“เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจนข้าเกือบจำไม่ได้เลยนะ”

“ท่านอาจารย์เองก็ดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะ”

เหมือนรักแรกพบของเด็กหนุ่มและเด็กสาว ณ โรงฝึกดาบห่างไกลความเจริญ

ถุย ข้าน่ะแก่เกินจะเป็นเด็กหนุ่มที่ว่า และเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่ หาใช่เด็กสาวไม่

แต่นางก็สวยจริงๆ ให้ตายเถอะ

ข้าเพิ่งจะนึกถึงเธอ แล้วเธอก็มาปรากฏตรงหน้าข้าในตอนนี้

ก็อยากจะเรียกว่าโชคชะตาพัดพาให้เรามาเจอกัน ถ้าข้าไม่เป็นโคแก่หงำแบบตอนนี้น่ะนะ

โชคร้ายที่ข้าไม่ใช่เด็กหนุ่มซื่อๆอีกต่อไป แล้วไอ้ลมพัดหวนอบอวลรักอะไรนั่น สำหรับข้านั้น เลิกคิดได้เลย

อาณาจักรรีเวอริสนั้น ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปกาเลีย

เมืองหลวงของอาณาจักรนี้คือ เมืองบาลเทรน

อัศวินริเวลลิโอ้ที่ประจำอยู่เมืองหลวงนั้น เป็นสังกัดหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับพระราชาเท่านั้น

และผู้นำของหน่วยงานนี้ คือ หัวหน้ากองอัศวิน อลิเซีย ไซตรัส ผู้ยืนอยู่ตรงหน้าข้าในตอนนี้

ในตอนที่เข้ามาฝึกดาบที่นี่ เธอเป็นเด็กสาวที่ทำอะไรจริงจังและพึ่งพาได้ เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์พอที่จะซึมซับทักษะเชิงดาบของข้าและประยุกต์ใช้ให้เป็นรูปแบบเฉพาะของตนเองได้

ในตอนนั้น เธอยังคอยดูแลรุ่นน้อง และเฝ้าระวังอุบัติเหตุระหว่างการฝึกเป็นอย่างดี

เธอเป็นเด็กดีที่นำพาความสดใสมาให้กับโรงฝึกดาบที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้

เธอใช้เวลาศึกษาฝึกฝนอยู่สี่ปี ตั้งแต่อายุสิบสองจนถึงอายุสิบหกปี

ในช่วงสี่ปีนี้ เธอได้ซึมซับทุกสิ่งที่ข้าได้สอนไปจนหมด และหลังจากออกจากที่นี่ ซึ่งคือหมู่บ้านบิดเดน เธอก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงบาลเทรนเพื่อศึกษาต่อ

“นานแล้วนะคะที่ข้าไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านบิดเดน”

“นั่นสินะ ผ่านมากี่ปีกันแล้วนะ…?”

อลิเซียกล่าว ในขณะที่มองไปรอบๆโรงฝึก น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความคิดถึงผูกพันกับสถานที่

เธอไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้โดยกำเนิด ครอบครัวเธอได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับโรงฝึกเรา จึงส่งเธอมาเรียนที่นี่

ในวันที่พวกเขามาที่โรงฝึกนั้น ได้แต่งกายสุภาพเพื่อมาขอเข้าเรียน และเท่าที่ข้าจำได้คือ ครอบครัวของเธอเป็นตระกูลพ่อค้า พวกเขาอยากให้บุตรสาวของตนมีทักษะวิชาดาบ ที่อย่างน้อยๆก็ใช้ป้องกันตัวเองได้ในยามคับขัน

ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาตัดสินใจให้เธอพักอยู่หมู่บ้านนี้ในระหว่างฝึกฝน ยาวนานเป็นเวลาถึงสี่ปีจนจบการศึกษา

นึกแล้วก็น่าขัน ลูกสาวพ่อค้า จับพลัดจับผลูมาเป็นหัวหน้ากองอัศวินหลวงไปซะงั้น

คิดไม่ออกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

ช่างมันเถอะ ข้าเองก็ไม่ใช่พวกสอดรู้สอดเห็นที่จะไปเผือกกับอดีตของบรรดาลูกศิษย์แต่อย่างใด

ปกติแล้วใครอยากมาเรียนกับข้า ถ้ายังไม่บรรลุนิติภาวะ ข้าก็จะถามยืนยันความสมัครใจกับผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ของเด็กๆก่อน นอกเหนือจากนี้ก็รับสอนหมด ตราบเท่าที่มีค่าเล่าเรียนให้ ข้าก็ไม่บ่น

“จะว่าไปแล้ว ท่านอาจารย์ได้อ่านจดหมายที่ข้าส่งมารึยังคะ?”

“อื้ม ข้าอ่านแล้ว ดูเหมือนชีวิตเจ้ากำลังไปได้สวยทีเดียว”

หลังจบการศึกษาไป เธอมักจะส่งจดหมายถึงข้าทุกๆ 2-3 เดือนราวๆนี้ เพื่อบอกเล่าชีวิตความเป็นอยู่ของเธอ

ข้าไม่เคยคิดว่าอลิเซียจะกลับมาเยี่ยมโรงฝึกแบบนี้มาก่อน ถ้าจะมาก็น่าจะบอกกันล่วงหน้าสักนิด

เธออาจจะทำให้ทุกคนตกใจได้ที่อยู่ดีๆ หัวหน้ากองอัศวินหลวงก็มาที่โรงฝึก ใครๆก็จะนึกว่ามีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า

เธอในตอนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก สำหรับสาวในช่วงอายุ..เอ่อ ข้าว่าน่าจะ 25 ปีมั้ง เธอถึงพร้อมไปด้วยสภาพร่างกายและจิตใจ แก้มยุ้ยน่ารักแบบเด็กๆก็ไม่มีแล้ว เด็กน้อยน่ารักในวันวานไม่มีอีกต่อไป มีแต่หญิงสาวคนหนึ่งที่สวยสมวัย สุขุมและใจเย็น

ใบหน้าของเธอเรียวงาม ดูสง่า รูปร่างก็สมส่วน ดูสุขภาพดี ท่าทางหลังจากเรียนจบไป เธอคงดูแลสุขภาพร่างกายเป็นอย่างดี

“เจ้ายังใช้ดาบเล่มนั้นอยู่อีกรึ?”

“ค่ะ ท่านอาจารย์ ดาบเล่มนี้ที่ท่านมอบให้มีค่าสำหรับข้ามาก”

ข้ามองไปที่เธอ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่กล่าวถึงดาบเล่มนั้น

อลิเซียไม่ได้สวมชุดอัศวินเต็มยศ เธอสวมชุดลำลอง ที่คลุมด้วยแจ็กเกตหนังอย่างดีอีกชั้น

มีสิ่งเดียวที่บ่งบอกสถานะคือ การพกอาวุธติดตัวตามหน้าที่ของอัศวิน และดาบเล่มนั้นก็ช่างดูคุ้นตานัก เพราะเป็นดาบที่ข้ามอบให้เป็นที่ระลึกสำหรับการจบการศึกษา

“เจ้าเป็นหัวหน้ากองอัศวินแล้ว น่าจะหาดาบที่ดีกว่านี้ใช้แทนนะ”

“คุณภาพของดาบนั้นอยู่ที่ใจค่ะ ข้าชอบดาบเล่มนี้ ถึงจะมีดาบเล่มอื่นที่คล้ายกัน แต่ดาบเล่มนี้เป็นของข้าเพียงผู้เดียว”

“…งั้นรึ”

ข้าควรทำยังไงดีล่ะ? ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจอยู่หรอก แต่ก็ทำเอาอึ้งไปเหมือนกัน

ข้ารู้สึกว่าเธอให้ความสำคัญกับของที่ข้ามอบให้เป็นของขวัญจึงสงวนถ้อยคำไว้ดีกว่า

ถ้าเธอมีความสุขกับสิ่งที่ข้ามอบให้นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว

ถ้าข้ามอบของที่ดีกว่านี้ก็น่าจะดีกว่า แต่บ้านนอกแบบนี้ ข้าจะไปหาดาบคุณภาพสูงจากที่ไหนได้ ของแบบนั้นน่ะมันมีจำกัด

ถึงจะมีช่างตีเหล็กในหมู่บ้าน แต่ก็มีฝีมือระดับกลางๆ ทำอุปกรณ์ที่คุณภาพพอใช้ได้ ข้าจึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับงานฝีมือด้านนี้สักเท่าไร

ข้าจำไม่ได้ว่าข้าได้มอบดาบให้เป็นของที่ระลึกไปกี่คนแล้วด้วยสิ

แต่ถ้าได้เห็นดาบนั้นอีกครั้ง ข้าก็จำได้อยู่ ถึงจะไม่ได้เห็นดาบเล่มนั้นมานานแล้วก็เถอะ ใช้เวลานึกสักหน่อยก็จำได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ด้วยกิจการโรงฝึกเราทำเงินได้ดี ข้าจึงมีกำลังทรัพย์พอที่จะมอบดาบให้เป็นของที่ระลึกสำหรับลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์เหล่านั้น

“แล้ววันนี้มีอะไรให้ข้าช่วยเจ้าได้บ้างล่ะ ในจดหมายของเจ้าก็ไม่ได้ระบุอะไรไว้ด้วยสิ”

ข้าสลัดความคิดเรื่อยเปื่อยทิ้งไป และเข้าประเด็นธุระของอลิเซีย

อย่างที่บอกไปคือ ข้าได้อ่านเนื้อหาในจดหมายของเธอแล้ว แต่ไม่เห็นมีข้อความไหนระบุว่าเธอจะเดินทางมาพบข้าเป็นการส่วนตัวแบบนี้เลย

เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ไม่สิ…มีบรรทัดหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “พวกขุนนางนั้นเข้าหาได้ยากและเป็นพวกข้าราชการสำคัญ แต่นั่นก็นับเป็นแง่ดีด้วย ท่านอาจารย์ตั้งตารอได้เลยค่ะ”

ข้าก็คาดว่าเธอจะส่งจดหมายฉบับต่อมาเพื่อขยายความเข้าใจตรงนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอเดินทางมาด้วยตนเองซะงั้น

“โอ๊ะ จริงสิ ท่านอาจารย์คะ จริงๆแล้วข้ามีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบด้วยค่ะ”

“งั้นรึ? อะไรล่ะ?”

ตอนแรกข้าคิดว่าน่าจะเป็นข่าวร้าย แต่เธอก็ยังคงยิ้มไม่หุบแต่อย่างใด

ตรงกันข้าม เธอยิ้มกว้างกว่าเดิม และดูเจิดจ้ากว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

พูดก็พูดเถอะว่า การที่มีสาวน้อยพราวเสน่ห์ส่งยิ้มให้แบบนี้ ชีวิตคนแก่อย่างข้ามันรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมา แต่อดหวั่นใจไม่ได้เหมือนกันว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนี้ มันมีเรื่องซีเรียสอะไรแอบแฝงอยู่รึเปล่า

มันเป็นข่าวแบบไหนกันนะที่ข้าจะได้รู้จากปากเธอ

อื่มมม…นึกไม่ออกเลยว่ะ

ถ้าเธอได้รับการเสนอให้เลื่อนตำแหน่งขึ้น แค่ส่งจดหมายมาบอกก็พอ แต่การที่เธอเดินทางมาด้วยตนเอง มันน่าจะมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้ารึเปล่า? แต่มันเป็นเรื่องแบบไหนที่จะให้ตาลุงบ้านนอกวัย 40 ปีอย่างข้าเข้าไปเกี่ยวข้องได้กันเล่า

“ท่านอาจารย์คะ อันที่จริง นอกจากข้าจะเป็นผู้นำกองอัศวินแล้ว ข้ายังรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนวิชาดาบให้กับพวกเขาด้วย”

“โอ้ ดีเลยๆ”

อลิเซียนี่ยอดไปเลย

ข้ามั่นใจว่าเชิงดาบของเธอต้องดีขึ้นกว่าเดิมแน่ๆหลังจากเรียนจบและไปทำงานที่เมืองหลวง

เธอช่างเป็นผู้บัญชาการกองอัศวินที่งดงามจริงๆ

“ด้วยการนี้เอง ข้าจึงเสนอชื่อท่านอาจารย์ให้เป็นผู้ฝึกสอนพิเศษให้กับกองอัศวิน ทั้งนี้ได้รับการยินยอมจากพวกเขาแล้วค่ะ”

“หา?”

เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?

———————————————————————

บ่นท้ายตอนจากผู้แปล

อุปสรรคงานแปลนี้คือ เพจที่แปลนิยายนี้เป็นภาษาอังกฤษ มีระบบป้องกันไม่ให้ copy ข้อความมาแปะลง notepad ทำให้ผมต้องเปิดสลับไปมาระหว่างหน้านิยายแปล กับ notepad ข้อความที่ผมแปลไทย

มันทำให้แปลช้าและน่าหงุดหงิดจริงๆ

ชื่ออาณาจักรในมังงะ คือ ริเบลริส แต่ในนิยายแปลภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า ริเวอริส (Riveris)

ในมังงะ อัศวิน ริเบลลิโอ้ ในนิยายใช้คำว่า ริเวลลิโอ้ (Rivelio)