ตอนที่ 82 วิญญาณที่จงรักภักดีของแคว้น

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 82 วิญญาณที่จงรักภักดีของแคว้น
ไป๋ชิงเสวียนหวนนึกถึงท่าทีที่ซิ่นอ๋องมีต่อไป๋ชิงเหยียนในที่สุดจึงพยักหน้าเห็นด้วย

“ตกลง! แม่เก็บของเดี๋ยวนี้เลย ทางจวนกำลังจัดพิธีศพอันยิ่งใหญ่ให้บุรุษตระกูลไป๋ ไม่มีเวลามาสนใจเราสองแม่ลูกหรอก แม่เอาของมีค่าส่งไปซ่อนนอกจวนก่อน พอข้าเริ่มดีขึ้น เราจะไปจากที่นี่!”

เมื่อเห็นว่าบุตรชายตัดสินใจได้แล้ว สตรีวัยกลางคนรีบพยักหน้ารัว “แม่จะไปเตรียมเดี๋ยวนี้!”

ฮูหยินสี่หวังซื่อที่ยามปกติเป็นคนอ่อนแอ ครั้งนี้ยืดกรานต้องการอยู่เฝ้าบุตรชาย ไม่ว่าผู้ใดโน้มน้าวก็ไม่ฟัง เอาแต่กอดโลงศพของบุตรชายไม่ยอมปล่อยมือกล่าวว่าจะอยู่เป็นเพื่อนบุตรชาย

ต่งซื่อเป็นมารดาเช่นเดียวกันจะไม่เข้าใจความรู้สึกของหวังซื่อได้อย่างใด นางสั่งให้คนนำเตาผิง และเสื้อคลุมตัวหนามาคลุมให้หวังซื่อเพื่อคลายหนาว

เมื่อหวังซื่อไร้เรี่ยวแรงจนหมดสติไป ต่งซื่อจึงสั่งให้คนแบกนางกลับไปที่เรือน

กลางดึก ไป๋ชิงเหยียนให้ท่านแม่และบรรดาท่านป้าสะใภ้ไปพักผ่อน พี่น้องทั้งเจ็ดคนคุกเข่าเฝ้าอยู่หน้าโลงศพ ส่วนไป๋ชิงเสวียน…ไป๋ชิงเหยียนสั่งคนไปตามแต่กลับได้รับรายงานว่าบาดแผลอักเสบ ไข้ขึ้นสูงจึงมาไม่ได้

แม้คุณหนูห้า คุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดยังเด็ก แต่ความเศร้าโศกเสียใจกลับเป็นพลังให้พวกนางมีแรงคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพเพื่อรอการกลับมาของวิญญาณของท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุงและบรรดาท่านพี่

ค่ำคืนช่วงก่อนรุ่งสางเป็นช่วงเวลาที่มืดมิด และเหน็บหนาวมากที่สุด แม้จะสวมเสื้อคลุมอย่างแน่นหนาแต่ไอหนาวก็แผ่ไปถึงช่วงเอวของไป๋ชิงเหยียน

แสงไฟริบหรี่ของเทียนส่งเสียงปะทุขึ้นเล็กน้อย ไป๋ชิงเหยียนเห็นไป๋จิ่นเซ่อนั่งสัปหงก นางจึงค่อยๆ คลายเสื้อคลุมออกรั้งตัวไป๋จิ่นเซ่อซึ่งหลับสนิทเพราะฝืนไม่ไหวมาไว้ในอ้อมกอด ใช้เสื้อคลุมห่อร่างกายของน้องสาวอย่างมิดชิด สั่งให้ชุนเถาเขี่ยไฟในเตาผิงให้สว่างมากขึ้น

ไป๋จิ่นซิ่วก็ประคองร่างของน้องห้าที่เปลือกตาปิดสนิทเอาไว้ สั่งให้คนนำผ้าห่มมาคลุมให้คุณหนูห้าและคุณหนูหก

“เสี่ยวซื่อ เจ้าบาดเจ็บอยู่ ไปพักผ่อนเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยกับไป๋จิ่นจื้อ

ไป่จิ่นจื้อคุกเข่าอยู่บนฟูกกลม ส่ายหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตทั้งตระกูล แม้แต่ร่างก็นำกลับมาไม่ได้ นางจะหลับลงได้อย่างใดกัน

สิ่งที่ไป๋จิ่นจื้อคิดแสดงออกทางสีหน้าจนหมดสิ้น เมื่อไป๋ชิงเหยียนมองเห็นขอบตาจึงร้อนผ่าวด้วยความสงสาร หญิงสาวหลุบตาลง กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

“ไม่เจอร่างของคนอื่นๆ สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้ นี่อาจจะเป็นความหวังของพวกเรามิใช่หรือ”

ไป๋จิ่นจื้อมองไปยังไป๋ชิงเหยียนทั้งน้ำตา ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาของตัวเองจู่ๆ ในใจก็เกิดประกายไฟขึ้นมา ร่างทั้งร่างมีพลังขึ้นมาทันที พยักหน้าพลางสะอื้น “เจ้าค่ะ!”

ท้องฟ้าเพิ่งสว่างก็เริ่มมีชาวบ้านมาเคารพศพหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง และมีชาวบ้านบางกลุ่มที่มาสอดแนมว่าวันนี้จะมีขุนนางสูงศักดิ์มาเคารพศพบ้างหรือไม่

แสงแดดยามรุ่งอรุณส่องผ่านหมอกขาวกระทบไปยังกระเบื้องอิฐสีน้ำเงินที่มีหิมะปกคลุมอยู่

รถม้าไม้สีทองแดงหรูหราคันหนึ่งหยุดลงที่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง

องครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยนนำเก้าอี้มาวางพลางพยุงชายหนุ่มลงจากรถม้า

ชายหนุ่มเลิกชายชุดเล็กน้อยพลางเดินขึ้นไปบนบันไดของจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยท่าทีสง่างาม ถอดเสื้อคลุมส่งให้องครักษ์ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง คาราวะป้ายไว้อาลัยยี่สิบกว่าแผ่นป้ายของตระกูลไป๋ด้วยความเคารพท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างประหลาดใจของไป๋ชิงเหยียน

ต่งซื่อนำบรรดาเด็กๆ คาราวะกลับ

คุณชายผู้งามสง่าอยู่ในชุดสีขาวยิ่งทำให้ชายหนุ่มยิ่งดูสูงศักดิ์พิเศษเหนือผู้ใด

ชายหนุ่มมองไปทางไป๋ชิงเหยียน จากนั้นก็โค้งกายทำความเคารพต่งซื่ออย่างสงบเสงี่ยม แววตาอบอุ่นนุ่มลึก

“ท่านกั๋วกง ซื่อจื่อและคุณชายทุกคนของตระกูลไป๋ล้วนเป็นวีรบุรุษของแคว้นต้าจิ้น แม้ข้าจะเป็นคนแคว้นเว่ยแต่ก็รู้สึกชื่นชมยิ่งนัก ขอแสดงความเสียใจกับฮูหยินซื่อจื่อด้วยนะขอรับ วิญญาณที่จงรักภักดีของแคว้นจะตราตรึงอยู่ในใจของชาวบ้านขอรับ”

ต่งซื่อร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่กับคำกล่าวที่ว่า ‘วิญญาณที่จงรักภักดีของแคว้นจะตราตรึงอยู่ในใจของชาวบ้าน’ นางคำนับเซียวหรงเหยี่ยนอย่างขอบคุณอีกครั้ง

“ขอบคุณคุณชายเซียวที่ปลอบใจข้าเจ้าค่ะ”

เซียวหรงเหยี่ยนทำความเคารพกลับ หยัดกายขึ้นพลางมองไปทางไป๋ชิงเหยียน

“คุณหนูใหญ่ไป๋ขอแสดงความเสียใจด้วยขอรับ”

หญิงสาวยืดกายตรง ย่อกายลงน้อยๆ ก้มหน้าลง ขนตาเรียวยาวงอนสวยงาม ดูเผินๆ เหมือนนางจะเป็นคนอ่อนโยนแต่แท้จริงแล้วกลับซ่อนเร้นสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็นเอาไว้

ผู้ดูแลตระกูลไป๋เชิญเซียวหรงเหยี่ยนไปที่ศาลาด้านหลัง สั่งให้คนรินน้ำชา เซียวหรงเหยี่ยนยกถ้วยน้ำชาขึ้นก็ได้ยินว่าผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงและผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเซิง สองนักปราชญ์ที่ยังมีชีวิตอยู่เดินทางมาเคารพศพ

ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงและผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเซิง เป็นสหายรักของเจิ้นกั๋วกงไป๋เวยถิง บัดนี้ไป๋เวยถิงจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ สหายรักทั้งสองจะไม่มาเคารพศพและไว้อาลัยได้อย่างใดกัน

ผู้เฒ่าทั้งสองชราภาพมากแล้ว โดยเฉพาะผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงซึ่งปีนี้อายุเจ็ดสิบ ผู้เฒ่าก้าวข้ามธรณีประตูด้วยขาที่สั่นเทาโดยการประคองของบ่าวรับใช้และผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเซิง น้ำตาคลอเอ่ยเรียก “ปู้อวี๋” ออกมาได้คำเดียวก็เปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“ปู้อวี๋ ข้าแก่กว่าเจ้าตั้งเจ็ดปี ข้ายังมิตาย เจ้าจากไปก่อนข้าได้อย่างใดกัน…”

ปู้อวี๋คือนามรองของไป๋เวยถิง ท่านปู่ของนาง

ท่านปู่ตั้งปณิธานหนักแน่นว่าจะมอบความสงบสุขให้ชาวบ้าน สร้างสันติสุขให้ทั่วหล้า มั่นคงหนักแน่น จวบจนวันตาย

ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่น ก้มศีรษะคำนับแนบพื้นเพื่อแสดงความขอบคุณ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลพรั่งพรูออกมาทันที ราวกับมีสิ่งใดอุดอยู่ที่ลำคอทำให้นางเปล่งเสียงออกมามิได้ พิธีเคารพศพที่เดิมทีเงียบราวป้าช้า ทว่าเพราะเสียงร้องไห้ของผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงจึงเกิดเสียงร้องไห้ดังตามขึ้นมากมาย แม้กระทั่งชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกก็คุกเข่าร้องไห้ตามเช่นเดียวกัน

เซียวหรงเหยี่ยนยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน เห็นนักปราชญ์ผู้เฒ่าซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนยุคนี้ทำความเคารพสตรีของตระกูลไป๋ ทว่าไป๋ชิงเหยียนกลับคำนับในฐานะลูกศิษย์

ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย คุณหนูใหญ่ไป๋เป็นลูกศิษย์ของนักปราชญ์ทั้งสองท่านอย่างนั้นหรือ!

กวนยงฉงรั้งให้ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้น มองไป๋ชิงเหยียนด้วยตาที่แดงก่ำพลางพยักหน้าให้ เขาได้ยินการกระทำของไป๋ชิงเหยียนในช่วงหลายวันมานี้มาบ้างแล้วในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย

ตอนนั้นไป๋ชิงเหยียนอายุเพียงสี่ขวบเป็นเด็กสาวตัวน้อยที่น่ารัก ไป๋เวยถงจูงมือหลานสาวของตัวเองไปยังที่พักของเขาในป่าลึก ขอให้เขาช่วยสั่งสอนวิชาความรู้ให้

เขากล่าวว่า ‘สตรีไม่มีความรู้ถึงจะเรียกว่ามีคุณธรรม เหตุใดต้องลำบากแสวงหาความรู้ด้วย’

แสงแห่งรุ่งอรุณส่องผ่านใบไม้ในป่าทึบ มีเสียงลมพัดเอื่อยๆ ดังขึ้น

สหายรักของเขาอมยิ้มพลางลูบไปบนศีรษะของหลานสาว เอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ‘ร่ำเรียนเพื่อรู้ซึ้งถึงมารยาท ศีลธรรม ความชอบธรรม ความอัปยศ! ข้าไม่ได้ต้องการให้หลานสาวรู้ทุกสิ่งบนโลกนี้ ข้าหวังเพียงให้นางรู้ว่าสิ่งใดคือมารยาท ศีลธรรม ความชอบธรรม ความอัปยศ ให้นางมีชีวิตอยู่อย่างสง่าผ่าเผยรู้จักผิดชอบชั่วดี’

ซื่อสัตย์ จริงใจ ไม่เห็นแก่ตัว ใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผย!

รักและปกป้องชาวบ้าน รู้จักมารยาท ศีลธรรม รู้ว่าสิ่งใดคือความอัปยศ สิ่งใดคือความชอบธรรม ไป๋ชิงเหยียนทำได้ดีมาก

ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงพยักหน้าทั้งน้ำตา เอ่ยปลอบแต่ก็แฝงไปด้วยความเสียดาย

“ท่านปู่ของเจ้าไม่ได้มองเจ้าผิดไป เจ้าเติบโตมาเป็นแบบที่เขาต้องการเห็นจริงๆ…”

หญิงสาวจุกแน่นจนบรรยายไม่ถูก ย่อกายทำความเคารพอีกครั้ง

“เด็กดี! ดูแลท่านย่า ท่านแม่และบรรดาน้องสาวของเจ้าให้ดี!” น้ำเสียงของกวนยงฉงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

หญิงสาวพยักหน้ารับคำ

ข่าวเรื่องที่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านมาเคารพศพที่จวนตระกูลไป๋แพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง คนจากตระกูลสูงศักดิ์เริ่มทยอยกันมาเคารพศพ เดิมทีจวนเจิ้นกั๋วกงที่เงียบเหงามีแต่เสียงร้องไห้ บัดนี้รายล้อมไปด้วยรถม้ามากมาย

ท่านติ้งหย่งโหวที่ชราภาพมากแล้วพาครอบครัวมาเคารพศพ เขาเอ่ยเรียก “สหายปู้อวี๋” ออกมาได้คำเดียวน้ำตาก็ไหลอาบหน้า

ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะคำนับแนบพื้น พอยืดกายขึ้นก็เห็นชุนเถาเดินฝ่ากลุ่มคนเข้ามาหยุดอยู่ทางด้านหลังของนางด้วยท่าทีรีบร้อน หายใจหอบแหกพลางเอ่ยกับนางเสียงเบาหวิว

“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ องครักษ์หลูผิงมารายงานว่าจี้ถิงอวี๋กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

———————————————

[1] ปู้อวี๋ แปลว่า หนักแน่น ไม่เปลี่ยนแปลง

[2] นามรอง เป็นชื่อที่มอบให้แก่บุคลคลหนึ่งเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่นอกเหนือจากชื่อที่เจ้าตัวได้รับมาแต่กำเนิด