
นางเพิ่งจะกลับไปได้ไม่นาน เสี่ยวจิ้งคงก็กระโดดโลดเต้นมาหาจากทางอีกเส้นหนึ่ง “เจียวเจียว!”
เขาเห็นกู้จิ่นอวี้ที่อยู่ไม่ไกล จึงเอ่ยถามด้วยความฉงนว่า “เอ๋ พวกเขาเป็นใครหรือ”
กู้เจียวเอ่ยว่า “คนแปลกหน้าน่ะ”
“อ้อ” คนแปลกหน้านี่เอง เช่นนั้นเสี่ยวจี้งคงก็ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาแล้ว
“เจ้ามาได้อย่างไร” กู้เจียวถาม
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยว่า “ข้ากลับไปบ้านแล้วเจ้าไม่อยู่ ท่านย่าบอกว่าเจ้ามาที่สุสาน!”
เสี่ยวจิ้งคงต้องไปเรียนช่วงเช้า ฝึกวรยุทธรวมถึงแกล้งเพื่อนๆ ในหมู่บ้านอยู่ทุกๆ เช้า เขาเพิ่งแกล้งเพื่อนเสร็จ กลับบ้านมาพบว่ากู้เจียวไม่อยู่จึงถามท่านย่าว่าเจียวเจียวไปไหน
“นี่สุสานใครหรือ” เสี่ยวจิ้งคงดวงตาเบิกโตพลางถาม
กู้เจียวมองไปยังสุสานเก่าสองหลุมพลางเอ่ยว่า “ของพ่อแม่ข้า นี่พ่อข้า นี่แม่ข้า”
เสี่ยวจิ้งคงเอามือน้อยๆ ไพล่หลังไว้ เอียงคอครุ่นคิดพักหนึ่ง “พ่อแม่ของเจียวเจียว เช่นนั้นก็เป็นพ่อแม่ของจิ้งคงด้วย!”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยพลางคุกเข่าลงโขกหัวให้กู้ซานหลังกับแม่นางสวีหลายหน
เขาโขกด้วยความจริงใจยิ่ง ศีรษะโขกจุ่มลงในดินไปแล้ว ซ้ำยังเรียกว่าพ่อเแม่อีกด้วย
เสียงเขาเป็นเด็กๆ เสียงเล็กเสียงน้อย ทว่าใบหน้าดวงน้อยกลับเคร่งขรึม ร่างเล็กๆ คุกเข่าอยู่ด้านล่างเนินสุสานอันเปล่าเปลี่ยว ทำเอาคนมองอยากร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้
เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงคนหนึ่งยังเอ่ยได้ขนาดนี้ ส่วนตัวเองที่เป็นลูกสาวแท้ๆ กลับไม่เอ่ยเรียกกระทั่งพ่อแม่สักคำ กู้จิ่นอวี้รู้สึกจุกเสียดขึ้นมาในใจ ราวกับมีใครมาตบหน้าฉาดใหญ่
“คุณหนู ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ” สาวใช้สัมผัสได้ถึงความแปลกไปของกู้จิ่นอวี้
กู้จิ่นอวี้หลับตาลง “ไม่เป็นไร กลับจวนกัน”
“เจ้าค่ะ!”
พวกกู้จิ่นอวี้นั่งรถม้ากลับจวนไปแล้ว
อีกด้านหนึ่ง กู้เจียวกับเสี่ยวจิ้งคงทำความสะอาดหญ้ารกชัฏตรงเนินสุสานเสร็จก็เดินกลับไปด้วยกัน
“เจียวเจียวหายป่วยหรือยัง” เสี่ยวจิ้งคงจับมือกู้เจียวพลางถามขึ้น
“อืม หายแล้ว” กู้เจียวพยักหน้า
ไข้ลดไปแล้ว สำหรับนางก็คือหายแล้ว
ส่วนบาดแผลตกสะเก็ดหมดแล้ว นั่นล้วนเป็นเรื่องปกติ นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
เสี่ยวจิ้งคงได้ยินว่ากู้เจียวหายป่วยแล้วก็เชื่อว่านางหายแล้วเสียสนิทใจ เขากู่ร้องขึ้นด้วยความปรีดาสดใส “เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะพูดคุยกับพ่อแม่ด้วยล่ะ!”
“หืม เจ้าว่าอะไรนะ” ตอนกู้เจียวตัดหญ้าได้ยินเด็กน้อยพึมพำๆ อยู่ในปาก แต่ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร
เสี่ยวจิ้งคงเชิดหน้าขึ้น เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจว่า “ข้าให้พ่อแม่ปกปักษ์รักษาเจียวเจียวไม่ให้ป่วยอีก! พ่อแม่ต้องได้ยินแน่ๆ จึงทำให้เจียวเจียวหายป่วยได้!”
กู้เจียว แบบนี้ก็ได้ด้วยรึ
เสี่ยวจิ้งคงมั่นอกมั่นใจมากว่ากู้ซานหลังและแม่นางสวีที่อยู่ในปรโลกนั้นศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ชัดว่าตัวเองเป็นคนทำให้พวกเขาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นอันที่จริงที่จึงเป็นความดีความชอบของเขา ไม่ใช่ยาที่พี่เขยนิสัยไม่ดีเอามาให้!
เรียกได้ว่าเป็นเณรน้อยที่แย่งชิงความรักกับพี่เขยอยู่ตลอดเวลาจริงๆ!
ทว่าหลังจากที่กู้จิ่นอวี้ออกจากหมู่บ้านไปก็รีบร้อนกลับไปยังจวน เพิ่งจะถึงที่เมืองก็พบว่าของสิ่งหนึ่งของตัวเองหายไป “หยุดก่อน”
นางสั่งขึ้น
คนขับรถม้าหยุดรถอยู่ข้างถนน หวงจงขี่ม้าพันธุ์ดีมาถามว่า “คุณหนู เกิดอะไรขึ้นหรือ”
กู้จิ่นอวี้ล้วงหาจากในแขนเสื้อและกระเป๋าของตัวเองอย่างละเอียด ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ของข้าหาย”
“อะไรหายหรือ” หวงจงถาม
“จดหมายฉบับหนึ่ง” กู้จิ่นอวี้บอก
“เช่นนั้นข้าให้พวกนางมาช่วยท่านหา” หวงจงเรียกสาวใช้และแม่นมที่อยู่บนรถม้าคันหลังให้มาช่วยกู้จิ่นอวี้รื้อค้นภายในรถ
ผลสุดท้ายพวกนางรื้อค้นจนทั่วแล้วก็ยังหาของที่กู้จิ่นอวี้ทำหายไปไม่เจอ
“เป็นจดหมายที่สำคัญมากหรือไม่” หวงจงถามขึ้น
“อืม” กู้จิ่นอวี้พยักหน้า
นั่นเป็นจดหมายที่ซูเฟยเขียนให้นาง ด้านในมีโจทย์ข้อหนึ่ง เดิมทีตั้งให้บรรดาองค์ชายตอบ แต่องค์ชายห้าที่เป็นโอรสซูเฟยตอบไม่ได้ จึงส่งจดหมายมาให้นาง
กู้จิ่นอวี้ฉลาดเฉลียวกว่าพวกสหายร่วมเรียนขององค์ชายห้ามากนัก ตั้งแต่เด็กจนโตก็เป็นนางที่แอบแก้โจทย์ให้องค์ชายห้า แก้เสร็จก็จะบอกว่าองค์ชายห้าทำเอง
ฮ่องเต้ไม่ทราบความจริง ทรงคิดว่าเจ้าห้าฉลาดเฉลียวกว่าองค์ชายคนอื่นๆ
ฮ่องเต้ทรงรักใคร่ซูเฟยมาก องค์ชายห้าจึงพลอยได้รับความสำคัญไปด้วย และด้วยเหตุนี้ซูเฟยจึงให้ความสำคัญกับกู้จิ่นอวี้เป็นพิเศษ
โจทย์คราวนี้ฝ่าบาททรงตั้งด้วยพระองค์เอง ว่ากันว่าทำเอาองค์ชายทุกพระองค์ต่างกุมหัวกันหมด
คนทั่วทั้งแคว้นจ้าวต่างรู้ดีว่าฝ่าบาทพระองค์นี้ของพวกเขาไม่ชอบกลอนกวีและการเขียนเรียงความ พระองค์ชอบเจาะลึกการคำนวณและดาราศาสตร์
ซูเฟยกำชับกู้จิ่นอวี้ในจดหมายมาอีกรอบว่าให้นางช่วยองค์ชายห้าแก้โจทย์นี้ให้ได้ และต้องให้ไวที่สุดด้วย
ใครสามารถแก้โจทย์นี้ได้ก่อน คนนั้นก็จะสามารถได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท
กู้จิ่นอวี้พกโจทย์ติดตัวเอาไว้ทุกวัน ขอแค่มีเวลาว่างนางก็จะเอามาคำนวณ
ทว่าโจทย์ที่ฝ่าบาททรงคิดขึ้นยากมากนัก นางใช้สมองอัจฉริยะมากมายฝืนคำนวณไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น
ทว่าแม้จะเพียงแค่ครึ่งทางก็ผ่านการคิดคำนวณมากมายมหาศาลจึงคำนวณออกมาได้ วันนี้กลับทำผลสำเร็จที่ทรมานนางอยู่นานหายไปเสียได้
กู้จิ่นอวี้อึดอัดใจยิ่งนัก
ให้นางคิดคำนวณใหม่แต่แรกอีกครั้ง เกรงว่านางได้บ้าตายแน่
กู้จิ่นอวี้กุมหน้าอกไว้ เอ่ยว่า “จะตกอยู่ที่หมู่บ้านหรือไม่ เมื่อครู่ข้าคุกเข่าเผากระดาษเงินตรงนั้นตลอด ไม่แน่ว่าอาจจะร่วงลงมาจากแขนเสื้อตอนนั้นก็ได้”
……
เสี่ยวจิ้งคงจับมือกู้เจียวกระโดดโลดเต้นกลับบ้านไป
กู้เจียวไปทำกับข้าว เขาไปให้อาหารลูกเจี๊ยบ ถือโอกาสตักมูลไก่และเก็บกวาดเล้าด้วย
แต่เขายังไม่ทันเริ่มก็พบว่า
“เอ๋” เขาก้มหน้ามองสิ่งของที่ติดอยู่ตรงส้นเท้าตัวเอง กะพริบตาปริบๆ ด้วยความแปลกใจ ก่อนจะโน้มตัวลงไปเก็บมันขึ้นมา
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นซองจดหมายน้อยที่พับไว้ฉบับหนึ่ง
บนจดหมายไม่ได้เขียนชื่อไว้
เขาเปิดซองจดหมายออก เอาจดหมายในนั้นออกมา
บนจดหมายยังคงไม่มีชื่อเขียนไว้ และไม่มีชื่อผู้เขียนด้วย บนกระดาษขาวแผ่นใหญ่เต็มไปด้วยตัวเลขเต็มหน้า
“เหมือนว่าจะเป็นโจทย์ข้อหนึ่งนะ” เสี่ยวจิ้งคงเผยสีหน้ามึนงงออกมา
นี่เป็นความรู้ที่เขาไม่เคยเรียน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ที่สำคัญก็คือ เหตุใดมันจึงได้มาอยู่ใต้เท้าเขาล่ะ
เขามั่นใจมากว่าก่อนออกจากบ้านรองเท้าตัวเองสะอาดเอี่ยมอ่องมากนัก
“หรือว่า…พ่อแม่จะเป็นคนให้ข้ามา”
เสี่ยวจิ้งคงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ พ่อแม่ได้ยินคำอธิษฐานของเขาแน่ๆ จากนั้นจึงตอบรับมา!
เขาครุ่นคิดอยู่กับที่ครู่หนึ่ง สอดจดหมายไว้ในแขนเสื้อ ก่อนจะวิ่งตึงตังเข้าห้องครัวไปนั่งยองๆ ลงมองใต้รองเท้าของกู้เจียว
กู้เจียวถูกเขามองจนเกิดความมึนงงขึ้น “เจ้ามองอะไรหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง “เปล่า! เปล่า!”
พ่อแม่ไม่ได้ให้จดหมายเจียวเจียวมา ให้แค่เขาคนเดียว
เพราะเมื่อครู่เจียวเจียวไม่ได้พูดคุยกับพ่อแม่ มีแค่เขาที่พูด
ความคิดวาบผ่านไป เสี่ยวจิ้งคงก็ยิ่งมั่นใจว่าพ่อแม่ที่อยู่ปรโลกเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้ให้เขา!
ทว่าเนื่องจากเขาไม่ได้บอกระดับความรู้ของตัวเองให้พ่อแม่รู้ จึงทำให้พ่อแม่คะเนว่าเขามีความสามารถสูง
เพื่อไม่ให้พ่อแม่ต้องผิดหวัง เสี่ยวจิ้งคงตัดสินใจขอตัวช่วย
เสี่ยวจิ้งคงถือกระดาษกับพู่กันไปในห้องครัว “เจียวเจียว เจียวเจียว โจทย์ข้อนี้ข้าทำไม่เป็น!”
ตอนเสี่ยวจิ้งคงลงเขามาเอาคัมภีร์รวมถึงโจทย์แปลกๆ ที่บอกว่าอาจารย์เขาตั้งให้มาด้วยไม่น้อย ของพวกนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์เขาทำไว้ครึ่งหนึ่ง เรื่องบางเรื่องอาจารย์เขาก็ไม่ได้ทำเลย
ตอนที่กู้เจียวเห็นโจทย์นี้จึงไม่ได้คิดมาก คิดเพียงว่าเป็นโจทย์ที่อาจารย์ให้เขามา
ในหม้อทอดเนื้ออยู่ อุณหภูมิของน้ำมันกำลังดี ไม่อาจทอดให้เละเกินไป และจะทอดนานเกินไปไม่ได้ด้วย
กู้เจียวหาเวลาว่างแก้โจทย์ของเขา จากนั้นจึงเอาเนื้อทอดจนเหลืองกรอบขึ้นจากหม้อ ใช้เวลาทั้งหมดนี้ไม่ถึงหนึ่งนาที
เสี่ยวจิ้งคงถือโจทย์ที่แก้เรียบร้อยแล้วไปตรงหน้าสุสานของกู้ซานหลังและภรรยา
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ ไม่ปิดบังเรื่องที่ตัวเองถามกู้เจียวเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เขาก็ท่องคัมภีร์ที่ตัวเองเคยเรียนให้กู้ซานหลังและภรรยาฟังรอบหนึ่ง หวังว่าครั้งหน้าตอนที่พวกเขาทดสอบตนอีกจะออกโจทย์จากคัมภีร์เหล่านี้แทน
“เช่นนั้นพวกท่านพ่อท่านแม่พักผ่อนให้สบายเถิด ข้ากลับก่อนนะ! วันหน้าจะมาหาพวกท่านใหม่”
เสี่ยวจิ้งคงวางโจทย์ที่แก้เรียบร้อยแล้วไว้หน้าหลุมศพ เพื่อไม่ให้ลมพัดปลิว เขายังหาก้อนหินเล็กๆ มาวางทับไว้ให้เป็นพิเศษอีกด้วย!
พวกกู้จิ่นอวี้กลับมาที่หน้าหมู่บ้านอีกครั้ง
“คุณหนู ท่านรออยู่ที่รถม้าดีกว่า เดี๋ยวพวกเราไปหาเอง” แม่นมบอกกับนาง
กู้จิ่นอวี้ยังคงเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ทางที่ดีอย่าได้ปรากฏตัวในที่ต้อยต่ำพรรค์นี้บ่อยๆ ดีกว่า
กู้จิ่นอวี้ตั้งใจครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายไม่ได้ปฏิเสธไป
แม่นมและสาวใช้รวมถึงพวกหวงจงเดินไล่หาไปตามทาง
“พวกเจ้าไปหาทางนี้ ข้ากับหลิ่วเอ๋อร์จะไปดูที่สุสาน” แม่นมเอ่ยจบก็พาสาวใช้ไปหน้าสุสานกู้ซานหลังกับภรรยา
จู่ๆ สาวใช้ก็ชี้ก้อนหินบนพื้นก้อนหนึ่ง “แม่นม! ดูสิ! หินทับบางอย่างเอาไว้!”
แม่นมดวงตาเป็นประกาย รีบเข้าไปหยิบก้อนหินออก แต่กลับพบว่าด้านล่างเป็นกองขี้เถ้าและกระดาษเงินใบหนึ่งที่ยังเผาไหม้ไม่หมด
ถูกต้องแล้ว ระหว่างทางกลับมานั้น จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นคือกระดาษเงินที่ให้พ่อแม่ต้องเผาเท่านั้นพ่อแม่จึงจะได้รับ โจทย์นี้ก็เช่นกัน!
ดังนั้นเขาจึงย้อนกลับมาจุดไฟเผาโจทย์ที่ทำเสร็จเรียบร้อยไป!
ทำเช่นนี้พ่อแม่ก็จะได้รับแล้ว!
“ข้านี่มันฉลาดหลักแหลมจริงๆ!”